[รู้ลึก] CoolSculpting สลายไขมันได้อย่างไร เหมือนดูดไขมันไหม ดูผลลัพธ์ทุกบริเวณ และรีวิวจริง ครบจบในเพจนี้

    COOLSCULPTING
    COOLSCULPTING ช่วยให้ผู้ที่มีไขมันสะสมในส่วนต่างๆ มีไขมันลดลง สัดส่วนดูดีขึ้นได้ เพียงไม่มีสัปดาห์หลังทำ เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นนี้ คิดค้นและพัฒนาโดยทีมแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Medical Scool) ทำงานโดยส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13 °C ผ่านผิวหนังลงไปในชั้นไขมัน (Subcutaneous Fat) โดยธรรมชาติของเซลล์ไขมันจะไม่ทนต่อความเย็น เมื่อได้รับความเย็นจัดในระยะเวลาหนึ่งเซลล์จะค่อยๆตายลง (Apoptosis) เมื่อเซลล์ไขมันตายแล้ว ก็จะถูกกำจัดออกเหมือนกับเซลล์อื่นๆที่ตายลง โดยเม็ดเลือดขาวจะมาย่อยสลายเซลล์เหล่านี้ และขับออกผ่านระบบหมุนเวียนตามธรรมชาติ ทำให้การทำ Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจาะผิว เพื่อดูดออก ไม่ทำเกิดรอยแผล หรือผังผืดใต้ชั้นผิวหนังเหมือนการดูดไขมัน โดยระหว่างทำก็ไม่มีอาการเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้ยาชา หรือยาสลบเพื่อระงับอาการเจ็บปวด หลังจากทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมตามปกติ

    รู้หรือไม่ ?

    CoolSculpting เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง US FDA (Food and Drug Administration) และมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด ปลอดภัยสูง เมื่อเทียบกับการกำจัดไขมันวิธีอื่น ๆ

    เห็นผลแค่ไหน ?

    CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันที่ให้ผลการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก โดยในการทำจะใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยผลลัพธ์ที่ได้ในการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากบริเวณที่ทำได้ 20 – 30% ของไขมันส่วนเกินที่บีบจับได้ในบริเวณนั้นๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล คุณลูกค้าที่ผ่านการทำ Coolsculpting จะรู้สึกถึงผลลัพธ์หลังทำ ใน 1 – 3 เดือน โดยจะรู้สึกว่าไขมันที่บีบจับได้ในปริมาณมากจะบีบได้เล็กลง เนื่องจากชั้นไขมันในบริเวณนั้นบางลง

    ขั้นตอนการทำ

    การกำจัดไขมันด้วย Coolsculpting เป็นวิธีที่สะดวก และเห็นผลจริงตามหลักการแพทย์ โดยไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน และไม่ต้องเตรียมตัวใดๆก่อนทำ ขั้นตอนของการทำ Coolsculpting เริ่มจาก

    1. รับคำปรึกษาจาก Coolsculpting Specialist ข้อห้ามในการทำมีน้อยมาก เช่น ในรายที่แพ้ความเย็นจัดๆ จะไม่สามารถทำได้ หรือผู้ที่มีการผ่าตัดในบริเวณที่ต้องการทำ Coolsculpting จะต้องเว้นระยะหลังผ่าตัด ประมาณ 6 เดือน แต่สามารถทำได้ในบริเวณอื่นๆ นอกจากนั้น ผู้ที่เป็นใส้เลื่อน ยังอยู่ในข้อห้ามของการทำ Coolsculpting บริเวณหน้าท้อง แต่ก็สามารถทำได้ในบริเวณอื่น
    2. ประเมินจุด เลือกขนาด Applicator ขั้นตอนนี้เป็นอีกขึ้นตอนสำคัญในการทำ Coolsculpting หุ่นจะสวยขึ้น เอวจะเว้า S ก็ด้วยขั้นตอนนี้เลย เพราะความเชี่ยวชาญของ Coolsculpting Specialist จะออกแบบการวาง Applicator ให้ได้ส่วนเว้า ส่วนโค้งตามต้องการ นอกจากนี้การเลือกขนาดหัวที่เหมาะสม ยังทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
    3. เริ่มวาง Applicator โดยประมาณ 10 นาทีแรก จะรู้สึกเย็นจัดในจุดที่ทำ จากนั้นจะเริ่มชาและรู้สึกคงที่ตลอด 35 นาที 
    4. นวดทันทีหลังทำ นาน 2 นาที ตามผลวิจัยเทียบผลลัพธ์ระหว่างนวด และไม่นวด ปรากฏว่า มีผลต่างกันถึง 68% แม้การนวดอาจทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเล็กน้อย แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ใน 2 นาที ที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด 

