บทความเกี่ยวกับ : สลายไขมันด้วยความเย็น , Coolsculpting

Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น ดียังไง ? เห็นผลจริงมั้ย ?
ปัจจุบันนี้เทรนด์รักสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งโลก โดยทุกคนก็อยากจะมีสุขภาพที่ดี และพยายามหาวิธีต่าง ๆ ในการดูแลสุขภาพของตนเอง ซึ่งหลายคนก็จะมีมุมมองที่ว่า การมีสุขภาพที่ดีจะสะท้อนผ่านรูปร่างของตนเอง โดยแต่ละคนก็จะมีวิธีต่าง ๆ ในการดูแลรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมอาหารและโภชนาการ การออกกำลังกาย รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการดูแลรูปร่าง สลายไขมันด้วยความเย็น และลดสัดส่วนให้ได้แบบที่ต้องการ

Coolsculpting เทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็น ที่ช่วยกระชับสัดส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องพักฟื้น แต่คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็นและลดสัดส่วนได้จริงหรือไม่ ? ในบทความนี้ เราจะมาดูข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำงาน ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ของ Coolsculpting เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า Coolsculpting เหมาะสมกับคุณหรือไม่

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting มีข้อดีอย่างไร ราคาเท่าไหร่

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

Coolsculpting คืออะไร ?
Coolsculpting เป็นนวัตกรรมการกำจัดไขมันด้วยเทคโนโลยีความเย็น โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า Cryolipolysis ซึ่งได้รับการพัฒนาจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard ในสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีนี้ช่วยสลายไขมันด้วยความเย็นใต้ผิวหนังโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้เป็นวิธีการสลายไขมันด้วยความเย็นเพื่อลดสัดส่วนที่ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัว และไม่ต้องพักฟื้น

บทความ Coolsculpting ที่เกี่ยวข้อง สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting Elite คืออะไร

กระบวนการของ Coolsculpting ทำงานโดยส่งความเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (-11°C ถึง -13°C) ไปยังเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง เซลล์ไขมันเหล่านี้จะตอบสนองต่อความเย็นได้ไวกว่าเซลล์อื่น ๆ ทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัวและตาย จากนั้นเซลล์ที่ตายแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติผ่านระบบน้ำเหลือง

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting มีข้อดีอย่างไร ราคาเท่าไหร่

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ทำไม Coolsculpting ถึงเป็นวิธีสลายไขมันด้วยความเย็นยอดนิยม ?
• Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
Coolsculpting เป็นวิธีที่ไม่ทำให้เกิดบาดแผล ไม่ต้องใช้ยาชา และไม่ต้องพักฟื้น ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ

• Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็นได้อย่างปลอดภัย
Coolsculpting ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA และ อย.ไทย อีกทั้งเครื่อง Coolsculpting ยังมีระบบตรวจจับความเย็น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังเสียหายจากความเย็นมากเกินไป

• Coolsculpting ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
หลังทำ Coolsculpting ไขมันจะลดลง 20-30% ในจุดที่ทำ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลได้ใน 3-4 สัปดาห์ และเห็นผลอย่างเต็มที่ภายใน 3 เดือนหลังทำ

• Coolsculpting สามารถสลายไขมันด้วยความเย็นเฉพาะจุดได้ดี
Coolsculpting เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสลายไขมันด้วยความเย็นหรือลดสัดส่วนเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง เอว ต้นขา สะโพก และเหนียง โดยไม่ต้องการผ่านกระบวนการผ่าตัดหรือวิธีที่ทำให้เกิดบาดแผล

เปรียบเทียบ Coolsculpting กับการดูดไขมัน
• กระบวนการทำงานของ Coolsculpting เทียบกับการดูดไขมัน
Coolsculpting เป็นวิธีการสลายไขมันด้วยความเย็นที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis ในการแช่แข็งเซลล์ไขมันให้ตายและถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ ขณะที่การดูดไขมันเป็นกระบวนการผ่าตัดเล็กที่ใช้ท่อดูดไขมันออกจากชั้นใต้ผิวหนังโดยตรง ซึ่งอาจต้องใช้ยาชาหรือยาสลบและมีการเกิดบาดแผลเล็ก ๆ ในบริเวณที่ดูดไขมัน

