จากรายงานผลการสำรวจสุขภาพ โดยการตรวจร่างกายในกลุ่มประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ปี 2557 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปประมาณร้อยละ 44 หรือ 26 ล้านคน มีไขมันคอเลสเตอรอลสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานกำหนดคือ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิต โดยแบ่งเป็นผู้ชาย ร้อยละ 41 และหญิงร้อยละ 47
จากข้อมูลข้างต้นทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกไม่กล้าหรือรู้สึกไม่อยากที่จะตรวจสุขภาพประจำปี เพราะกลัวว่าหากตรวจแล้วจะพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรง มีควมผิดปกติ หรือเป็น “คอเลสเตอรอลสูง” เหมือนกับแนวโน้มข้างต้น ซึ่งจริง ๆ แล้วการตรวจสุขภาพนั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด กลับกันหากเราตรวจสุขภาพแล้วพบว่าตัวเองมีคอเลสเตอรอลสูง ก็จะทำให้เราสามารถรับมือกับการลดคอเลสเตอรอล และลดโอกาสเกิดโรคร้ายแรงจากคอเลสเตอรอลสูงได้ทันเวลา
คอเลสเตอรอล คืออะไร
คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นผลิตฮอร์โมนบางชนิดและเป็นองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ โดยคอเลสเตอรอลจะสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองจากตับและลำไส้ หรือได้รับจากสารอาหารที่กินเข้าไป ซึ่งคอเลสเตอรอลจะพบมากในอาหารประเภทไขมันสัตว์ แต่จะไม่พบคอเลสเตอรอลในอาหารที่มาจากพืช อย่างไรก็ตาม แม้คอเลสเตอรอลจะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่หากมีคอเลสเตอรอลในปริมาณที่สูงมากเกินไป คอเลสเตอรอลนั้นก็อาจกลับกลายมาเป็นโทษร้ายแรงได้เช่นกัน
คอเลสเตอรอลแบ่งเป็น 2 ส่วน
- High-Density Lipoprotein (HDL) เป็นไขมันชนิดดี ทำหน้าที่จับไขมันคอเลสเตอรอลออกไปทำลายที่ตับ การมีไขมัน HDL สูงจะทำให้มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดลดลง
อาหารที่เป็นแหล่งไขมันดี : น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ดาร์กชอกโกแลต ธัญพืช พรุน แอปเปิล ลูกแพร์ ปลาแซลมอน ปลาแมกเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์สายรุ้ง ปลาทูน่าชนิดอัลบอคอร์
- Low-Density Lipoprotein (LDL) เป็นไขมันชนิดไม่ดีที่มาจากไขมันสัตว์ เสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือด และอัมพฤกษ์ ได้
อาหารที่เป็นแหล่งไขมันเลว : ของทอด ชีส เนย กระทิ นม
คอเลสเตอรอลสูงเกิดจากอะไร
การเกิดคอเลสเตอรอลสูงส่วนหนึ่งมาจากการที่เากินอาหารที่มีไขมันเลวมากเกินไป ทำให้ไขมมันเหล่านั้นสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งเกิดเป็น “ไขมันในช่องท้อง” (Visceral Fat) ที่สะสมอยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนัง โดยอยู่ในช่องท้อง รอบอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระเพาะอาหาร ตับ หรือลำไส้เล็ก ไขมันชนิดนี้จะอยู่ใกล้ตับมาก ซึ่งตับอาจเปลี่ยนไขมันนี้เป็นคอเลสเตอรอล และอาจดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ ซึ่งหากไขมันในช่องท้องมากขึ้น ก็จะทำให้คอเลสเตอรอลมีโอกาสมากขึ้นด้วย
รู้ได้อย่างไรว่าเรามีไขใมันในช่องท้อง
1. BMI (Body Mass Index) หรือค่าดัชนีมวลกาย เป็นการคำนวณเบื้องต้นว่าเรากำลังมี “ภาวะอ้วนลงพุง” หรือเปล่า เนื่องจาก โดยทั่วไปแล้วคนที่มีภาวะอ้วนลงพุจะมีโอกาสเกิดไขมันในช่องท้องได้ง่าย โดยการคำนวณจากสูตร BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (m2) หากผผลการคำนวณออกมาแล้ว มากกว่า 23 หมายความว่าเราเริ่มมีภาวะอ้นลงพุงนั่นเอง
2. การวัดเส้นรอบเอว หรือ เส้นรอบพุง โดยทั่วไปจะได้จากการใช้สายวัดที่ได้มาตรฐานวัดตรงระดับสะดือพอดี ซึ่งผู้ชายจะต้องมีค่าเส้นรอบเอวน้อยกว่า 90 เซนติเมตร และผู้หญิงน้อยกว่า 80 เซนติเมตร ถ้าเส้นรอบเอวใหญ่เกินกว่านี้อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ จากโรคอ้วนได้
3. การวัดองค์ประกอบของร่างกาย Inbody (Body Composition Analysis) สามารถวัดองค์ประกอบต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างละเอียด มีความแม่นยำสูง โดยวิเคราะห์แยกส่วนประกอบของร่างกาย ได้แก่ น้ำ กล้ามเนื้อ กระดูก และไขมัน โดยการวัดความต้านทานต่อการไหลของกระแสไฟฟ้า ปริมาณน้อย ๆ เพียง 1-2 โวลต์ ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมีแรงต้านทานต่อการไหลของกระแสไฟฟ้าไม่เท่ากัน ทำให้สามารถวัดส่วนประกอบทั้งหมดในร่างกายได้ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัย และมีความเที่ยงตรงสูง
คนผอมมีไขมันในช่องท้องได้ไหม
ไม่เพียงคนที่อ้วนลงพุงที่สามารถมีไขมันในช่องท้องได้ คนที่ผอมมาก ๆ แต่มีพุงป่องก็สามารถมีไขมันในช่องท้องได้เช่นกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ไม่เคยบริหารกล้ามเนื้อท้อง หรือออกกำลังกายบริเวณหน้าท้องบ่อย ๆ นั่นเอง
กำจัดไขมันในช่องท้องได้อย่างไร
Indiba นวัตกรรมของ Proionic เป็นเทคโนโลยีการแพทย์จากสเปน โดยระบบการรักษาจะใช้คลื่นความถี่วิทยุเดียวที่ 448 kHz มาฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ ซึ่งเป็นหน่วยโครงสร้างและการทำงานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ทำให้เซลล์ไขมันฝ่อตัวลง “ลดไขมันใต้ชั้นผิวหนังและไขมันในช่องท้อง” เพิ่มการเผาผลาญลึกถึงระดับเซลล์ เพิ่มการไหลเวียนเลือด กำจัดของเสียออกจากเซลล์ เพิ่มระดับออกซิเจนในเนื้อเยื่อและเซลล์ ยับยั้งการสร้างเซลล์ไขมัน กระชับผิวที่หย่อนคล้อย กระชับสัดส่วน