    เพียงแค่ 4 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณดูดีได้ในไม่กี่สัปดาห์

    การเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting

    นับเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของ CoolSculpting เลยก็ว่าได้ที่ก่อนเข้ารับการทำนั้น ผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมาก เนื่องจากในการกำจัดไขมันด้วยความเย็นวิธีนี้ไม่ใช้การผ่าตัด แต่คล้ายกับการทำทรีตเมนต์ทั่วไป ดังนั้นผู้เข้ารับบริการสามารถรับประทานอาหาร และดื่มน้ำได้ตามปกติ

    สิ่งที่เกิดหลังจากทำ CoolSculpting

    หลังจาก CoolSculpting แล้ว ประมาณสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไปจะเริ่มเห็นผลความเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง เนื่องจากร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดเซลล์ไขมันตายลงจากการทำ CoolSculpting ออกจากร่างกาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 1 – 3 เดือน ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน 

    ใครเหมาะกับการทำ Coolsculpting 

    การทำ CoolSculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสม หรือมีความต้องการลดสัดส่วนเฉพาะส่วน เช่น คนที่มีหน้าท้อง ต้องการลดสะโพก ต้นขา ต้นแขน และปีกหลัง หรือจะเป็นคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรและต้องการรูปร่างที่ดีกลับคืนมาโดยไม่ต้องออกกำลังกายหนัก ๆ หรืออดอาหาร CoolSculpting นับเป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ผลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้เข้ารับบริการก็ควรใช้การออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารควบคู่กันไปหลังจากการทำ CoolSculpting ด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้อยู่คงทนยาวนาน และไม่มีไขมันสะสมกลับมาให้กวนใจ

    ข้อดีของการทำ Coolsculpting 

    • ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลกในเรื่องความปลอดภัย
    • เห็นผลได้จริง และชัดเจน
    • ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 35 นาที – 1 ชั่วโมง
    • ไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
    • ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้น

    ทำบริเวณไหนได้บ้าง ?

    จากการรับรองโดย US FDA การสลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting สามารถทำได้หลายจุดทั่วร่างกาย ที่เป็นไขมันชั้นนอก ที่บีบจับได้ โดยมีหัวเครื่องมือหลายรูปแบบ เข้ากับสรีะแต่ละบริเวณ หัวเล็กสุด Coolmini สามารถลดเหนียงคางได้สบายๆ หรือไขมันเหนือเข่าได้ด้วย สำหรับหัวขนาดกลางที่เป็นที่นิยมคือ CoolAdvantage ที่สามารถทำได้หลายจุด ทั้งรอบเอว หน้าท้องส่วนบน และล่าง ขาด้านในต้นแขนปีกหลัง หรือกระทั่งไขมันใต้ก้นโดย CoolAdvantage ยังแบ่งเป็นหัวอีก 3 ขนาด คือ CoolAdvantage Petite ขนาดเล็กกว่าปกติเล็กน้อย, CoolAdvantage และ CoolAdvantage Plus ขนาดใหญ่สุด การมีหัวเครื่องมือหลายรูปแบบ เพื่อช่วยให้ทำให้ทุกบริเวณ ครอบคลุมทุกปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

    ผลลัพธ์ CoolSculpting จากผู้ใช้จริงที่คุณพิสูจน์ได้ !