• ผลลัพธ์ของ Coolsculpting เทียบกับการดูดไขมัน
การทำ Coolsculpting จะช่วยสลายเซลลูไลท์ด้วยความเย็นเฉพาะจุดได้ประมาณ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดเจนภายใน 3-4 สัปดาห์ และเห็นผลอย่างเต็มที่ใน 3 เดือน ส่วนการดูดไขมันสามารถกำจัดไขมันได้ในปริมาณมากในครั้งเดียว และเห็นผลทันทีหลังจากการดูดไขมัน แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1 เดือนหลังจากการดูดไขมัน

• ความเจ็บปวดและการพักฟื้นของ Coolsculpting เทียบกับการดูดไขมัน
Coolsculpting ไม่ทำให้เกิดบาดแผลและไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ ซึ่งอาจมีอาการปวดเมื่อยหรือช้ำเล็กน้อย ขณะที่การดูดไขมันเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้เข็มและท่อดูดไขมัน จึงทำให้เกิดบาดแผลและอาการปวดช้ำบริเวณที่ดูดไขมันหรือรอบข้างบริเวณที่ดูดไขมัน ซึ่งต้องพักฟื้นประมาณ 1 เดือนหลังจากการดูดไขมัน ก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ ซึ่งหลายคนอาจไม่มีเวลามากในการพักฟื้นหรือรับได้กับความเจ็บปวดหลังการดูดไขมัน

• ความปลอดภัยและผลข้างเคียงของ Coolsculpting เทียบกับการดูดไขมัน
Coolsculpting เป็นวิธีที่ปลอดภัยสูง เพราะไม่ต้องใช้เข็มหรือยาสลบ จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อหรือบาดแผล อย่างไรก็ตามการทำ Coolsculpting อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือชาเล็กน้อย แต่จะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่การดูดไขมันมีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อและเกิดแผลเป็นจากการดูดไขมัน นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่ผิวไม่เรียบเนียนหลังทำการดูดไขมัน และต้องพักฟื้นเป็นเวลานานหลังจากการดูดไขมัน ซึ่งหลายคนอาจไม่สามารถรับความเสี่ยงจากการดูดไขมันนี้ได้

• ระยะเวลาการเห็นผลของ Coolsculpting เทียบกับการดูดไขมัน
ผลลัพธ์จากการทำ Coolsculpting จะค่อย ๆ ปรากฏภายใน 3-4 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ใน 3 เดือน ขณะที่การดูดไขมันสามารถเห็นผลได้ทันที แต่ต้องรอให้การบวมช้ำลดลง จึงจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 1-3 เดือนหลังจากดูดไขมัน ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ถูกดูดออกมาหลังจากเสร็จสิ้นการดูดไขมัน

เปรียบเทียบ Coolsculpting กับ Emsculpt
• กระบวนการทำงานของ Coolsculpting เทียบกับ Emsculpt
การทำ Coolsculpting มุ่งเน้นการกำจัดไขมันส่วนเกินเพื่อลดสัดส่วน ในขณะที่ Emsculpt เน้นการสร้างและกระชับกล้ามเนื้อพร้อมกับสลายไขมันด้วยความเย็น

• ผลลัพธ์ของ Coolsculpting เทียบกับ Emsculpt
Coolsculpting สามารถสลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณที่ทำได้ประมาณ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง แต่ในทางกลับกัน Emsculpt จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อและทำให้กล้ามเนื้อชัดเจนขึ้น ผลลัพธ์จาก Emsculpt จะเริ่มปรากฏภายใน 2-4 สัปดาห์ โดยเห็นผลชัดเจนหลังการทำหลายครั้ง ความแตกต่างหลักคือ Coolsculpting มุ่งเน้นการสลายไขมันด้วยความเย็นเพื่อลดสัดส่วนเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ Emsculpt เน้นการสร้างกล้ามเนื้อควบคู่กับการสลายไขมันด้วยความเย็น

• ความเจ็บปวดและการพักฟื้นของ Coolsculpting เทียบกับ Emsculpt
ทั้ง Coolsculpting และ Emsculpt เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น Coolsculpting อาจทำให้รู้สึกปวดเมื่อยหรือช้ำเล็กน้อยหลังทำ แต่จะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วน Emsculpt อาจทำให้รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อถูกบีบตัวอย่างรุนแรงในระหว่างทำ แต่ไม่มีผลข้างเคียงหรืออาการปวดหลังทำ ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันทีทั้งสองวิธี

