บทความเกี่ยวกับ : ฝ้า

Pico หลุมสิว 6990 ซื้อ 1 แถม 1
AviClear Laser

ฝ้า (Melasma) คืออะไร เกิดจากอะไร ส่งผลเสียอะไร แก้ไขยังไงได้บ้าง
หน้าฝ้า ปัญหาโลกแตก แก้ยังไงดี รวมหัตถการรักษาฝ้า
ฝ้า คือปัญหาผิวที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ที่ผลิตมากเกินไปและสะสมตัวอยู่ใต้ผิวหนังอย่างไม่สม่ำเสมอ จัดเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อยและรักษาได้ยากที่สุด ฝ้ามักมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเทาหรือน้ำตาลเข้มบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และเหนือริมฝีปาก ฝ้ามีหลายปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด, ฮอร์โมน, และความร้อน การจัดการกับฝ้า จึงต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกันและใช้ความสม่ำเสมอ โดยการรักษาฝ้าในปัจจุบันมีหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยรักษาได้อย่างดี เรามาดูกันว่า ฝ้าเกิดจากอะไร มีกี่ประเภท และเราสามารถรักษาฝ้าได้อย่างไรบ้าง

ฝ้า คืออะไร
ฝ้า (Melasma) คือภาวะผิดปกติของผิวหนังที่เกิดจากการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) มากผิดปกติและสะสมอยู่ใต้ผิวหนังอย่างไม่สม่ำเสมอ ฝ้ามักปรากฏเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม หรือสีน้ำตาลอมเทา บนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และเหนือริมฝีปาก ฝ้ามักถูกกระตุ้นให้เข้มขึ้นจากแสงแดด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และความร้อน จัดเป็นปัญหาผิวเรื้อรังที่รักษาได้ยากและต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง เพราะฝ้ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ฝ้าจึงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการรักษาและป้องกันอย่างจริงจัง

ฝ้า เกิดจากอะไร
ฝ้า คือปัญหาผิวที่ซับซ้อนและมีหลายปัจจัยมากระตุ้นให้เกิด ฝ้าไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมจากปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยภายนอกที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ทำงานผิดปกติและผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ฝ้ามีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้

แสงแดดและรังสียูวีเป็นตัวกระตุ้นหลัก
แสงแดด โดยเฉพาะรังสีอัลตราไวโอเลต (UV-A และ UV-B) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า และทำให้ ฝ้าที่เป็นอยู่เข้มขึ้น รังสียูวีจะไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ผลิตเมลานินออกมาเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหาย ซึ่งการผลิตที่มากผิดปกติจะทำให้เกิดปื้นฝ้า นอกจากนี้ แสงสีฟ้า (Blue Light) จากจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงความร้อนก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดฝ้าได้เช่นกัน

ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเป็นสาเหตุภายในหลักของการเกิดฝ้า โดยเฉพาะในผู้หญิง ฮอร์โมนเพศหญิง เช่น เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่มีระดับสูงในช่วงตั้งครรภ์ (จึงมักถูกเรียกว่า มาสก์แห่งการตั้งครรภ์) หรือจากการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน จะไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ทำงานมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายและรวดเร็ว ฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมนมักจะจางลงหลังคลอดบุตรหรือหยุดยา แต่ก็มีโอกาสคงอยู่ได้

พันธุกรรมและความผิดปกติของเซลล์
ปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนในการกำหนดความไวต่อการเกิดฝ้า หากมีคนในครอบครัวเป็นฝ้า โอกาสที่คุณจะเป็นฝ้าด้วยก็มีสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเอง ซึ่งมีความไวต่อการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกมากกว่าคนปกติ ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีเหล่านี้ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อย เช่น การอักเสบ หรือความระคายเคือง จนนำไปสู่การเกิดฝ้าเรื้อรัง

