บทความเกี่ยวกับ : เป็นฝ้า

Pico หลุมสิว 6990 ซื้อ 1 แถม 1
AviClear Laser

เป็นฝ้ารักษายังไงให้หายจริง ? รวมวิธีดูแลแบบดีและเห็นผล
เป็นฝ้า สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกันไม่ให้กลับมาอีก
เป็นฝ้าคำนี้คงสร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน เพราะเป็นฝ้าไม่ใช่แค่เรื่องความงามภายนอก แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวันอย่างมาก ผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาเป็นฝ้า มักจะมองหาวิธีรักษาที่เป็นฝ้าให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากเป็นฝ้าเป็นภาวะที่ซับซ้อนและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจทุกแง่มุมของปัญหาเป็นฝ้า

เพื่อให้คุณสามารถดูแลผิวและหาแนวทางรักษาเป็นฝ้าได้อย่างถูกจุด เพื่อผิวหน้าที่กระจ่างใสและมั่นใจในระยะยาว การเข้าใจถึงสาเหตุและกลไกที่ทำให้เราเป็นฝ้าจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และลดโอกาสที่จะกลับมาเป็นฝ้าอีกในอนาคต

สาเหตุของการเป็นฝ้า และประเภทของการเป็นฝ้าที่ควรรู้
การทำความเข้าใจสาเหตุของการเกิดการเป็ฯฝ้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการวางแผนการรักษาและการป้องกันเป็นฝ้าไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมของหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ทำให้เม็ดสีเมลานินผลิตออกมามากเกินไปจนเกิดเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลบนใบหน้า การรู้ว่าคุณเป็นฝ้าจากปัจจัยใดจะช่วยให้การดูแลเป็นฝ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดเป็นฝ้า
• แสงแดด (Ultraviolet Radiation) นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งและสำคัญที่สุดของการเป็นฝ้า แสง UVA และ UVB โดยเฉพาะ UVA สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีโดยตรง ทำให้ผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือก็สามารถกระตุ้นให้เป็นฝ้าได้เช่นกัน การปกป้องผิวจากแสงแดดจึงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและรักษาเป็นฝ้า ไม่ว่าคุณจะออกไปข้างนอกหรืออยู่ในที่ร่ม การสัมผัสแสงแดดโดยไม่ป้องกันคือความเสี่ยงอันดับหนึ่งของการเป็นฝ้า

• ฮอร์โมน (Hormonal Imbalance) การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนมีความสัมพันธ์เกิดเป็นฝ้าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มดังต่อไปนี้
- การตั้งครรภ์ มักเรียกว่า "ฝ้าตั้งครรภ์" หรือ Chloasma พบบ่อยในช่วงไตรมาสที่สองและสามของการตั้งครรภ์ และมักจางลงหลังคลอดบุตร อย่างไรก็ตาม บางรายก็ยังคงเป็นฝ้าอยู่ ฝ้าประเภทนี้มักจะค่อยๆ ดีขึ้นเองเมื่อฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติ
- การใช้ยาคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงสามารถกระตุ้เกิดการเป็นฝ้าได้ ผู้ที่กำลังใช้ยาคุมกำเนิดและสังเกตว่าเป็นฝ้ามากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น การเปลี่ยนชนิดของยาคุมกำเนิดอาจช่วยลดการเป็นฝ้าได้
- การใช้ฮอร์โมนบำบัด ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับฮอร์โมนทดแทน ก็มีโอกาสเป็นฝ้าได้เช่นกัน การเป็นฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมนมักจะเป็นฝ้าที่รักษาค่อนข้างยาก

• พันธุกรรม (Genetic Predisposition) หากคนในครอบครัว เช่น แม่หรือพี่สาวมีประวัติเป็นฝ้า คุณก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นฝ้าได้มากกว่าคนทั่วไป ปัจจัยทางพันธุกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าบางคนมีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ได้ง่ายกว่า การรู้ว่ามีประวัติทางพันธุกรรมจะช่วยให้คุณเฝ้าระวังและป้องกันการเป็นฝ้าได้ดีขึ้น

• เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สารเคมีบางชนิดในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง การอักเสบ และนำไปสู่การเกิดการเป็นฝ้าหลังจากการสัมผัสแสงแดดได้ (Photoallergic/Phototoxic reactions) การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการแพ้จึงสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าง่าย หรือผู้ที่ผิวบอบบาง

• ยาบางชนิด ยาบางกลุ่ม เช่น ยาต้านอาการชัก ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือยาขับปัสสาวะ อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดและเกิดการเป็นฝ้าได้ง่ายขึ้น หากกำลังใช้ยาเหล่านี้และสังเกตว่าเป็นฝ้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไข

• ความร้อนและมลภาวะ การสัมผัสกับความร้อนสูงเป็นเวลานาน (เช่น การทำงานหน้าเตาไฟ หรือการทำอาหาร) หรือการสัมผัสกับมลภาวะทางอากาศก็สามารถกระตุ้นให้เป็นฝ้าได้ เพราะความร้อนและการอักเสบในชั้นผิวสามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดสีได้โดยตรง

• ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดเป็นฝ้า และทำให้ปัญหาเป็นฝ้ารุนแรงขึ้น การจัดการความเครียดและการนอนหลับอย่างเพียงพอจึงเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตนเองเมื่อเป็นฝ้า

ประเภทของการเป็นฝ้าที่ควรรู้
การแบ่งประเภทของฝ้าจะช่วยให้แพทย์ประเมินและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากความลึกของเม็ดสีในชั้นผิว

• เป็นฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) เป็นฝ้าที่เม็ดสีอยู่บริเวณชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ซึ่งเป็นผิวชั้นบนสุด มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน ขอบเขตชัดเจน ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีและใช้เวลารักษาน้อยกว่า หากคุณเป็นฝ้าชนิดนี้ ถือว่ามีโอกาสจางลงได้เร็วด้วยการใช้ยาและเวชสำอาง

• เป็นฝ้าลึก (Dermal Melasma) เป็นฝ้าที่เม็ดสีอยู่ลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมฟ้าหรือเทา ขอบเขตไม่ชัดเจน การรักษายากกว่าและใช้เวลานานกว่าฝ้าตื้นมาก หากคุณเป็นฝ้าลึก อาจต้องอาศัยการรักษาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เลเซอร์

• เป็นฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุด คือมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกปะปนกันอยู่ในบริเวณเดียวกัน การรักษาจะต้องผสมผสานหลายวิธี หากคุณเป็นฝ้าชนิดนี้ การวางแผนการรักษาแบบองค์รวมจึงสำคัญที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

กลไกการเกิดฝ้า ทำไมผิวเราถึงมีจุดด่างดำ
การทำความเข้าใจกลไกการเกิดฝ้าจะช่วยให้เราเห็นภาพว่าทำไมวิธีการรักษาแต่ละอย่างจึงได้ผล และเหตุใดเราจึงเป็นฝ้าได้ง่าย ฝ้าเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีที่เรียกว่า "เมลาโนไซต์" (Melanocyte) ซึ่งปกติแล้วจะทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีเมลานินเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี การมีเมลาโนไซต์ที่ทำงานเกินขนาดคือหัวใจหลักของปัญหาเป็นฝ้า

เมื่อผิวสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด (โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB) ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง การอักเสบ หรือความเครียด เมลาโนไซต์จะถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีเมลานินออกมาในปริมาณที่มากเกินไปและไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบว่าเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติ (Vascular component) และเซลล์ผิวอื่นๆ เช่น Keratinocytes และ Fibroblasts ก็มีส่วนร่วมในกระบวนการเกิดเป็นฝ้าด้วย ทำให้เกิดเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลบนผิวหนัง ทำให้เรามองเห็นว่าเป็นฝ้านั่นเอง