    นอกจากผลการรับรองจากสถาบันระดับโลกในเรื่องผลลัพธ์ และความปลอดภัยแล้ว เรายังมีตัวอย่างผู้เข้ารับบริการที่ทำ CoolSculpting จริง ๆ และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาฝากกัน

     

    หม่อมป้อม – ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล 

    ‘เมื่อความรักในการทำอาหาร นำพาไขมันส่วนเกินมาให้ ตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ CoolSculpting’

    ในยุคนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับหญิงแกร่งคนเก่งอย่าง ‘เชฟป้อม’ หรือ ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล พิธีกรรายการอาหารชื่อดังคนนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเชฟป้อมเป็นคนหนึ่งที่หลงไหลและหลงรักในการทำอาหารอย่างมาก เชฟป้อมเผยว่า ในการทำอาหารสักจานจะต้องเอาใจใส่กับอาหารจานนั้น เพื่อให้อาหารจานนั้นมีคุณค่า และประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และด้วยเพราะรับหน้าที่เป็นทั้งคนปรุงอาหาร และสอนการทำอาหาร จึงต้องมีการชิมอาหารทั้งที่ตัวเองทำ และคนอื่นทำอยู่เป็นประจำ นาน ๆ เข้าก็ทำให้เกิดไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รูปร่างที่เคยดูดีก็เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนี้เชฟป้อมจึงตัดสินใจใช้ตัวช่วยอย่าง CoolSculpting มากำจัดส่วนเกินของร่างกาย แต่จะเป็นอย่างไรนั้น เราลองไปดูกันค่ะ

    คุณหนิง – สายสวรรค์ ขยันยิ่ง 

    ‘CoolSculpting สะดวกใช้เวลาน้อย ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ

    คุณหนิง สายสวรรค์ ขยันยิ่ง ผู้ประกาศข่าวมากประสบการณ์ ด้วยงานผู้ประกาศและพิธีกรที่คิวแน่นมาก ทำให้เวลาที่จะได้ดูแลตัวเองน้อยลง จึงหาเทคโนโลยีที่ช่วยจัดการกับไขมันส่วนเกิน ซึ่ง CoolSculpting ที่ APEX ช่วยแก้ไขปัญหาไขมันส่วนเกินรอบเอวให้คุณหนิงได้ โดยคุณหนิงรู้สึกประทับใจกับการทำ CoolSculpting เป็นอย่างมาก เพราะใช้เวลาในการทำน้อยเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่กระทบกับเวลาการทำงานแต่อย่างใด

     

    คุณเจก รัตนตั้งตระกูล 

    ‘CoolSculpting แค่เพียงสี่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็มีรูปร่างที่ดีได้’

    ใครว่าผู้ชายไม่เอาใจใส่เรื่องรูปร่าง ขอบอกว่าไม่จริงค่ะ เพราะ คุณเจก รัตนตั้งตระกูล นักข่าวหนุ่มคนนี้ที่แม้จะดูเหมือนมีรูปร่างที่ดูดีอยู่แล้ว แต่คุณเจกก็ยังคงมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย และด้วยเหตุนี้คุณเจกจึงตัดสินใจเข้ามาทำ CoolSculpting ที่เอเพ็กซ์ และด้วย 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ของการทำ CoolSculpting ก็ทำให้คุณเจกกลับมามีรูปร่างที่ตัวเองพึงพอใจได้อีกครั้งค่ะ

    ผลลัพธ์ของ Coolsculpting เมื่อกับวิธีอื่น

    Coolsculpting vs ยาลดน้ำหนัก

    ยาลดน้ำหนัก หรือยาลดความอ้วน อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ แต่ต้องขอบอกว่ายาลดน้ำหนักที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดในปัจจุบันนั้นแทบทั้งหมดเป็นยาที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง โดยเฉพาะยาชุดที่ขายกันเป็นล่ำเป็นสันนั้น เป็นเพียงแค่การนำยาชนิดต่าง ๆ ที่หากใช้ในปริมาณมากแล้วจะยิ่งเป็นอันตราย ซึ่งที่พบได้ส่วนใหญ่ในยาชุดลดความอ้วนก็คือ ยาขับปัสสาวะ ซึ่งใช้ในผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต หากใช้มากเกินปริมาณที่แพทย์กำหนด หรือใช้โดยไม่มีสาเหตุจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากเกินไป และทำให้เกิดภาวะขาดน้ำจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ไม่เพียงเท่านั้นเพราะนอกจากยาขับปัสสาวะแล้ว ยังมียาอีกหลายชนิดที่คลินิกลดน้ำหนักที่ผิดกฎหมายนำมาใช้เพื่อขายเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย หากใช้ในปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดภาวการณ์ทำงานของอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้ในที่สุดในขณะที่การทำ CoolSculpting ผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องรับประทานยาใด ๆ จึงรับรองได้ถึงความปลอดภัย และมั่นใจได้ว่าจะไม่ส่งผลเสียกับร่างกายในภายหลังแน่นอน เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ตายลงจากการทำ CoolSculpting จะถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีการตกค้างให้กังวลใจอย่างแน่นอน