การใช้ยาและเครื่องสำอางบางชนิด
ยาบางกลุ่ม เช่น ยากันชัก หรือยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง (นอกจากยาคุมกำเนิด) สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้า หรือทำให้ฝ้าที่มีอยู่เดิมเข้มขึ้นได้ รวมถึงการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้องห้าม เช่น สารปรอท (Mercury) หรือ สเตียรอยด์ (Steroid) หรือการใช้ Hydroquinone ในความเข้มข้นสูงและไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบอย่างรุนแรง หรือทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว จนเกิดเป็นฝ้าชนิดรักษายาก

ภาวะเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
ความเครียดเรื้อรังและการอดนอนส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ระดับฮอร์โมนแปรปรวนและไม่สมดุล ความไม่สมดุลของฮอร์โมนเหล่านี้สามารถไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินได้ ทำให้เกิดหรือกระตุ้นให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้น

ความผิดปกติของเส้นเลือด
ฝ้าเลือด (Telangiectatic Melasma) เป็นฝ้าชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของ เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ซึ่งมีการขยายตัวหรือเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ เส้นเลือดฝอยเหล่านี้จะส่งสัญญาณไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ผลิตเม็ดสีมากขึ้น ทำให้ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลแดงหรือคล้ำปนแดง สาเหตุของฝ้าเลือดมักมาจากความร้อน การอักเสบ หรือการใช้สารอันตราย เช่น สเตียรอยด์

ฝ้า มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ฝ้า สามารถแบ่งออกได้หลายชนิดตามตำแหน่งของการเกิดเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ซึ่งมีความสำคัญต่อการเลือกวิธีการรักษาฝ้าแต่ละชนิดจะมีความตื้น-ลึกแตกต่างกัน ทำให้การตอบสนองต่อยาหรือหัตถการไม่เหมือนกัน ฝ้าที่พบส่วนใหญ่มักเป็นการผสมผสานกันหลายชนิด ดังนี้

• ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) เป็นฝ้าชนิดที่เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ที่ผิวหนังชั้นนอก (Epidermis) มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน ขอบเขตชัดเจน ฝ้าชนิดนี้ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและเลเซอร์ได้ดีที่สุด และจางลงได้ง่ายกว่า
• ฝ้าลึก (Dermal Melasma) เป็นฝ้าชนิดที่เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอมเทาหรือน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัดเจนฝ้าชนิดนี้รักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น และอาจไม่ตอบสนองต่อยาทาภายนอกเท่าที่ควร จำเป็นต้องใช้เลเซอร์ที่ลงลึก
• ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นฝ้าชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีการสะสมของเม็ดสีทั้งในชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นผิวหนังแท้ ฝ้ามีลักษณะสีปนกันทั้งน้ำตาลอ่อนและน้ำตาลเข้ม ต้องใช้การรักษาแบบผสมผสานเพื่อจัดการกับฝ้าทั้งสองระดับความลึก
• ฝ้าเลือด (Vascular Melasma) เป็นฝ้าที่มีความผิดปกติของเส้นเลือดฝอย ใต้ผิวหนังร่วมด้วย โดยเส้นเลือดฝอยจะขยายตัวหรือมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอมแดง หรือมีสีเข้มคล้ำและรักษายาก มักเกิดจากการใช้สารต้องห้าม หรือการอักเสบเรื้อรังใต้ผิว การรักษา ฝ้า ชนิดนี้จึงต้องใช้เลเซอร์ที่เน้นทำลายเส้นเลือดร่วมด้วย
• ฝ้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน (Non-Hormonal Melasma) เป็นฝ้าที่ไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์หรือยาคุมกำเนิด แต่เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก เช่น แสงแดดจัด มลภาวะ และความร้อนฝ้าชนิดนี้จะตอบสนองต่อการรักษาด้วยการป้องกันแสงแดดและยาทาได้ดี แต่ก็มีโอกาสเป็นฝ้าที่ดื้อยาได้หากปล่อยปละละเลยมานาน.
• ฝ้าที่เกิดจากการแพ้และอักเสบ (Inflammatory Melasma) เป็นฝ้าที่เกิดจากการระคายเคืองหรือการอักเสบอย่างต่อเนื่องของผิวหนัง เช่น การแพ้เครื่องสำอาง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป หรือการทำหัตถการที่ทำให้ผิวบอบช้ำ ฝ้าที่เกิดจากการอักเสบจะมีลักษณะเป็นรอยคล้ำหลังจากการอักเสบหายไป (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) และต้องเน้นการรักษาที่การลดการอักเสบและเสริมเกราะป้องกันผิว
• ฝ้าที่กลับมาเป็นซ้ำ (Recurrent Melasma) เป็นฝ้าที่ได้รับการรักษาจนจางลงแล้ว แต่กลับมามีสีเข้มขึ้นอีกครั้งเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นใหม่ เช่น การโดนแดดซ้ำ หรือหยุดการรักษาฝ้าชนิดนี้ต้องเน้นการป้องกันและการบำรุงผิวให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง
• ฝ้าที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ (Indeterminate Melasma) เป็นฝ้าที่มักพบในผู้ที่มีผิวสีเข้มมาก ทำให้การใช้เครื่องมือวินิจฉัย เช่น Wood's Lamp ไม่สามารถแยกความลึกของฝ้าได้อย่างชัดเจน