• ความปลอดภัยของ Coolsculpting เทียบกับ Emsculpt
Coolsculpting ได้รับการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทยว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการกำจัดไขมันโดยไม่มีการผ่าตัด แต่ในบางกรณีอาจมีอาการบวม ช้ำ หรือชาเล็กน้อยซึ่งจะหายไปได้เอง ส่วน Emsculpt ก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยสูงเช่นกัน เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการกระตุ้นกล้ามเนื้อแบบไม่รุกราน ซึ่งไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัดหรือการใช้ยา ทั้งสองวิธีถือว่ามีความปลอดภัยสูงสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง

• ระยะเวลาการเห็นผลของ Coolsculpting เทียบกับ Emsculpt
Coolsculpting ต้องใช้เวลา 3-4 สัปดาห์เพื่อเริ่มเห็นผลลัพธ์ และผลลัพธ์เต็มที่จะปรากฏใน 3 เดือน เนื่องจากเซลล์ไขมันต้องถูกขับออกจากร่างกายตามกระบวนการธรรมชาติ ส่วน Emsculpt จะเริ่มเห็นผลการสร้างกล้ามเนื้อใน 2-4 สัปดาห์หลังทำครั้งแรก โดยกล้ามเนื้อจะชัดเจนขึ้นหลังการทำหลายครั้ง ทำให้ Emsculpt เห็นผลเรื่องกล้ามเนื้อเร็วกว่า Coolsculpting ซึ่งเน้นเรื่องการสลายไขมันด้วยความเย็นเป็นหลัก

Coolsculpting มีกี่หัว ? แต่ละหัวทำงานยังไง ?
Coolsculpting มีหัวแอปพลิเคเตอร์หลายแบบที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดไขมันและลดสัดส่วนในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหัวแต่ละแบบมีขนาดและรูปทรงที่เหมาะสมกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้

• CoolAdvantage
หัวนี้เป็นหัวหลักและได้รับความนิยมมากที่สุดในการทำ Coolsculpting เพราะมีขนาดเหมาะสมสำหรับใช้กับหลายบริเวณของร่างกาย ซึ่งการทำงานของหัว CoolAdvantage คือการดูดผิวหนังและชั้นไขมันเข้าสู่หัวเครื่อง จากนั้นจะปล่อยความเย็นที่อุณหภูมิ -11°C ไปยังเซลล์ไขมัน เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งจะตายและถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ

• CoolAdvantage Plus
หัวนี้เป็นหัวขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการกำจัดไขมันในบริเวณที่มีไขมันสะสมมาก ซึ่งหัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าหัว CoolAdvantage ปกติ ทำให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างขึ้นในแต่ละครั้ง ช่วยให้การกำจัดไขมันในบริเวณที่มีปริมาณไขมันมากเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• CoolAdvantage Petite
หัวนี้เป็นหัวขนาดเล็ก เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันไม่มากหรือคนที่มีรูปร่างเล็ก หัว CoolAdvantage Petite ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในบริเวณที่ต้องการความละเอียด นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในคนที่เคยทำ CoolAdvantage ไปแล้วในบริเวณเดียวกัน เพื่อเสริมการสลายไขมันด้วยความเย็นเพิ่มเติม

• CoolMini
หัว CoolMini ถูกออกแบบมาเพื่อสลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณเล็ก ๆ เนื่องจากหัวมีขนาดเล็กและมีรูปทรงที่เหมาะกับการใช้งานในบริเวณที่ละเอียดอ่อนมาก การทำงานของ CoolMini คือการแช่แข็งเซลล์ไขมันในจุดที่เล็ก ๆ ซึ่งช่วยให้บริเวณที่ไขมันสะสมยุบลงอย่างชัดเจน

• CoolSmooth Pro
หัวนี้ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับบริเวณที่ไขมันไม่หนามากและไม่สามารถใช้หัวดูดได้ ซึ่งทำงานโดยการส่งความเย็นเข้าสู่ชั้นไขมันในบริเวณเหล่านี้โดยไม่ต้องใช้แรงดูดเหมือนหัวอื่น ๆ วิธีนี้ช่วยให้สามารถกำจัดไขมันในบริเวณที่เป็นผิวเรียบและไม่มีไขมันหนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• CoolSmooth ( Coolsculpting Elite )
หัวนี้เป็นหัวใหม่ที่ออกแบบมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า หัว CoolSmooth ช่วยสลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณที่ไม่สามารถดูดได้เช่นเดียวกับ CoolSmooth Pro แต่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น สามารถใช้ได้ในหลายบริเวณของร่างกาย โดยมีความพิเศษที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นและเจ็บน้อยกว่า