กระบวนการนี้สามารถสรุปได้ง่าย ๆ คือ
1.การกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก/ภายใน แสงแดด, ฮอร์โมน, การอักเสบจากมลภาวะ หรือการแพ้ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งสัญญาณไปยังเมลาโนไซต์
2.เมลาโนไซต์ทำงานเกินขนาด เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาป้องกันตัวเองของผิว แต่เมื่อผลิตมากเกินไปและไม่สม่ำเสมอ ก็ทำให้เกิดปัญหาเป็นฝ้า
3.การสะสมของเมลานิน เม็ดสีที่มากเกินไปสะสมอยู่ในชั้นผิวหนังกำพร้าและ/หรือหนังแท้ ความลึกของการสะสมนี้เองที่เป็นตัวกำหนดว่าคุณเป็นฝ้าประเภทไหน
4.เกิดเป็นรอยฝ้า ปรากฏเป็นปื้นสีน้ำตาลบนใบหน้า ทำให้คุณเป็นฝ้าอย่างที่เห็นชัดเจน

การที่เม็ดสีฝังตัวอยู่ในชั้นผิวที่แตกต่างกัน ทำให้ฝ้ามีทั้งเป็นฝ้าตื้น ฝ้าลึก และเป็นฝ้าผสม ซึ่งส่งผลต่อการตอบสนองต่อการรักษา ผู้ที่เป็นฝ้ามานานมักจะมีเม็ดสีที่ฝังลึกกว่า ทำให้การรักษายากขึ้นและต้องใช้เวลามากกว่า การเข้าใจกลไกนี้จะช่วยให้เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาเป็นฝ้า

เป็นฝ้า

เป็นฝ้า เกิดจากสาเหตุ วิธีรักษาและการป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาอีก

ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษาเป็นฝ้า ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

วิธีรักษาการเป็นฝ้า ตั้งแต่เวชสำอางจนถึงเลเซอร์
การรักษาการเป็นฝ้าต้องอาศัยความเข้าใจและความอดทน เนื่องจากฝ้าเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง การรักษาที่มีประสิทธิภาพมักต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวและความรุนแรงของฝ้าเพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อแก้ไขปัญหาเป็นฝ้าได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

1.การใช้ยาและเวชสำอาง
เป็นวิธีพื้นฐานและสำคัญที่สุดในการรักษาฝ้าและมักจะเป็นด่านแรกที่แพทย์แนะนำสำหรับผู้ที่เป็นฝ้า ยาเหล่านี้ช่วยลดการสร้างเม็ดสีและช่วยผลัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีส่วนเกิน

• ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาฝ้า ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้เม็ดสีจางลงอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวระคายเคือง แดง หรือในบางกรณีอาจทำให้เกิดภาวะ Ochronosis (ผิวคล้ำขึ้นจากการใช้ยาผิดวิธี) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ที่เป็นฝ้า หากใช้ยาไม่ถูกต้อง
• กรดวิตามินเอ (Tretinoin/Retinoids) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ลดการจับตัวของเม็ดสี และช่วยเพิ่มการดูดซึมของยาอื่นๆ มีผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้ง ลอก หรือระคายเคืองได้ จึงควรเริ่มใช้ในปริมาณน้อยและค่อย ๆ เพิ่มความถี่ สารกลุ่มนี้ช่วยให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ได้เร็วขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าที่ต้องการให้ผิวดูสดใสขึ้น
• กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี และยังมีคุณสมบัติลดการอักเสบ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นฝ้าที่เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง หรือมีสิวร่วมด้วย
• กรดโคจิก (Kojic Acid) และกรดแอลฟา-อาร์บูติน (Alpha-Arbutin) เป็นสารที่ได้รับความนิยมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและฝ้า ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เช่นเดียวกับไฮโดรควิโนน แต่มีความอ่อนโยนกว่าและสามารถใช้ได้ในระยะยาวสำหรับผู้ที่เป็นฝ้า
• วิตามินซี (Ascorbic Acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดการสร้างเม็ดสี และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าที่ต้องการฟื้นฟูผิวและเพิ่มความกระจ่างใส
• สารสกัดจากพืชธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากชะเอมเทศ (Licorice Extract), ทรานแซมิกแอซิด (Tranexamic Acid) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีและลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงสำหรับผู้ที่เป็นฝ้า
• กลุ่มสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA (Glycolic Acid, Lactic Acid) และ BHA (Salicylic Acid) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่มีเม็ดสีออกไป ทำให้ฝ้าดูจางลงและผิวดูสดใสขึ้น ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หากคุณเป็นฝ้าและมีผิวบอบบาง