บริเวณที่มักเกิดฝ้าบ่อย ๆ
ฝ้า มักมีลักษณะที่สมมาตรและปรากฏเป็นปื้นบนใบหน้า โดยมีบริเวณที่มักเกิดฝ้าบ่อย ๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่สัมผัสกับแสงแดดและมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสูง การรู้ตำแหน่งที่มักเกิดฝ้า ช่วยให้เราป้องกันและดูแลผิวได้ โดยที่บริเวณที่มักเกิดฝ้าบ่อย ๆ ได้แก่

• โหนกแก้ม (Cheeks) เป็นบริเวณที่พบฝ้าได้บ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่รับแสงแดดโดยตรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีถูกกระตุ้นให้ผลิตเมลานินออกมามาก ก่อให้เกิดปื้นฝ้าขนาดใหญ่
• หน้าผาก (Forehead) เป็นบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดได้ง่ายไม่แพ้โหนกแก้ม และเป็นตำแหน่งที่ฝ้ามักปรากฏในลักษณะเป็นปื้นขนาดใหญ่พาดผ่าน
• เหนือริมฝีปาก (Upper Lip) ฝ้ามักเกิดขึ้นบริเวณนี้ในลักษณะเป็นปื้นเล็ก ๆ หรือเป็นเส้นคล้ำ ๆ มักถูกกระตุ้นจากฮอร์โมน หรือการใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
• จมูก (Nose) แม้จะพบน้อยกว่าบริเวณอื่น แต่ฝ้าก็สามารถเกิดบนสันจมูกหรือบริเวณปีกจมูกได้เช่นกัน
• คาง (Chin) ฝ้าที่บริเวณคางมักมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และการอักเสบที่เกิดจากการสัมผัสหรือการเสียดสี
• บริเวณขมับ (Temples) เป็นอีกจุดที่ฝ้ามักขยายตัวออกมาจากบริเวณแก้มและหน้าผาก ฝ้าที่บริเวณเหล่านี้มักจะทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำและไม่สม่ำเสมอ

อันตรายจากการเกิดฝ้า
ฝ้าส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของผู้ที่เป็นฝ้า เนื่องจากเป็นปัญหาผิวที่เห็นได้ชัดเจนและรักษายาก อันตรายหลัก ๆ จากฝ้า มักเกี่ยวข้องกับผลกระทบทางอารมณ์ และผลเสียที่อาจเกิดขึ้น จากการพยายามรักษาฝ้าโดยไม่ถูกวิธี ดังนี้