• CoolTone
CoolTone เป็นหัวพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อโดยใช้เทคโนโลยีแม่เหล็กคลื่นความถี่สูง (High-Intensity Focused Electromagnetic • HIFEM) ช่วยในการสร้างและกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องและก้น โดยไม่ต้องใช้การแช่แข็งไขมัน CoolTone เน้นไปที่การเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และเป็นการเสริมผลลัพธ์ให้กล้ามเนื้อชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ไขมันถูกกำจัดไปแล้ว

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting มีข้อดีอย่างไร ราคาเท่าไหร่

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

Coolsculpting ทำตรงไหนได้บ้าง ?
Coolsculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันเฉพาะจุดที่ต้องการจะสลายไขมันด้วยความเย็นหรือลดสัดส่วน และสามารถทำได้หลายบริเวณทั่วร่างกาย โดยเน้นการสลายไขมันด้วยความเย็นส่วนเกินที่ลดยากจากการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร การทำ Coolsculpting สามารถสลายไขมันด้วยความเย็นและลดสัดส่วนได้ในแต่ละส่วนของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแต่ละบริเวณที่สามารถทำได้มีดังนี้

• ทำ Coolsculpting บริเวณหน้าท้อง
ไขมันบริเวณหน้าท้องและเอวเป็นจุดที่สะสมได้ง่ายและลดยาก แม้จะออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด Coolsculpting เป็นวิธีที่นิยมในการกำจัดไขมันเฉพาะจุดนี้ เนื่องจากสามารถสลายไขมันดื้อ บริเวณหน้าท้องและเอวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้รูปร่างดูเข้าที่และกระชับมากขึ้น โดยสามารถสลายไขมันด้วยความเย็นได้ถาวรตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ นอกจากนี้ การทำ Coolsculpting บริเวณหน้าท้องและเอวยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมอยู่ในปริมาณปานกลางถึงมาก

• ทำ Coolsculpting บริเวณสะโพก
บริเวณสะโพกใหญ่หรือที่เรียกกันว่าบั้นท้ายมักจะมีไขมันสะสมที่ลดยาก Coolsculpting สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณนี้ได้ ทำให้สะโพกดูเล็กลงและสมส่วนมากขึ้น แม้จะไม่ช่วยลดน้ำหนัก แต่จะทำให้รูปร่างโดยรวมดูสวยงามและเข้ารูปมากขึ้น Coolsculpting ที่สะโพกจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างในบริเวณนี้โดยไม่ต้องผ่าตัด

• ทำ Coolsculpting บริเวณต้นขา (ด้านในและด้านนอก)
ไขมันบริเวณต้นขา โดยเฉพาะด้านในและด้านนอกเป็นบริเวณที่ลดยากและมักทำให้ขาดูไม่เรียวสวย Coolsculpting สามารถใช้เพื่อสลายไขมันด้วยความเย็นในต้นขาทั้งสองด้าน ช่วยลดปัญหาขาเบียดและทำให้ต้นขาดูเรียวกระชับขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมในต้นขา การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถสลายไขมันด้วยความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การทำ Coolsculpting จะช่วยให้ไขมันในบริเวณนี้ลดลงอย่างถาวร

• ทำ Coolsculpting บริเวณต้นแขน
ไขมันบริเวณต้นแขนเป็นปัญหาที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิง ไขมันที่สะสมในบริเวณนี้ทำให้แขนดูใหญ่และหย่อนไม่กระชับ Coolsculpting เป็นวิธีที่สามารถช่วยกำจัดไขมันต้นแขนได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายแล้วแต่ยังคงมีไขมันสะสมบริเวณต้นแขนอยู่ ทำให้แขนดูกระชับและเล็กลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การทำ Coolsculpting บริเวณต้นแขนยังช่วยลดปัญหาแขนหย่อนคล้อยได้อีกด้วย

