นอนกรนไม่ใช่แค่เรื่องความน่ารำคาญของคู่ชีวิต แต่การนอนกรนยังบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ ซึ่งปัญหาการนอนกรนนี้เป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตเราได้โดยไม่รู้ตัว ใครรู้ว่าตัวเองมีอาการนอนกรน หายใจติดขัดตอนนอน โดยก่อนที่เราจะไปจัดการปัญหานี้กัน เราต้องรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนกรนกันก่อน เพื่อที่เราจะได้จัดการปัญหานี้ได้ตรงจุดมากขึ้น
อาการนอนกรน
การนอนกรนเกิดจากระบบทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบ กล้ามเนื้อต่าง ๆ ในช่องปากจะผ่อนคลายและหย่อนลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้ลมหายใจไม่สามารถผ่านไปยังหลอดลมและปอดได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และเนื่องจากช่องลมถูกปิดกั้นจนเล็กลงจึงทำให้เกิดเป็นเสียงกรนขึ้น ซึ่งการนอนกรนอาจจะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) จนอาจจะอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
6 สาเหตุ เกิดอาการนอนกรน ที่ควรรู้
-
พันธุกรรม
พันธุกรรมจะกำหนดลักษณะใบหน้าและขากรรไกรที่อาจเกิดความผิดปกติ โดยเฉพาะคนที่มีคางเล็กหรือกระดูกแก้มแบนอาจจะทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบ และเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนได้ นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่มีประวัติโรคนอนกรนในครอบครัวจะมีโอกาสเป็นโรคนอนกรนได้มากขึ้น
-
โรคอ้วน
โรคอ้วนสามารถทำให้เรานอนกรนได้ เนื่องจากไขมันที่สะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณเนื้อเยื่อรอบคอหอย ที่จะส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนต้นบริเวณโคนลิ้นและเพดานปากหย่อนลง มีการตีบแคบและตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ ส่งผลให้ขณะหลับร่างกายจะเกิดภาวะขาดออกซิเจนเป็นช่วง ๆ ทำให้หายใจลำบากมากขึ้น จนเกิด ”เสียงกรน” จากการพยายามให้แรงดันอากาศผ่านช่องทางเดินหายใจที่แคบ
-
เพศ
เพศชายมีแนวโน้มที่จะกรนมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากฮอโมนเพศหญิงมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดีกว่า
-
ยา/แอลกอฮอล์
การนอนกรนเล็กน้อยหรือเป็นระยะ ๆ อาจเป็นผลมาจากยาหรือแอลกอฮอล์ที่ทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนคลายอ่อนแรง ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่ายขึ้น และมีผลกับการทำงานของสมอง ทำให้สมองตื่นขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อภาวะการขาดออกซิเจนได้ช้า
-
สูบบุหรี่
การสูบุหรี่จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบทางเดินหายใจแย่ลง โดยการวิจัยหนึ่งได้สำรวจชายและหญิงกว่า 15,000 คน อายุ 24-54 ปี ของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ผลปรากฏว่าร้อยละ 24 ของคนที่นอนกรนมีพฤติกรรมสูบบุหรี่ อีกร้อยละ 20 ของคนที่นอนกรนเคยสูบบุหรี่มาก่อน ส่วนร้อยละ 14 ไม่เคยสูบบุหรี่ โดยยิ่งสูบบุหรี่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งกรนบ่อยขึ้นเท่านั้น และแม้แต่ผู้สูบบุหรี่มือสองที่ได้รับควันจากคนใกล้ชิดมาก ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะมีอาการนอนกรนเช่นเดียวกับผู้สูบ
-
อายุมาก
เมื่ออายุมากขึ้นทำให้กล้ามเนื้อของทางเดินหายใจบริเวณลำคอหย่อนยานและขาดความตึงตัว ทำให้ตกไปขวางทางเดินหายใจได้ง่าย โดยพบว่าอายุ 30-35 ปี ผู้ชายนอนกรน 20% ผู้หญิงนอนกรน 5% และอายุ 45-60 ปี ผู้ชายนอนกรน 60% ผู้หญิงนอนกรน 40% เลยทีเดียว
การรักษาภาวะนอนกรน
- ลดน้ำหนัก
- ใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวกในทางเดินหายใจ (CPAP)
- ผ่าตัดเพดานในช่องปากหรือตัดกล้ามเนื้อบริเวณโคนลิ้น
สำหรับใครที่รู้ว่าเรานอนกรนมาจากสาเหตุอะไร สามารถรักษาอาการนอนกรนตามสาเหตุนั้น ๆ ได้เลย แต่หากสาเหตุการนอนกรนของเราเกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถแก้ได้ เช่น เพส อายุ พันธุกรรม ก็สามารถใช้เลเซอร์เป็นตัวช่วยแก้ปัญหานอนกรนได้เช่นกัน
SnoreLase บอกลาปัญหานอนกรน โดยไม่ต้องผ่าตัด
Q : SnoreLase คืออะไร?