2.การผลัดเซลล์ผิวด้วยเคมี
เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ทาลงบนผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ ทำให้ฝ้าจางลงและเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสขึ้น ชนิดของสารเคมีที่ใช้และความเข้มข้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของฝ้า รวมถึงสภาพผิวของแต่ละบุคคล ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การทำ Chemical Peel สามารถช่วยเร่งกระบวนการลดเลือนฝ้าได้ดีสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าชนิดตื้น

• AHA Peel (Alpha Hydroxy Acids) เช่น Glycolic Acid หรือ Lactic Acid ใช้เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ทำให้ฝ้าดูจางลงและผิวดูเรียบเนียนขึ้น
• TCA Peel (Trichloroacetic Acid) เป็นการลอกผิวที่ลึกกว่า AHA ใช้สำหรับฝ้าที่รุนแรงกว่า และต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
• Salicylic Acid Peel (BHA) เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าและมีปัญหาสิวร่วมด้วย เนื่องจากมีคุณสมบัติละลายไขมันได้ดี

3.การรักษาด้วยโปรแกรมเลเซอร์
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการรักษาการเป็นฝ้า โดยเฉพาะเป็นฝ้าลึกและเป็นฝ้าที่ดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น เลเซอร์จะส่งพลังงานแสงไปทำลายเม็ดสีส่วนเกินโดยเฉพาะ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง

• โปรแกรม Q-Switched Nd:YAG Laser เป็นเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานในช่วงเวลาสั้นมากๆ ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วร่างกายจะกำจัดออกไปเอง เป็นเลเซอร์ที่นิยมใช้ในการรักษาฝ้ากระ จุดด่างดำต่างๆ มีหลายประเภท เช่น Spectra XT, RevLite
• โปรแกรม Pico Laser เป็นเลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ปล่อยพลังงานในระดับ Picosecond (หนึ่งในล้านล้านของวินาที) ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียดกว่า Q-Switched Laser และใช้พลังงานที่ต่ำกว่า ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น การเกิดรอยดำหลังทำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH) ได้ดีกว่า และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและปลอดภัย
• โปรแกรม Dual Yellow Laser เป็นเลเซอร์ที่มี 2 ความยาวคลื่น คือแสงสีเหลืองและแสงสีเขียว แสงสีเหลืองจะช่วยลดรอยแดงจากเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการเกิดฝ้า และยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ขณะที่แสงสีเขียวช่วยลดเม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าที่มีรอยแดงร่วมด้วย หรือเป็นฝ้าเลือด
• โปรแกรม IPL (Intense Pulsed Light) ไม่ใช่เลเซอร์แต่เป็นแสงความเข้มสูง ใช้ในการรักษาฝ้าตื้น รอยแดง จุดด่างดำ และช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ แต่อาจมีความเสี่ยงในการกระตุ้นให้เกิดฝ้ามากขึ้นหากใช้พลังงานไม่เหมาะสมหรือผู้ทำไม่มีความเชี่ยวชาญ

สิ่งสำคัญในการทำเลเซอร์เพื่อรักษาฝ้า
• เลือกแพทย์ การทำเลเซอร์ฝ้าต้องอาศัยประสบการณ์ของแพทย์อย่างมาก เพื่อปรับตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวและความลึกของฝ้า หากตั้งค่าพลังงานไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น รอยดำคล้ำขึ้น หรือรอยขาวถาวรได้ ผู้ที่กำลังเป็นฝ้าควรศึกษาข้อมูลและเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ
• การดูแลผิวหลังทำโปรแกรมเลเซอร์ เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และดูแลผิวให้ชุ่มชื้น จะช่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นฝ้าซ้ำ และช่วยให้ผลการรักษายาวนานขึ้น