• ทำ Coolsculpting บริเวณเหนียง (ใต้คาง)
ไขมันใต้คางหรือเหนียงเป็นปัญหาที่พบบ่อยในหลายคน แม้จะมีการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร แต่ไขมันบริเวณนี้มักลดได้ยาก Coolsculpting สามารถสลายไขมันด้วยความเย็นบริเวณเหนียงได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด การทำ Coolsculpting บริเวณนี้ใช้หัวแอปพลิเคเตอร์ขนาดเล็กที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการกำจัดไขมันบริเวณที่เล็ก เช่น ใต้คางหรือเหนียง ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวและกระชับมากขึ้น

• ทำ Coolsculpting บริเวณหลังและปีกหลัง
ปีกหลังหรือไขมันที่สะสมบริเวณหลังส่วนบน มักทำให้รูปร่างดูไม่เข้ารูป Coolsculpting สามารถช่วยกำจัดไขมันบริเวณปีกหลังได้อย่างถาวร ซึ่งเป็นส่วนที่การออกกำลังกายและการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียวมักไม่สามารถลดได้ ไขมันบริเวณนี้มักสะสมอยู่ระหว่างหลังและใต้ราวนม ทำให้รูปร่างดูไม่สมส่วน Coolsculpting จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการกำจัดไขมันบริเวณนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

• ทำ Coolsculpting บริเวณเอว (ห่วงยาง)
บริเวณเอวหรือบริเวณที่เป็น “ห่วงยาง” ไขมันสะสมในส่วนนี้มักทำให้เอวดูหนาและไม่มีสัดส่วนที่ชัดเจน Coolsculpting เป็นวิธีที่สามารถสลายไขมันด้วยความเย็นบริเวณนี้ได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว ทำให้รูปร่างส่วนเอวกระชับและดูมีทรวดทรงมากขึ้น นอกจากนี้ ไขมันบริเวณห่วงยาง ยังเป็นบริเวณที่สามารถลดได้ดีผ่านกระบวนการแช่แข็งไขมันของ Coolsculpting

Coolsculpting เหมาะสำหรับใครบ้าง ?
• Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมเฉพาะจุด
Coolsculpting เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสมในจุดที่ลดยาก เช่น หน้าท้อง เอว สะโพก ต้นขา ต้นแขน และเหนียง ไขมันเหล่านี้มักเป็นไขมันดื้อที่ไม่สามารถลดได้ง่ายจากการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร โดย Coolsculpting จะช่วยกำจัดไขมันในบริเวณเหล่านี้อย่างถาวรโดยไม่ต้องดูดไขมันหรือผ่าตัด

• Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่า BMI (ดัชนีมวลกาย) ปานกลาง
Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันในระดับปานกลาง หรือมีค่า BMI น้อยกว่า 35 ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมาก เพราะการทำ Coolsculpting จะช่วยสลายไขมันด้วยความเย็นเฉพาะจุดที่ต้องการปรับสัดส่วน แต่ไม่ใช่การลดน้ำหนักหรือการรักษาโรคอ้วน ผู้ที่มีปริมาณไขมันมากเกินไปอาจไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน และอาจต้องพิจารณาวิธีการอื่น ๆ เช่น การดูดไขมัน

• Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการดูดไขมันหรือเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่ต้องการเจ็บตัว การทำ Coolsculpting เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ไม่รุกราน (Non-invasive) ไม่ต้องมีการผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันทีหลังจากทำเสร็จ

• Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายและควบคุมอาหาร แต่ยังมีไขมันสะสม
Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างปกติและพยายามออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้ว แต่ยังคงมีไขมันสะสมในบางจุดที่ไม่สามารถลดได้ง่าย รวมไปถึงไม่ได้มีไขมันมากจนต้องใช้วิธีการดูดไขมัน กระบวนการทำ Coolsculpting จะช่วยสลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณเหล่านี้ ทำให้สัดส่วนดูกระชับและเข้ารูปมากขึ้น

• Coolsculpting เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสลายไขมันด้วยความเย็นเฉพาะจุด
การทำ Coolsculpting เป็นการกำจัดเซลล์ไขมันถาวร เมื่อเซลล์ไขมันถูกทำลายด้วยความเย็น เซลล์เหล่านี้จะไม่สามารถกลับมาสะสมใหม่ได้ แต่ผู้เข้ารับบริการยังคงต้องรักษาสุขภาพ และการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการเพิ่มของเซลล์ไขมันใหม่ ในส่วนอื่น ๆ ดังนั้น Coolsculpting จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะยาวโดยไม่ต้องทำซ้ำบ่อย ๆ