    Coolsculpting vs ดูดไขมัน (Liposcution)

    การดูดไขมัน เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่ต้องผ่าตัดเพื่อเปิดแผลและสอดท่อและอุปกรณ์สูญญากาศเข้าไปดูดไขมัน โดยแท่งดังกล่าวจะช่วยกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนังออกได้ในปริมาณมาก ๆ ภายในครั้งเดียว แต่ก็มีข้อเสียคือในระหว่างการทำจะต้องมีการใช้ยาสลบซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อผู้เข้ารับบริการได้ในภายหลัง นอกจากนี้การดูดไขมันด้วยวิธีนี้หากแพทย์ผู้ทำไม่เชี่ยวชาญพออาจดูดไขมันออกได้ไม่หมดและทำให้ผิวมีลักษณะเป็นคลื่นดูไม่สวยงาม หรืออาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำบริเวณที่ดูดไขมันได้ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้อีกด้วย และถ้าหากต้องการกลับมาดูดไขมันซ้ำ ก็จะทำได้ยากและอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ได้

    ส่วน CoolSculpting คือการกำจัดไขมันด้วยความเย็น ที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องเจ็บ เนื่องจากการทำ CoolSculpting จะเป็นการติดเครื่องมือไว้บนผิวหนังและส่งความเย็นลงไปยังชั้นไขมัน เมื่อไขมันในบริเวณดังกล่าวได้รับความเย็นให้อุณหภูมิติดลบเป็นเวลา 35 – 45 นาที เซลล์ไขมันที่มีความไวต่ออากาศเย็นถูกทำให้ตายลง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่น ๆ ในร่างกาย หลังจากนั้นเซลล์ที่ตายก็จะถูกขับออกจากร่างกายผ่านกลไกของร่างกาย และไม่ต้องพักฟื้น เหมือนกับการดูดไขมัน นอกจากนี้ CoolSculpting ยังสามารถกลับมาทำซ้ำได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนใด ๆ

    Coolsculpting vs Thermage FLX

    หลายคนอาจคิดว่าการทำ Thermage FLX สามารถช่วยลดสัดส่วนบริเวณที่กังวลได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำ Thermage FLX เป็นเพียงแค่การยกกระชับผิวไม่ใช่การกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายแต่อย่างใด ดังนั้นแม้จะทำ Thermage FLX บริเวณที่กังวลก็ยังคงมีไขมันส่วนเกินอยู่ ต่างจาก CoolSculpting นั้นสามารถช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้โดยที่ไม่ทำให้ผิวย้วยเนื่องจากการลดน้ำหนักได้ ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถมีรูปร่างที่ดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องผิวที่ย้วยอีกต่อไปค่ะ

    Coolsculpting vs HIFU Body Body HIFU

    เทคโนโลยีกระชับผิว ด้วยพลังงาน HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อการกระชับผิวกาย ด้วยการส่งพลังงานความร้อนอุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียสไปที่เซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย และขับออกผ่านระบบการไหลเวียนของร่างกายตามธรรมชาติ โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นกับเฉพาะเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น จึงมั่นใจได้ว่าเฉพาะเซลล์ไขมันเท่านั้นที่จะถูกจัดการ และกำจัดออกจากร่างกาย

    ฟังแล้ววิธีนี้อาจจะคล้ายกับการทำ CoolSculpting แต่แตกต่างกันที่ใช้ความร้อน และความเย็นในการกำจัดเซลล์ไขมัน แต่ถ้าเทียบถึงความสะดวกสบายแล้ว CoolSculpting ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเป็นการใช้ความเย็นในการกำจัดไขมัน ต่างจาก HIFU Body ที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อแผลเบิร์นไหม้จากความร้อนได้อีกด้วย แต่ CoolSculpting นั่นความเสี่ยงต่ำ และไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเบิร์นแต่อย่างใด