• ผลกระทบทางจิตใจและสังคม ฝ้าทำให้เกิดความไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล และการหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม ซึ่งกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นฝ้า
• การวินิจฉัยผิดพลาดและโรคร้ายแรงอื่น ๆ บางครั้งฝ้าอาจมีลักษณะคล้ายกับรอยดำอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งมะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) ในระยะเริ่มต้น ทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือละเลยการตรวจวินิจฉัยโรคผิวหนังที่อันตรายกว่า
• ผิวไวต่อแสงแดดและระคายเคืองง่าย ฝ้ามักมาพร้อมกับผิวที่อ่อนแอลงและไวต่อรังสียูวี ทำให้ผิวบริเวณที่เป็นฝ้า ถูกทำลายได้ง่ายและมีโอกาสเกิดฝ้าใหม่หรือเข้มขึ้นอย่างรวดเร็ว
• การเกิดรอยดำชัดเจนจากสารเคมี การพยายามรักษาฝ้าด้วยตนเองโดยใช้ครีมที่มีสารอันตราย เช่น สารปรอท หรือ Hydroquinone ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะ Ochronosis ซึ่งเป็นรอยดำอมน้ำเงินที่เกิดจากสารสะสม ทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นและกลายเป็นรอยดำระยะยาวที่รักษาไม่ได้
• ความเสียหายของผิวหนัง อาจเกิดจากความร้อนและเลเซอร์ที่ไม่เหมาะสม ฝ้ามักถูกกระตุ้นด้วยความร้อน การใช้โปรแกรมเลเซอร์ที่ไม่เหมาะกับชนิดของฝ้า หรือการใช้พลังงานที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง และทำให้ฝ้าที่มีอยู่เดิมเข้มขึ้น

วิธีรักษาฝ้าด้วยตนเอง
การรักษาฝ้าด้วยตนเองที่บ้านถือเป็นรากฐานสำคัญของการรักษาทั้งหมด เพราะฝ้ามักมีปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกที่เราสามารถควบคุมได้ การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องจะช่วยป้องกันไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้นและยังช่วยส่งเสริมให้การรักษาทางการแพทย์ได้ผลดียิ่งขึ้น ฝ้าสามารถจัดการได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

• การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด นี่คือหัวใจสำคัญของการรักษาฝ้า โดยต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA+++ ที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA, UVB และแสงสีฟ้า ควรทาซ้ำทุก 2-4 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งหรือใกล้หน้าต่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าถูกกระตุ้น
• การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นความร้อน ฝ้าถูกกระตุ้นจากความร้อนและรังสีอินฟราเรดด้วย ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้แหล่งความร้อนสูง เช่น การทำอาหารหน้าเตาเป็นเวลานาน การเข้าห้องซาวน่า หรือการตากแดดจัดโดยตรง
• การใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนฝ้าที่มีส่วนผสมอ่อนโยน ฝ้า สามารถจางลงได้ด้วยสกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดเม็ดสี เช่น วิตามินซี (Vitamin C), ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide), กรดโคจิก (Kojic Acid), และ อาร์บูติน (Arbutin) โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อไม่ให้เกิดฝ้าจากการอักเสบ
• การหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว ฝ้ามักเกิดจากการอักเสบ การหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม สารที่ทำให้หน้าลอก หรือสารอันตรายที่ทำให้ผิวบาง เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าอักเสบและเข้มขึ้น
• การดูแลสุขภาพโดยรวม ฝ้าสัมพันธ์กับความเครียดและฮอร์โมน การพักผ่อนให้เพียงพอ การจัดการความเครียด และการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดโอกาสเกิดฝ้าได้

ฝ้า
ฝ้า (Melasma) เกิดจากสาเหตุอะไร มีกี่ชนิด มีวิธีรักษาฝ้าและป้องกันได้อย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษาฝ้า ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

รวมหัตถการรักษาฝ้า
ฝ้า คือปัญหาผิวที่ซับซ้อนและต้องอาศัยการรักษาหลายวิธีร่วมกัน โดยหัตถการทางการแพทย์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยจัดการกับเม็ดสีฝ้าได้ ฝ้าจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีที่สุดเมื่อเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชนิดและความลึกของฝ้านั้น ๆ