4.โปรแกรมฉีดเมโสหน้าใส
เป็นการฉีดสารบำรุงผิวหรือยาที่มีส่วนผสมของสารลดเม็ดสี วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ หรือกรดทรานแซมิกแอซิด เข้าสู่ชั้นผิวหนังโดยตรงบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อให้สารออกฤทธิ์ได้ตรงจุดและเห็นผลรวดเร็วขึ้น วิธีนี้ช่วยลดการสร้างเม็ดสี และช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและกระจ่างใสขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างเร่งด่วน

5.การรับประทานยา
ในบางกรณี โดยเฉพาะเป็นฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน หรือฝ้าที่ดื้อต่อการรักษาอื่น ๆ แพทย์อาจพิจารณาให้ยารับประทานร่วมด้วย

• กรดทรานแซมิก (Tranexamic Acid) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยม มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ช่วยลดความรุนแรงของฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงบางประการ
• ยาต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, สารสกัดจากเปลือกสน (Pycnogenol) หรือสารสกัดจากทับทิม ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดดและอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เป็นฝ้า

นวัตกรรมการรักษาฝ้าทางการแพทย์ ทางเลือกเพื่อผิวใส
นอกเหนือจากวิธีการรักษาเบื้องต้นแล้ว เทคโนโลยีทางการแพทย์ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่กำลังเป็นฝ้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น

• โปรแกรม Fractional Laser (เช่น Fraxel, Thulium Laser) เลเซอร์กลุ่มนี้จะยิงลำแสงเป็นจุดเล็กๆ ลงไปบนผิวหนัง ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยที่ผิวรอบๆ บริเวณที่ยิงยังคงปกติ ช่วยให้ฝ้าจางลงและผิวเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าและมีปัญหาเรื่องริ้วรอย หรือรอยแผลเป็นร่วมด้วย
• การบำบัดด้วยแสง (Photodynamic Therapy - PDT) เป็นการใช้สารไวแสงทาลงบนผิว ร่วมกับการฉายแสงบางชนิด เพื่อกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ช่วยทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ วิธีนี้ยังไม่แพร่หลายเท่าเลเซอร์ แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการเป็นฝ้าบางชนิด
• โปรแกรม Exosomes Therapy นวัตกรรมล่าสุดในการฟื้นฟูผิวที่ใช้ Exosomes ซึ่งเป็นถุงนาโนขนาดเล็กที่บรรจุสารชีวภาพต่างๆ เช่น โปรตีน ไขมัน และกรดนิวคลีอิก ที่เซลล์ปล่อยออกมาเพื่อสื่อสารกัน การนำ Exosomes มาใช้ในการรักษาฝ้าช่วยในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการอักเสบ และฟื้นฟูเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรง ทำให้ฝ้าจางลงและลดโอกาสการกลับมาเป็นฝ้าอีกในอนาคต

การดูแลผิวเป็นฝ้าด้วยตัวเองเคล็ดลับเพื่อผิวสุขภาพดี
การรักษาฝ้าด้วยวิธีทางการแพทย์จะได้ให้ผลลัพธ์น่าพึงพอใจเมื่อควบคู่ไปกับการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง การดูแลผิวเป็นฝ้าด้วยตัวเองอย่างถูกวิธีจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษา และลดโอกาสการกลับมาเป็นฝ้าซ้ำ

1.การปกป้องผิวจากแสงแดด หัวใจสำคัญของการรักษาการเป็นฝ้า
ไม่ว่าจะรักษาการเป็นฝ้าด้วยวิธีใด การปกป้องผิวจากแสงแดดคือสิ่งสำคัญที่สุด หากไม่ป้องกันอย่างเคร่งครัด ฝ้าก็มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงมาก

• ทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูง เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50+ และ PA+++ ขึ้นไป ซึ่งสามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB ทาทุกวันแม้ในวันที่ไม่มีแดด หรืออยู่ในที่ร่ม และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หากมีเหงื่อออกมาก หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรทาครีมกันแดดปริมาณที่เพียงพอ คือประมาณ 2 ข้อนิ้วสำหรับทั่วใบหน้าและลำคอ
• หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-16.00 น.หากจำเป็นต้องออกแดด ควรใส่หมวกปีกกว้าง กางร่ม สวมแว่นกันแดด และเสื้อแขนยาว
• ปกป้องผิวจากแสงสีฟ้า แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือก็สามารถกระตุ้นการเกิดการเป็นฝ้าได้เช่นกัน ควรใช้ฟิล์มกรองแสงบนหน้าจอ หรือใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงสีฟ้า

2.การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม
ผู้ที่เป็นฝ้ามักมีผิวที่บอบบางและไวต่อการระคายเคือง การเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนจึงเป็นสิ่งจำเป็น

• เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและปราศจากสารระคายเคือง หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารกันเสียบางชนิดที่อาจก่อให้เกิดการแพ้และการระคายเคือง
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารลดเม็ดสี เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี อาร์บูติน ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) หรือทรานแซมิกแอซิด เพื่อช่วยลดการสร้างเม็ดสีและทำให้ฝ้าจางลง
• ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอย่างเพียงพอ ผิวที่ชุ่มชื้นจะแข็งแรงและทนทานต่อปัจจัยภายนอกได้ดีกว่า เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันมากเกินไป และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
• หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวหน้าแรงๆ การขัดถูผิวแรงๆ จะทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งอาจกระตุ้นให้เป็นฝ้ารุนแรงขึ้น

3.การดูแลผิวหลังการรักษาทางการแพทย์
หากคุณเข้ารับการรักษาการเป็นฝ้าด้วยเลเซอร์ หรือการทำทรีทเม้นท์อื่นๆ การดูแลผิวหลังทำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

• ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลผิวหลังทำอย่างละเอียด เช่น การทายา การประคบเย็น หรือการหลีกเลี่ยงแสงแดด
• งดแต่งหน้าชั่วคราว ในช่วงแรกหลังทำเลเซอร์ ผิวอาจจะยังบอบบาง ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า หรือเลือกใช้เครื่องสำอางที่อ่อนโยนและไม่อุดตัน
• หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ผิวร้อน เช่น การอบซาวน่า การออกกำลังกายหนักๆ ที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพราะความร้อนสามารถกระตุ้นการเกิดเม็ดสีได้

อาหารและการใช้ชีวิต ปัจจัยสำคัญในการจัดการฝ้า
นอกจากการดูแลผิวภายนอกแล้ว การดูแลสุขภาพจากภายในก็มีบทบาทสำคัญในการจัดการปัญหาเป็นฝ้า การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตสามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาและป้องกันการกลับมาเป็นฝ้าอีก

1.อาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว
• สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นการเกิดฝ้า พบมากในผักผลไม้หลากสี เช่น เบอร์รี่ต่างๆ มะเขือเทศ แครอท บรอกโคลี พริกหวาน และผักใบเขียวเข้ม
• วิตามินซี นอกจากจะช่วยลดการสร้างเม็ดสีแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรง พบมากในฝรั่ง ส้ม กีวี สตรอว์เบอร์รี
• วิตามินอี ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ พบมากในน้ำมันพืช ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืช และอะโวคาโด
• กรดไขมันโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นฝ้า พบมากในปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า เมล็ดแฟลกซ์ และวอลนัท
• ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ การดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ขับของเสีย และช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพผิวโดยรวม

2.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
• จัดการความเครียด ความเครียดส่งผลต่อฮอร์โมนและอาจกระตุ้นให้เป็นฝ้า ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำโยคะ การนั่งสมาธิ การฟังเพลง หรือการทำกิจกรรมที่ชอบ
• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง และฟื้นฟูเซลล์ผิว
• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ สารพิษในแอลกอฮอล์และบุหรี่ทำลายเซลล์ผิว และทำให้ผิวอ่อนแอลง ส่งผลให้ปัญหาเป็นฝ้ารุนแรงขึ้น
• ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน หากคุณเป็นฝ้าจากการใช้ยาเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม

เป็นฝ้า

เป็นฝ้า เกิดจากสาเหตุ วิธีรักษาและการป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาอีก

ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษาเป็นฝ้า ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ดูแลผิวอย่างไรไม่ให้ฝ้ากลับมาอีก การป้องกันระยะยาว
การรักษาฝ้าให้จางลงแล้วไม่ได้หมายความว่าฝ้าจะหายไปอย่างถาวร เพราะฝ้ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงมาก หากไม่ดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องและป้องกันปัจจัยกระตุ้น การดูแลผิวอย่างยั่งยืนและการป้องกันในระยะยาวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่เคยเป็นฝ้า

• วินัยในการทาครีมกันแดด นี่คือมาตรการป้องกันอันดับหนึ่งและสำคัญที่สุดอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ครีมกันแดดต้องเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณตลอดไป ไม่ว่าจะออกไปไหน หรืออยู่ที่บ้าน เพราะแม้แต่แสงไฟนีออนก็สามารถกระตุ้นเม็ดสีได้
• การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารลดเม็ดสีอย่างต่อเนื่อง แม้ฝ้าจะจางลงแล้ว ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารลดเม็ดสีในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อควบคุมการสร้างเม็ดสีและป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นอีก อาจเลือกใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำลง หรือใช้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
• หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น หากคุณรู้ว่าการเป็นฝ้าของคุณมีสาเหตุมาจากปัจจัยใด เช่น ฮอร์โมน ความเครียด หรือยาบางชนิด ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางออก
• การดูแลสุขภาพผิวโดยรวม รักษาความชุ่มชื้นของผิวอยู่เสมอ ด้วยการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสม เพราะผิวที่แข็งแรงจะสามารถปกป้องตัวเองจากปัจจัยภายนอกได้ดีกว่า และลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ หรือรอยดำหลังการอักเสบ
• การตรวจติดตามกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ การพบแพทย์ผิวหนังเป็นประจำ จะช่วยให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและปรับแผนการรักษาหรือการดูแลป้องกันได้อย่างเหมาะสม หากมีสัญญาณว่าฝ้ากำลังจะกลับมา แพทย์จะสามารถให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที
• หลีกเลี่ยงการทำให้ผิวระคายเคือง ไม่ว่าจะการขัดหน้า ถูหน้าแรงๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง หรือการทำหัตถการใดๆ ที่อาจทำให้ผิวบอบบางลง เพราะการระคายเคืองและการอักเสบสามารถกระตุ้นให้เม็ดสีทำงานผิดปกติและทำให้เป็นฝ้าได้

ชีวิตหลังการรักษาการเป็นฝ้า วิธีการดูแลให้อยู่ยาว
เมื่อคุณสามารถจัดการกับปัญหาเป็นฝ้าจนจางลงได้แล้ว สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่านี่คือการเริ่มต้นของการดูแลผิวอย่างยั่งยืน ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการรักษา ฝ้าเป็นภาวะที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ดังนั้น การมีวินัยในการดูแลตัวเองและปรับพฤติกรรมจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณกระจ่างใสไปได้นานที่สุด

• สร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ผิวที่สุขภาพดีและมีเกราะป้องกันที่สมบูรณ์จะสามารถต้านทานปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นการเป็นฝ้าได้ดีกว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramides) หรือกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เป็นประจำจะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้น
• สังเกตความเปลี่ยนแปลงของผิว หมั่นสำรวจผิวหน้าของคุณเป็นประจำ หากสังเกตเห็นจุดด่างดำเล็กๆ หรือความหมองคล้ำเริ่มปรากฏขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อหาแนวทางแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ฝ้าจะกลับมาเข้มขึ้นอีก
• การใช้เมคอัพอย่างชาญฉลาด เลือกใช้เมคอัพที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และสามารถปกปิดฝ้าได้โดยไม่ต้องใช้ปริมาณมากเกินไป การใช้รองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ที่มีสารกันแดดร่วมด้วยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
• ปรับสภาพแวดล้อม หากคุณต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูง หรือมีมลภาวะ ควรหาวิธีป้องกันผิว เช่น การใช้พัดลมช่วยระบายความร้อน การใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันมลภาวะ
• ดูแลสุขภาพจิตใจ ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เป็นฝ้า การดูแลสุขภาพจิตใจให้ดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ การทำกิจกรรมผ่อนคลาย หรือการพูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุลและลดผลกระทบต่อผิวหนัง

การรักษาและดูแลเมื่อเป็นฝ้า
การรักษาฝ้าให้หายจริงและไม่กลับมาเป็นซ้ำต้องอาศัยการผสมผสานหลายวิธีและอาศัยวินัยในการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

1.ยาทาและเวชสำอาง ใช้สารออกฤทธิ์ช่วยลดเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน, วิตามินซี, ทรานแซมิกแอซิด ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
2.การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) ใช้สารเคมีอ่อนๆ เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสี
3.เลเซอร์ เป็นวิธีที่นิยม โดยเฉพาะสำหรับเป็นฝ้าลึกเช่น Pico Laser หรือ Dual Yellow Laser ที่ช่วยทำลายเม็ดสีและลดรอยแดง การทำเลเซอร์ต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
4.การฉีดเมโสหน้าใส ฉีดสารบำรุงผิวเพื่อลดเม็ดสีโดยตรง
5.ยารับประทาน ในบางกรณี แพทย์อาจให้ยา เช่น กรดทรานแซมิก เพื่อเสริมการรักษา

ป้องกันไม่ให้การเป็นฝ้ากลับมาอีก
นี่คือหัวใจสำคัญของการดูแลผิวที่เป็นฝ้า เพราะฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย

• ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด ทาครีมกันแดด SPF 30-50+ PA+++ ทุกวันและทาซ้ำเสมอ แม้อยู่ในที่ร่ม หรือมีเมฆมาก สวมหมวก กางร่ม หลีกเลี่ยงแดดจัด นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้เป็นฝ้าซ้ำ
• ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวแพ้ง่าย และมีสารช่วยลดเม็ดสีอย่างต่อเนื่อง
• ดูแลสุขภาพจากภายใน พักผ่อนให้เพียงพอ จัดการความเครียด และรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
• พบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อติดตามผลและปรับแผนการดูแล

สรุปแนวทางดูแลเมื่อเป็นฝ้า เพื่อผิวกระจ่างใสในระยะยาว
การเป็นฝ้าไม่ใช่เพียงปัญหาผิวแต่ส่งผลถึงความมั่นใจในชีวิตประจำวัน การรักษาเป็นฝ้าต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน ทั้งเวชสำอาง เลเซอร์ และการดูแลสุขภาพจากภายใน ผู้ที่เป็นฝ้าควรใส่ใจการป้องกันอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการทาครีมกันแดดเป็นประจำ และปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ลดโอกาสการกลับมาเป็นฝ้าอีกในระยะยาว
ที่ Apex Beauty เราพร้อมให้คำปรึกษาด้านการรักษาฝ้าอย่างตรงจุดและปลอดภัย เพื่อให้คุณมีผิวหน้าที่กระจ่างใสและมั่นใจได้อีกครั้ง

สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับ เป็นฝ้า เกิดจากสาเหตุ วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาอีก,เป็นฝ้า หรือสอบถามรายละเอียด โปรโมชั่นพิเศษ หรือ หัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ทุกช่องทางค่ะ

Apex

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาเพลินจิต

เป็นฝ้าเกิดจากอะไร ? รักษายังไงให้หายโดยไม่กลับมาเป็นซ้ำ รวมทุกวิธีดูแลทั้งทางการแพทย์และธรรมชาติ พร้อมคำแนะนำที่ถูกต้อง เป็นฝ้ารักษายังไงให้หายจริง ? รวมวิธีดูแลแบบดีและเห็นผล

665
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
รับโปรโมชั่นพิเศษ
รับโปรโมชั่นพิเศษ
ปรึกษาฟรี
ปรึกษาฟรี
โทรสอบถามโปรโมชั่น
โทรสอบถามโปรโมชั่น