ก่อนทำ Coolsculpting ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ?
• ก่อนทำ Coolsculpting ควรปรึกษาแพทย์และตรวจประเมินร่างกาย
ก่อนที่จะทำ Coolsculpting ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ เพื่อประเมินว่าร่างกายของคุณเหมาะสมกับการทำ Coolsculpting หรือไม่ แพทย์จะตรวจสอบบริเวณที่มีไขมันสะสม และให้คำแนะนำเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ควรทำ หรือบริเวณที่ควรเน้นในการรักษา ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงกระบวนการรักษาและผลที่คาดหวังได้อย่างถูกต้อง

• ก่อนทำ Coolsculpting ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เลือดออกง่าย
ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ Coolsculpting ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), วิตามินอี และน้ำมันปลา เนื่องจากสารเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำหลังทำ Coolsculpting การหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดอาการช้ำและทำให้การฟื้นตัวเร็วขึ้น

• ก่อนทำ Coolsculpting ควรเตรียมเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย
ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายและหลวมในวันที่ทำ Coolsculpting เนื่องจากกระบวนการทำจะใช้เวลาประมาณ 35-60 นาทีต่อบริเวณ การใส่เสื้อผ้าที่สบายจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นระหว่างการรักษา นอกจากนี้ การใส่เสื้อผ้าหลวมยังช่วยลดการระคายเคืองต่อผิวหลังทำอีกด้วย

• ก่อนทำ Coolsculpting ควรทานอาหารและดื่มน้ำตามปกติ
ก่อนการทำ Coolsculpting ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือน้ำ สามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ การรักษาด้วย Coolsculpting ไม่มีข้อกำหนดให้ต้องอดอาหารหรือเตรียมตัวแบบพิเศษใด ๆ คุณสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปกติทั้งก่อนและหลังการรักษา

• ก่อนทำ Coolsculpting ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนการรักษา
แม้จะไม่มีข้อกำหนดให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย แต่การออกกำลังกายหนักก่อนทำ Coolsculpting อาจทำให้ร่างกายมีการบาดเจ็บหรือมีความเสี่ยงต่อการบวมช้ำเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่ทำการรักษา ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 1-2 วันก่อนเข้ารับการทำ Coolsculpting

• ก่อนทำ Coolsculpting ควรมีการแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้อยู่
หากคุณมีโรคประจำตัว หรือใช้ยาที่มีผลต่อเลือดหรือผิวหนัง ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการรักษา Coolsculpting ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะแพ้ความเย็น (Cold agglutinin disease), มีปัญหาการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ หรือเป็นโรคไส้เลื่อน นอกจากนี้ การใช้ยาที่ทำให้เลือดออกง่าย หรือมีปัญหาผิวหนัง ในบริเวณที่จะทำการรักษา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

• ก่อนทำ Coolsculpting ควรตั้งความคาดหวังของการรักษาอย่างเหมาะสม
แม้ว่า Coolsculpting จะมีประสิทธิภาพในการสลายไขมันด้วยความเย็นเฉพาะจุด แต่ไม่ใช่กระบวนการที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ในทันที หลังจากทำ Coolsculpting จะต้องรอระยะเวลา 3-4 สัปดาห์เพื่อเริ่มเห็นผล และผลเต็มที่มักจะปรากฏในช่วง 2-3 เดือนหลังการทำ ดังนั้น ควรเตรียมใจและตั้งความคาดหวังให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้รู้สึกผิดหวังหากไม่เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ

วิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
• หลังทำ Coolsculpting ควรนวดบริเวณที่ทำ
หลังจากการทำ Coolsculpting การนวดบริเวณที่ทำเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับไขมันออกจากร่างกาย การนวดจะช่วยกระตุ้นการแตกตัวของเซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งและเร่งให้ร่างกายกำจัดเซลล์เหล่านี้ได้เร็วขึ้น

• หลังทำ Coolsculpting ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำในปริมาณมากหลังการทำ Coolsculpting เป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขับเซลล์ไขมันที่ตายออกทางระบบน้ำเหลือง น้ำช่วยลำเลียงเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น

• หลังทำ Coolsculpting ควรออกกำลังกายเบา ๆ
แม้ว่าจะสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีหลังจากการทำ Coolsculpting แต่ควรเริ่มออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการขับไขมัน เช่น การเดิน วิ่งเบา ๆ หรือการทำโยคะ ซึ่งการออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลืองทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งสามารถขับออกได้เร็วขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยหรือช้ำ