โปรแกรมเลเซอร์รักษาฝ้า
การใช้โปรแกรมเลเซอร์เป็นหัตถการหลักในการรักษาฝ้า โดยมุ่งเน้นการทำลายเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ในชั้นผิวโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ฝ้าที่ตอบสนองต่อเลเซอร์จะค่อย ๆ จางลงเมื่อเม็ดเลือดขาวมาเก็บกินเม็ดสีที่แตกตัวไป การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรมเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมมีหลายโปรแกรมที่ทำหน้าที่แตกเม็ดสีฝ้าให้ละเอียด ลดความร้อนสะสม และลดความเสี่ยงการเกิดฝ้ากลับมาเข้มขึ้น (PIH)

โปรแกรมเมโสฝ้า
โปรแกรมเมโสฝ้า คือการฉีดสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรงในบริเวณที่มีฝ้า สารสำคัญที่ใช้ในการจัดการกับฝ้า มักได้แก่ Tranexamic Acid, วิตามินซีเข้มข้น, หรือสารกลุ่ม Whitening Agent อื่น ๆ การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ช่วยให้สารออกฤทธิ์เข้าถึงเซลล์สร้างเม็ดสีได้เข้มข้นกว่าการทายา ฝ้าจะค่อย ๆ จางลง และสีผิวจะดูสม่ำเสมอขึ้น เนื่องจากเป็นการลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีอย่างเฉพาะเจาะจง ฝ้าที่ดื้อต่อยาทามักตอบสนองต่อโปรแกรมฉีดเมโส

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
หัตถการนี้เป็นการใช้กรดที่มีความเข้มข้นตามที่กำหนดทางการแพทย์ทาลงบนผิว เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอก (Epidermis) ให้หลุดลอกเร็วขึ้น ฝ้าชนิดตื้นที่เม็ดสีสะสมอยู่ชั้นบนจะถูกกำจัดออกไปพร้อมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ฝ้าดูจางลงได้ ฝ้าที่ตอบสนองต่อวิธีนี้คือฝ้าตื้น อย่างไรก็ตาม การผลัดเซลล์ผิวต้องทำอย่างระมัดระวังและภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะหากผิวอักเสบหรือระคายเคืองอย่างรุนแรง อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้า หรือรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) แทน

การทำทรีตเมนต์และโปรแกรมไอออนโต
เป็นวิธีการเสริมที่ใช้ในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะการทำทรีตเมนต์ที่ใช้คลื่นไฟฟ้า (Iontophoresis หรือ Phonophoresis) เพื่อผลักวิตามิน หรือสารยับยั้งเม็ดสี เช่น วิตามิน C หรือ Arbutin ให้ซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้นกว่าการทาปกติ ฝ้าจะได้รับการบำรุงและลดการทำงานของเม็ดสีอย่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับใช้ควบคู่กับเลเซอร์หรือการใช้ยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาฝ้า และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝ้าจะค่อย ๆ มีสีจางลงเมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ

ฝ้า
ฝ้า (Melasma) เกิดจากสาเหตุอะไร มีกี่ชนิด มีวิธีรักษาฝ้าและป้องกันได้อย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษาฝ้า ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

รวมโปรแกรมเลเซอร์ฝ้าที่น่าสนใจ
การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรมเลเซอร์เป็นวิธีที่นิยมเนื่องจากสามารถทำลายเม็ดสีฝ้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีเลเซอร์หลายชนิดที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อจัดการกับฝ้าแต่ละชนิด ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีจุดเด่นในการรักษาฝ้าที่แตกต่างกันไป

ฝ้า
ฝ้า (Melasma) เกิดจากสาเหตุอะไร มีกี่ชนิด มีวิธีรักษาฝ้าและป้องกันได้อย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษาฝ้า ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