A : SnoreLase นวัตกรรมใหม่ล่าสุดในรักษาอาการนอนกรนด้วยการใช้เลเซอร์ ซึ่งได้รับการออกแบบและพัฒนาให้สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวที่บอบบางภายในช่องปาก ทำให้เกิดการหดกระชับของกล้ามเนื้อ ลดการปิดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้อาการกรนลดลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่การรักษาครั้งแรก นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องฉีดยา ไม่เจ็บ อีกทั้งยังไม่ต้องเตรียมตัวก่อนการรักษา ไม่ต้องพักฟื้นหลังการรักษา ทำให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที
Q : ข้อควรระวังก่อนทำมีอะไรบ้าง?
A : การทำ SnoreLase สามารถทำได้กับคนทุกเพศทุกวัยที่มีอาการนอนกรน ขึ้นอยู่กับอาการและสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล ทว่าผู้ที่มีประวัติของอาการเริมกำเริบภายใน 1 ปีก่อนทำ และผู้ที่มีแผลในปากควรหลีกเลี่ยงการทำ เนื่องจากเลเซอร์อาจไปกระตุ้นให้เกิดเริม หรือทำให้แผลในปากยิ่งระคายเคืองได้
Q : ใช้เวลาในการทำนานหรือไม่?
A : การรักษาอาการนอนกรนด้วยวิธีนี้จะใช้เวลาในการทำแต่ละครั้งประมาณ 45-60 นาที เพียงเดือนละ 1 ครั้ง โดยผลการรักษาจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นหลังจากการทำในครั้งที่ 3-6 ขึ้นอยู่กับอาการและสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล
Q : ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม SnoreLase เป็นอย่างไร?
A : วิธีนี้สามารถแก้ปัญหานอนกรนได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยหลังจากทำครั้งแรกจะช่วยแก้ไขอาการนอนกรนได้ 20-30% ทำให้การนอนหลับกลับสู่ภาวะปกติ หลับสนิทมากขึ้น ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถรู้สึกได้ถึงความรู้สึกสดชื่นหลังตื่นนอนในวันรุ่งขึ้นทันที ไม่มีอาการปากแห้งในตอนเช้า อีกทั้งยังช่วยให้เสียงกรนในขณะนอนหลับลดลงอย่างชัดเจน
Q : ผลลัพธ์หลังจากการทำอยู่ได้นานหรือไม่?
A : โดยปกติแล้วการทำ ควรทำซ้ำอย่างน้อย 3-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับอาการและสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล โดยหลังจากทำครบคอร์สแล้ว จะสามารถเห็นผลความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ประมาณ 50% และผลของการรักษาจะคงอยู่ได้ 6-12 เดือน หลังจากนั้นอาจมีการนัดเพิ่มเติม ตามคำแนะนำของแพทย์
APEX Life Center : ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและชะลอวัยเอเพ็กซ์
เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา เพื่อการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับคุณ
Line : @apexlifecenter https://lin.ee/somJkar
Facebook : Apex Life Anti-Aging
Tel. : 0850000855