• หลังทำ Coolsculpting ควรหลีกเลี่ยงการกดหรือถูบริเวณที่ทำอย่างรุนแรง
บริเวณที่ทำ Coolsculpting อาจมีความบวม แดง หรือช้ำหลังจากการทำ ซึ่งเป็นอาการปกติ ควรหลีกเลี่ยงการกด ถู หรือบีบแรง ๆ บริเวณที่ทำ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเพิ่มความบวมช้ำ การใช้ผ้าประคบเย็นอาจช่วยลดอาการบวมและปวดได้ในช่วง 1-2 วันแรกหลังการทำ

• หลังทำ Coolsculpting ควรสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ และสบาย
หลังจากทำ Coolsculpting ควรสวมเสื้อผ้าที่สบายและไม่รัดแน่นเกินไป โดยเฉพาะในบริเวณที่ทำการรักษา การสวมใส่เสื้อผ้าหลวม จะช่วยลดการระคายเคือง และป้องกันไม่ให้บริเวณที่ทำเกิดอาการช้ำ หรือเจ็บมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

• หลังทำ Coolsculpting ควรรักษาการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
แม้ว่า Coolsculpting จะกำจัดเซลล์ไขมันถาวร แต่การรักษารูปร่างให้สมส่วนยังคงต้องอาศัยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมใหม่ในบริเวณอื่น ๆ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการบริโภคไขมันที่ไม่ดี และเน้นการออกกำลังกายเพื่อรักษารูปร่างให้กระชับอย่างยั่งยืน

• หลังทำ Coolsculpting ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสารที่ทำให้เลือดออกง่าย
หลังจากการทำ Coolsculpting ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และวิตามินอี ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยช้ำและทำให้การฟื้นตัวช้าลง หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

• หลังทำ Coolsculpting ควรติดตามผลและปรึกษาแพทย์เป็นระยะ
หลังการทำ Coolsculpting ควรติดตามผลและปรึกษาแพทย์เป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวัง แพทย์จะตรวจสอบความก้าวหน้า ในการขับไขมัน และประเมินว่าควรทำซ้ำ ในบริเวณเดิมหรือไม่ เพื่อให้ผลลัพธ์สมบูรณ์มากขึ้น

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting

สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting มีข้อดีอย่างไร ราคาเท่าไหร่

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ทำไมควรเลือกทำ Coolsculpting ที่ APEX ?
• APEX มีการให้บริการ Coolsculpting อย่างมืออาชีพ
APEX มีทีม Coolsculpting Specialist ที่ให้คำปรึกษา ออกแบบรูปร่าง และให้บริการอย่างมืออาชีพ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

• Apex เป็นผู้นำในด้าน Coolsculpting ในไทย
APEX เป็นคลินิกแรกในไทยที่นำ Coolsculpting มาสู่คนไทย โดยมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี

• Apex มีประสบการณ์ในการทำ Coolsculpting มากกว่า 20 ปี
ด้วยการดูแลเคสกว่า 200,000 Cycle สามารถการันตีความปลอดภัยของ Apex ได้แน่นอน

• เครื่อง Coolsculpting ของ Apex ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล
APEX ใช้เครื่อง Coolsculpting แท้จากสหรัฐอเมริกา ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA และ อย. ไทย

• Apex มีรีวิวผลลัพธ์ของการทำ Coolsculpting ที่พิสูจน์ได้
มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงยืนยันว่า Coolsculpting ที่ APEX เห็นผลลัพธ์จริง

สำหรับใครที่มีความสนใจที่จะทำ Coolsculpting เพื่อสลายไขมันด้วยความเย็นและลดสัดส่วน หรือมีข้อสงสัยต่าง ๆ ที่อยากจะรู้ สามารถปรึกษากับทาง Apex ได้ทันที และเราพร้อมที่จะดูแลทุกคนอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

Apex

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาเพลินจิต

Coolsculpting ทำงานโดยส่งความเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (-11°C ถึง -13°C) ไปยังเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง เซลล์ไขมันเหล่านี้จะตอบสนองต่อความเย็นได้ไวกว่าเซลล์อื่น ๆ

1930
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
รับโปรโมชั่นพิเศษ
รับโปรโมชั่นพิเศษ
ปรึกษาฟรี
ปรึกษาฟรี
โทรสอบถามโปรโมชั่น
โทรสอบถามโปรโมชั่น