โปรแกรม Pico Laser ฝ้า
โปรแกรม Pico Laser ถือเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะฝ้าชนิดดื้อยาและฝ้าลึก หลักการทำงานคือการปล่อยพลังงานเลเซอร์ที่เร็วถึงระดับพิโควินาที (Picosecond) เข้าไปแตกเม็ดสีฝ้าให้ละเอียด จนเป็นอนุภาคที่เล็กมาก ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดออกได้ง่ายกว่าโปรแกรมเลเซอร์ทั่วไป ความเร็วสูงนี้ยังช่วยลดการเกิดความร้อนสะสมใต้ผิว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น (PIH) การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Pico Laser จึงมีการดูแลให้ปลอดภัยและช่วยฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสไปพร้อม ๆ กับการลดเลือนฝ้า

โปรแกรม Q-Switched ฝ้า
โปรแกรม Q-Switched เป็นเลเซอร์ที่ใช้มานานในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะฝ้าชนิดลึก หลักการคือการปล่อยพลังงานในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของเม็ดสีฝ้า ทำให้เม็ดสีแตกตัวออก การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรม Q-Switched Laser ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ในการตั้งค่าพลังงาน เนื่องจากถ้าใช้พลังงานสูงเกินไปก็อาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้มักต้องทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และยังช่วยลดรอยดำอื่น ๆ ที่เกิดจากสิวได้ด้วย

โปรแกรม Dual Yellow Laser
โปรแกรม Dual Yellow Laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถปล่อยคลื่นแสงได้สองสีคือ แสงสีเหลือง (578 nm) และ แสงสีเขียว (511 nm) การทำงานของเลเซอร์นี้มีความโดดเด่นในการจัดการกับฝ้าที่มีความเกี่ยวข้องกับ เส้นเลือดฝอยผิดปกติ (ฝ้าเลือด) แสงสีเหลืองจะถูกดูดซับได้ดีโดยฮีโมโกลบินในเส้นเลือด ทำให้ช่วยลดเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้น ส่วนแสงสีเขียวจะเน้นไปที่การทำลายเม็ดสีฝ้า โดยตรง การรักษาฝ้าด้วย Dual Yellow Laser จึงเป็นการรักษาที่จัดการได้ทั้งเม็ดสีและเส้นเลือดไปพร้อมกัน ทำให้การรักษาฝ้าทำได้ดีมากขึ้นในผู้ป่วยบางราย

โปรแกรม Fractional CO2 Laser ฝ้า
โปรแกรม Fractional CO2 Laser เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความเสียหายขนาดเล็กเป็นจุด ๆ (Micro-columns) บนผิวหนังเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมแซมและสร้าง Collagen ใหม่ แม้จะไม่ใช่เลเซอร์ที่เน้นเม็ดสีโดยตรง แต่การใช้ Fractional Laser ในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะฝ้าที่มีความหนาและสะสมมานาน จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่มีเม็ดสีฝ้าถูกผลัดออกไปพร้อมกับการฟื้นฟูผิวใหม่ วิธีนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากความร้อนและการบาดเจ็บที่เกิดจากการทำ Fractional Laser อาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ถ้าแพทย์ขาดประสบการณ์และผู้ป่วยดูแลผิวหลังทำไม่ดีพอ

ฝ้า
ฝ้า (Melasma) เกิดจากสาเหตุอะไร มีกี่ชนิด มีวิธีรักษาฝ้าและป้องกันได้อย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษาฝ้า ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

เลือกวิธีรักษาฝ้าแบบไหนดี ต้องดูจากอะไร
การเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะสมจำเป็นต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน เพื่อให้การรักษาฝ้าได้ผลลัพธ์ที่ดีเพราะฝ้ามีหลายชนิดและแต่ละชนิดก็ตอบสนองต่อการรักษาแตกต่างกัน การตัดสินใจควรปรึกษาแพทย์ด้านผิวหนังให้ละเอียด ดังนี้