    Coolsculpting vs Sculpsure

    Sculpture คือ เทคโนโลยีในการกำจัดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) สามารถกำจัดเซลล์ไขมันที่ในบริเวณที่กำจัดได้ยาก เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือเอว ด้วยการใช้คลื่นพลังงานเลเซอร์ ในช่วงคลื่น 1060NM ที่ทำให้เกิดความร้อน ในระดับอุณหภูมิ 42 – 47 องศาเซลเซียส เข้าไปทำให้เซลล์ไขมันตายลง ซึ่งในแต่ละครั้งที่ทำ สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ประมาณ 24 % ของไขมันทั้งหมดบริเวณนั้น ๆ แม้จะดูเหมือนให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็เช่นเดียวกับการใช้ HIFU Body ที่อาจเสี่ยงกับการเบิร์นจากความร้อนได้เช่นกัน นอกจากนี้การทำ Sculpsure ที่เป็นการใช้ความร้อนในการทำลายเซลล์ไขมันยังอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำได้

    Coolsculpting vs การนวดด้วยเครื่อง

    การลดน้ำหนักและสัดส่วนด้วยการนวดนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก ทว่าในความเป็นจริงแล้วการใช้เครื่องนวดเพื่อลดสัดส่วนนั้นจะช่วยได้เพียงกระชับได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการนวดด้วยเครื่องเพื่อลดสัดส่วนจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่เกิน 7 วันเท่านั้น เนื่องจากเครื่องจะปล่อยคลื่นพลังงานออกมากำจัดน้ำส่วนเกินบริเวณที่นวด เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเซลล์ไขมันไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ต่างจากการทำ CoolSculpting ที่กำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายได้จริง ด้วยการทำให้เซลล์ไขมันตายลงและขับออกจากร่างกายผ่านกลไกตามธรรมชาติ

    Coolsculpting vs อดอาหาร

    การอดอาหาร ถือเป็นวิธีการลดน้ำหนัก และลดสัดส่วนที่ผิด และไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เมื่อคนเราอดอาหาร สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง และจะส่งผลกระทบต่อสมอง ทำให้ความคิดวิเคราะห์แย่ลง เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องใช้กลูโคสในการทำงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงก็จะทำให้สมองทำงานได้ช้าลงตามไปด้วย นอกจากนี้ระดับน้ำตาลที่ลดลงยังทำให้เกิดอาการมึนงง อ่อนเพลีย ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และกระตุ้นความหิว และนำไปสู่ภาวะอารมณ์ฉุนเฉียวได้

    ไม่เพียงเท่านั้น การอดอาหารยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญ เพราะเมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากอาหารเพิ่มก็จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลงเพื่อรักษาพลังงานในร่างกายเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น ทั้งนี้หากอดอาหารติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเอาตัวรอด ซึ่งถ้าหากถึงเวลารับประทานอาหารอีกครั้งก็จะรับประทานอาหารมากกว่าปกติ และมีแนวโน้มว่าจะรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น นั่นก็เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อทดแทนส่วนที่หายไป จึงต้องรับประทานอาหารมากขึ้น และทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอดอาหารแล้วน้ำหนักยังขึ้น หรือลดน้ำหนักได้ยากไม่ลงนั่นเอง

    Coolsculpting vs ออกกำลังกาย

    การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เป็นวิธีที่ให้ผลยั่งยืน และดีกับร่างกาย เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยทำให้ผอมลง และรูปร่างดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้สุขภาพดีอีกด้วย อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก หรือเพื่อลดสัดส่วนก็ต้องอาศัยวินัยอย่างมาก และต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ

    คำถามที่พบบ่อย

    1. ใครทำ CoolSculpting ได้บ้าง ?

    CoolSculpting เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน ตั้งแต่บริเวณส่วนใหญ่ ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ไปจนถึงบริเวณเล็ก ๆ อย่าง ไขมันใต้คาง 

    โดยในการทำ CoolSculpting เซลล์ไขมัน 20 – 30% จะใช้ด้วยความเย็นอุณหภูมิติดลบ 11 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 35 นาที ทำให้เซลล์ไขมันที่ไม่ชอบความเย็นจัดจะค่อย ๆ ถูกทำลาย และถูกกำจัดจากร่างกายผ่านระบบขับถ่าย ซึ่งจะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนหลังจากทำ 2-3 เดือน 