• การวินิจฉัยชนิดและความลึกของฝ้า ต้องประเมินก่อนว่าเม็ดสีฝ้าอยู่ในชั้นตื้น (Epidermis) หรือชั้นลึก (Dermis) ฝ้าตื้นมักตอบสนองต่อยาทาและทรีตเมนต์ได้ดี แต่ฝ้าลึกจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ลงลึก เช่น โปรแกรม Pico Laser ในการรักษาฝ้า
• ปัจจัยกระตุ้นและอาการร่วม หากฝ้ามีความเกี่ยวข้องกับเส้นเลือดฝอยผิดปกติ (ฝ้าเลือด) การรักษาฝ้าต้องรวมการใช้โปรแกรมเลเซอร์ที่เน้นทำลายเส้นเลือด เช่น Dual Yellow Laser เพื่อจัดการกับปัจจัยกระตุ้นฝ้าควบคู่ไปด้วย
• สภาพผิวและความไวต่อการอักเสบ ผู้ที่มีผิวบอบบางหรือมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) สูง ควรเลือกวิธีรักษาฝ้าที่อ่อนโยนและลดความร้อนสะสม เช่น โปรแกรมฉีดเมโสฝ้า หรือโปรแกรม Pico Laser ฝ้าที่มีผลข้างเคียงต่ำ
• งบประมาณและความสม่ำเสมอในการรักษา การรักษาฝ้าด้วยโปรแกรมเลเซอร์อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่เห็นผลเร็ว ในขณะที่การใช้ยาทาหรือทรีตเมนต์จะประหยัดกว่า แต่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและเวลาในการรักษาฝ้าที่ยาวนานกว่า
• ระยะเวลาพักฟื้นที่ยอมรับได้ หัตถการบางชนิด เช่น การทำโปรแกรม Fractional Laser เพื่อรักษาฝ้าอาจทำให้เกิดสะเก็ดและต้องใช้เวลาพักฟื้น ผู้ป่วยต้องเลือกวิธีรักษาฝ้าที่สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวันของตนเอง
• การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ฝ้ามีความซับซ้อนมาก การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับแผนการรักษาฝ้าที่ปรับให้เข้ากับสภาพผิวและประวัติทางการแพทย์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

สรุป การรักษาฝ้า จำเป็นหรือไม่
การรักษาฝ้ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าฝ้าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงทางกายภาพ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตอย่างรุนแรง การรักษาฝ้าช่วยป้องกันไม่ให้ปื้นสีเข้มขึ้น ลุกลาม หรือกลายเป็นฝ้าที่รักษายาก

ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย การรักษาจึงต้องทำอย่างต่อเนื่องและควบคู่ไปกับการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เม็ดสีฝ้าจางลงและผิวแข็งแรงขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความมั่นใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หากสนใจโปรแกรมรักษาฝ้าที่ APEX สามารถจองคิวเพื่อสอบถามและปรึกษากับแพทย์ หรือใครที่มีข้อสงสัยและคำถามเพิ่มเติม สามารถทักเข้ามาสอบถามได้เลยค่ะ

สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับ ฝ้า (Melasma) เกิดจากสาเหตุอะไร มีกี่ชนิด มีวิธีรักษาฝ้าและป้องกัน,ฝ้า หรือสอบถามรายละเอียด โปรโมชั่นพิเศษ หรือ หัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ทุกช่องทางค่ะ

Apex
Apex

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาเพลินจิต

ฝ้า คือปัญหาผิวที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินที่ผลิตมากเกินไปและสะสมตัวอยู่ใต้ผิวหนังอย่างไม่สม่ำเสมอ โดยปัจจุบันมีโปรแกรมเลเซอร์ฝ้ามากมายให้ทุกคนได้เลือก ฝ้า (Melasma) คืออะไร เกิดจากอะไร ส่งผลเสียอะไร แก้ไขยังไงได้บ้าง

18
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
รับโปรโมชั่นพิเศษ
รับโปรโมชั่นพิเศษ
ปรึกษาฟรี
ปรึกษาฟรี
โทรสอบถามโปรโมชั่น
โทรสอบถามโปรโมชั่น