    ทั้งนี้การกำจัดไขมันด้วย CoolSculpting จะไม่ทำให้เกิดแผล และไม่ต้องพักฟื้น ต่างจากการดูดไขมัน หรือการผ่าตัดกำจัดไขมัน ที่มีบาดแผลและต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลานาน

    2. CoolSculpting ทำส่วนใดได้บ้าง ?

    CoolSculpting เป็นการกำจัดไขมันด้วยความเย็นที่ปลอดภัย และออกแบบมาให้สามารถทำได้หลายส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ตั้งแต่พื้นที่เล็ก ๆ อย่างบริเวณใต้คาง ปีกเล็ก ๆ ที่ขอบชุดชั้นใน เหนือหัวเข่า จนไปถึงพื้นที่ใหญ่ ๆ อย่างปีกข้างขา สะโพก เอว หน้าท้อง โดยในการทำ CoolSculpting ผู้เชี่ยวชาญที่เอเพ็กซ์จะเป็นผู้ประเมินรูปร่างของผู้เข้ารับบริการเพื่อวางแผน และออกแบบรูปร่าง เพิ่มส่วนเว้าส่วนโค้งของรูปร่างให้เป็นที่พึ่งพอใจของผู้เข้ารับบริการ

    3. CoolSculpting อ้วนมาก ๆ ทำได้ไหม

    CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีที่สามารถกำจัดไขมันชั้นนอก หรือไขมันใต้ชั้นผิวหนังได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในจุดที่สามารถทำได้ จะช่วยกำจัดไขมันออกไปได้ถึง 20-30% แต่ในรายที่อ้วนมาก ๆ หรือมีภาวะไขมันในช่องท้องหรือไขมันแทรกตามอวัยวะ อาจต้องใช้การออกกำลังกาย หรือเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในการลดไขมัน ทั้งนี้หากไม่แน่ใจว่าตัวเองมีไขมันในร่างกายแบบใด ก็สามารถเข้ารับคำปรึกษา และรับคำแนะนำจาก CoolSculpting Specialist ได้ที่เอเพ็กซ์ทุกสาขา

    4. CoolSculpting ทำกี่ครั้งถึงจะได้ผล

    Cool Sculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมัน ที่มีผลวิจัยจากนานาชาติ และผ่านการรับรองจาก US FDA จึงสามารถมั่นใจได้ในผลลัพธ์ และความปลอดภัย โดยในการทำแต่ละครั้ง จะสามารถกำจัดเซลล์ไขมันออกมาผ่านกระบวนการขับถ่ายของเสียตามธรรมชาติได้ถึง 20 – 30% และสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนภายใน 2 – 3 เดือนหลังจากทำ CoolSculpting

    อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกาย และควบคุมอาหารก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำควบคู่กันไปเพื่อเพื่อที่จะได้มีรูปร่างที่ดีในระยะยาว

    5. CoolSculpting ขณะทำ เจ็บไหม มีบาดแผลหรือไม่

    CoolSculpting เป็นการกำจัดไขมันที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ต้องผ่าตัด หรือเจาะผิวหนัง จึงทำให้ไม่มีอาการเจ็บ แต่ในช่วง 5 นาทีแรกของกระบวนอาจรู้สึกไม่สบายผิวเล็กน้อย เนื่องจากความแน่นของหัวเครื่องมือที่ค่อย ๆ ดูดบริเวณผิว หลังจากนั้นจะรู้สึกชาไปตลอดกระบวนการทำ และจะมีรอยช้ำเล็กน้อยหลังจากถอดเครื่องมือเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการกำจัดไขมันเหมือนวิธีอื่น ๆ

    5. CoolSculpting ราคา เท่าไหร่?

    CoolSculpting ราคา ขึ้นอยู่กับแต่ละที่ราคาไม่เท่ากัน

    รางวัลประสบการณ์สูงสุดในเอเชีย

    ปัจจุบัน ทั่วโลกมีการทำ Coolsculpting แล้วมากกว่า 11 ล้านทรีตเมนต์ หรือ 11 ล้าน Cycle โดยตลอดการให้บริการ Coolsculpting 11 ปี ของ APEX เรามีจำนวนการทำสูงสุดในเอชีย นับเป็นความภาคภูมิในของคนไทย และเราในฐานะ ผู้ให้บริการ เอเพ็กซ์ยึดมั่นในผลลัพธ์การให้บริการ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด จากการรับบริการของเรา 

    ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
    FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
    Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter