บทความเกี่ยวกับ : รอยแผลเป็นจากสิว


ไม่อยากมีรอยแผลเป็นจากสิวต้องอ่าน รวมสาเหตุที่สิวทิ้งรอย พร้อมวิธีป้องกัน
รอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากอะไร? รวมสาเหตุที่ควรรู้ก่อนการรักษา
รอยแผลเป็นจากสิวเป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายคน และเป็นสิ่งที่รักษาได้ยากกว่าสิวปกติ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดรอยแผลเป็นจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญก่อนเริ่มการรักษา ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการบีบหรือแกะสิวเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงกระบวนการอักเสบภายในผิวหนังที่รุนแรงและการดูแลผิวที่ไม่ถูกวิธีอีกด้วย เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบอย่างหนัก ร่างกายจะพยายามซ่อมแซมตัวเองด้วยการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งหากกระบวนการนี้ไม่สมบูรณ์หรือเกิดความผิดปกติ ก็จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นทั้งแบบหลุมและแบบนูนในที่สุด บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิด รอยแผลเป็นจากสิว เพื่อให้คุณสามารถเลือกวิธีการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง
แผลเป็น รักษาด้วยโปรแกรม Pico Laser กี่ครั้งเห็นผล ดีไหม

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวและป้องกันอย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลรอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากอะไร
รอยแผลเป็นจากสิว คือ ผลลัพธ์ของกระบวนการซ่อมแซมผิวที่ไม่สมบูรณ์หลังจากเกิดสิวอักเสบรุนแรง สาเหตุหลักเกิดจากการอักเสบที่ลุกลามลงไปทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังแท้ เมื่อการอักเสบสิ้นสุดลง ร่างกายจะพยายามสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่เพื่อสมานแผล แต่หากกระบวนการนี้ผิดปกติ เช่น สร้างคอลลาเจนน้อยเกินไป ก็จะทำให้ผิวบริเวณนั้นยุบตัวลงเป็นหลุมสิว
หากร่างกายสร้างคอลลาเจนออกมามากเกินไป ก็จะเกิดเป็นแผลเป็นชนิดนูนขึ้นมาแทน ซึ่งความรุนแรงของสิวและการตอบสนองของร่างกายแต่ละคน คือปัจจัยที่กำหนดลักษณะของ รอยแผลเป็นจากสิว ที่ปรากฏขึ้น ดังนั้น รอยแผลเป็นจากสิว จึงไม่ได้เกิดจากสิวโดยตรง แต่เกิดจากกระบวนการรักษาตัวเองของผิวหนังที่ผิดปกตินั่นเอง

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวและป้องกันอย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลสาเหตุหลักการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจกับหลายคน การจะรักษาปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การบีบหรือแกะสิวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัจจัยภายในและภายนอกหลายประการที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของผิวและนำไปสู่การทิ้งร่องรอยเอาไว้ มีดังต่อไปนี้
การอักเสบของสิวที่รุนแรง
การอักเสบที่รุนแรงและลุกลามลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ คือสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว โดยเฉพาะในสิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ เมื่อเกิดการอักเสบ ร่างกายจะส่งเอนไซม์มาทำลายผนังของรูขุมขน ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้ไม่ได้ทำลายแค่แบคทีเรีย แต่ยังทำลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อผิวที่ดีบริเวณรอบข้างไปด้วย ยิ่งการอักเสบกินระยะเวลานานเท่าไหร่ ความเสียหายก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้หลังสิวหาย ผิวบริเวณนั้นจึงไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมได้ และก่อให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว ในรูปแบบหลุมลึก การควบคุมการอักเสบให้เร็วที่สุดจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว
การบีบ แคะ แกะสิว
พฤติกรรมการบีบ แคะ หรือแกะสิว เป็นตัวการที่เปลี่ยนสิวอักเสบธรรมดาให้กลายเป็นรอยแผลเป็นจากสิว ที่รุนแรงขึ้น การกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างบาดแผลใหม่บนผิวหนัง ทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากนิ้วมือแพร่กระจายลึกเข้าไปในรูขุมขน ส่งผลให้การอักเสบยิ่งลุกลามและรุนแรงกว่าเดิม นอกจากนี้ แรงบีบยังเป็นการทำลายโครงสร้างผิวและเส้นเลือดฝอยโดยรอบ ทำให้กระบวนการสมานแผลของผิวหนังผิดปกติไป และเพิ่มโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ทั้งชนิดหลุมและรอยดำได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าจึงเป็นวิธีป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวที่ดี
ประเภทของสิวที่เกิดขึ้น
ชนิดของสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้ามีผลโดยตรงต่อโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว สิวที่ไม่รุนแรงอย่างสิวอุดตันหัวขาวหรือหัวดำ มักไม่ทิ้งร่องรอยไว้เนื่องจากการอักเสบมีน้อยมาก แต่สิวอักเสบชนิดรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง (Nodules) หรือสิวซีสต์ (Cysts) ซึ่งเป็นตุ่มอักเสบขนาดใหญ่และอยู่ลึกใต้ชั้นผิว เป็นชนิดที่มักจะทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวไว้เสมอ เนื่องจากมีการทำลายเนื้อเยื่อและคอลลาเจนในวงกว้าง ทำให้การรักษาตัวเองของผิวไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อใหม่มาทดแทนได้ทัน การแยกแยะประเภทสิวและเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้
การปล่อยสิวอักเสบทิ้งไว้เป็นเวลานาน
การปล่อยให้สิวอักเสบรุนแรงคงอยู่บนใบหน้าเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว เพราะในทุก ๆ วันที่การอักเสบยังคงดำเนินอยู่ เอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนก็จะทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างผิวถูกทำลายลงไปเรื่อย ๆ การรอให้สิวยุบเองในกรณีที่อักเสบรุนแรงจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ ผิวก็จะยิ่งสูญเสียคอลลาเจนมากขึ้น ทำให้โอกาสเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ชนิดหลุมลึกเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย การรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นการหยุดยั้งความเสียหายและป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว
ปัจจัยทางพันธุกรรม
พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อแนวโน้มการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวของแต่ละบุคคล บางคนมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการอักเสบอย่างรุนแรง หรือมีกระบวนการสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมผิวที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นการสร้างคอลลาเจนน้อยเกินไปจนเกิดเป็นหลุมสิว หรือสร้างมากเกินไปจนกลายเป็นแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางคนแม้เป็นสิวรุนแรงแต่กลับไม่ทิ้งรอย ในขณะที่บางคนแค่สิวอักเสบเล็กน้อยก็สามารถเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้แล้ว หากคนในครอบครัวมีประวัติการเกิด รอยแผลเป็นจากสิวได้ง่าย ก็ควรใส่ใจดูแลและรักษาสิวเป็นพิเศษ
การขาดคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
คอลลาเจนและอีลาสตินเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และเรียบเนียน เมื่อสิวอักเสบ เนื้อเยื่อที่อักเสบจะไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอลง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิด รอยแผลเป็นจากสิว เมื่อร่างกายพยายามซ่อมแซมด้วยการสร้างคอลลาเจนใหม่แต่มีปริมาณไม่เพียงพอหรือมีการจัดเรียงตัวที่ไม่สม่ำเสมอ ก็จะทำให้ผิวบริเวณที่เคยเป็นสิวเกิดการยุบตัวลงจนกลายเป็น รอยแผลเป็นจากสิว ชนิดหลุมในที่สุด การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน รวมถึงปัจจัยด้านอายุที่ทำให้การผลิตคอลลาเจนลดลง จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวที่รักษาได้ยาก
การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่ไม่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางชนิดที่มีส่วนผสมที่รุนแรงหรือมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวมากเกินไป อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอ่อนแอลง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด รอยแผลเป็นจากสิว ได้ง่ายขึ้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว อาจทำให้ผิวแห้ง ลอก หรือเกิดอาการแพ้ ซึ่งจะยิ่งกระตุ้นให้สิวอักเสบมากขึ้น การรักษาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง หรือขาดความต่อเนื่อง ก็เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัยที่ทำให้รอยสิวหายช้าลง และกลายเป็นรอยถาวรในที่สุด การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหารอยแผลเป็นจากสิวบานปลาย ( วิธีรักษาสิวด้วย AviClear Laser VS Accure Laser แตกต่างกันยังไง )
การเผชิญแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน
แม้แสงแดดจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่สร้างหลุมสิว แต่การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกันผิวในระหว่างที่สิวอักเสบหรือเพิ่งหายใหม่ๆ จะกระตุ้นให้ รอยแผลเป็นจากสิว มีสีเข้มขึ้นและเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น รังสียูวีจะเข้าไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากกว่าปกติในบริเวณที่ผิวเคยอักเสบ ทำให้เกิดเป็นรอยดำที่ติดทนนาน นอกจากนี้ แสงแดดยังทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้กระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลง การทาครีมกันแดดเป็นประจำจึงเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญ รอยแผลเป็นจากสิวดูแย่ลงและช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวจางลงได้เร็วขึ้น

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวและป้องกันอย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลรอยแผลเป็นจากสิวมีกี่ประเภท
แม้ว่ารอยแผลเป็นจากสิวจะดูคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วมีหลายประเภทที่แตกต่างกันทั้งในด้านลักษณะ สาเหตุการเกิด และวิธีการรักษาที่เหมาะสม การทำความเข้าใจประเภทของรอยแผลเป็นจากสิว ที่คุณกำลังเผชิญอยู่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการรักษาที่ผิดวิธีซึ่งอาจทำให้รอยแผลเป็นแย่ลงกว่าเดิม ดังนี้
รอยแผลเป็นจากสิวประเภทหลุม (Atrophic Scars)
รอยแผลเป็นประเภทนี้เป็นรอยบุ๋มหรือหลุมลึกลงไปในผิวหนัง เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนไม่เพียงพอในระหว่างกระบวนการซ่อมแซมผิวหลังจากสิวอักเสบหายลงไป ทำให้ผิวบริเวณนั้นขาดโครงสร้างค้ำจุนและเกิดการยุบตัวลง ซึ่งรอยแผลเป็นจากสิวประเภทนี้ยังแบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น Ice Pick Scars ที่เป็นหลุมลึกแคบคล้ายถูกเจาะด้วยน้ำแข็ง Boxcar Scars ที่เป็นหลุมสี่เหลี่ยมมีขอบชัดเจนและ Rolling Scars ที่มีลักษณะเป็นคลื่นหรือรอยบุ๋มตื้น ๆ บนผิวการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ประเภทหลุมต้องมุ่งเน้นที่การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวอย่างล้ำลึก
รอยแผลเป็นจากสิวประเภทนูน (Hypertrophic and Keloid Scars)
ตรงข้ามกับรอยแผลเป็นแบบหลุมรอยแผลเป็นจากสิว ประเภทนี้เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนมากเกินไปในระหว่างการซ่อมแซม ทำให้เกิดเป็นรอยนูนขึ้นมาบนผิวหนัง โดยรอยนูนจะเกิดขึ้นภายในบริเวณที่เป็นสิวเดิมเรียกว่า Hypertrophic Scars แต่หากเนื้อเยื่อนูนขยายออกไปนอกขอบเขตของแผลเดิมจะเรียกว่า Keloid Scars ซึ่งมีขนาดใหญ่และรักษายากกว่ามาก รอยแผลเป็นจากสิวประเภทนูนนี้มีลักษณะเป็นตุ่มหรือแผ่นแข็ง ๆ สีแดงหรือสีคล้ำ การรักษาจึงต้องเน้นไปที่การลดขนาดของเนื้อเยื่อส่วนเกิน เช่น การฉีดสารลดรอยนูน หรือการใช้เลเซอร์ชนิดที่สามารถสลายคอลลาเจนที่นูนเกินได้ เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง
รอยแดงและรอยดำหลังสิวหาย (Post-Inflammatory Hyperpigmentation & Erythema)
แม้จะไม่ใช่รอยแผลเป็นที่ถาวร แต่รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema: PIE) และรอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation: PIH) ที่เกิดขึ้นหลังสิวหายก็สร้างความกังวลใจไม่แพ้กัน รอยแดงเกิดจากหลอดเลือดฝอยขยายตัวในบริเวณที่เคยอักเสบ ส่วนรอยดำเกิดจากการที่ร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปเพื่อปกป้องผิวจากการอักเสบ ซึ่งรอยแผลเป็นจากสิวประเภทนี้สามารถจางลงได้เองตามธรรมชาติ แต่ก็ใช้เวลานานหลายเดือนถึงหลายปี การรักษาจะเน้นไปที่การลดการอักเสบของผิวหนัง และการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือเลเซอร์ ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี และการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนสม่ำเสมอ และป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ในระยะยาว

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวและป้องกันอย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลสิวชนิดไหนที่มีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นจากสิว
ไม่ใช่สิวทุกชนิดที่จะทิ้งร่องรอยไว้บนผิวหน้าเสมอไป ปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าจะเกิดรอยแผลเป็นจากสิว หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการอักเสบและความลึกของสิวชนิดนั้น ๆ สิวที่มีการอักเสบลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้มักจะสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างผิว ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวที่รักษายาก ดังนี้ ( สิวอักเสบ คืออะไร เกิดจากสาเหตุ มีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร )
สิวอักเสบชนิดรุนแรง (Nodulocystic Acne)
สิวประเภทนี้คือสิวหัวช้างและสิวซีสต์ที่มีขนาดใหญ่และอักเสบลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งเป็นสิวที่มีโอกาสทิ้ง รอยแผลเป็นจากสิวมากที่สุด เนื่องจากมีการทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังอย่างรุนแรง การอักเสบที่รุนแรงและกินเวลานานทำให้เกิดพังผืดใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดหลุมสิวหรือแผลเป็นนูนตามมาได้ง่ายกว่าสิวประเภทอื่นๆ ความรุนแรงของสิวจึงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ทำให้เกิด รอยแผลเป็นจากสิว ที่ชัดเจนและรักษายากในอนาคต
สิวอักเสบแดง (Papules)
แม้จะเป็นสิวที่มีขนาดเล็กกว่าสิวหัวช้าง แต่สิวอักเสบแดง (Papules) ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะทิ้ง รอยแผลเป็นจากสิวไว้ได้เช่นกัน หากปล่อยให้การอักเสบสะสมอยู่นานโดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง การอักเสบจะไปกระตุ้นให้เม็ดสีผิวทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแดงหรือรอยดำหลังสิวหาย และถ้ามีการแกะหรือบีบสิวประเภทนี้ จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นหลุมได้ สิวชนิดนี้ไม่มีหัวหนองที่มองเห็นได้ แต่จะรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส และมักจะปรากฏเป็นตุ่มนูนสีแดงบนผิวหนัง การรักษาอย่างถูกวิธีจึงสำคัญเพื่อป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว
สิวอุดตัน (Comedones)
แม้ว่าสิวอุดตันจะมีโอกาสทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวน้อยกว่าสิวอักเสบ แต่หากมีการบีบ แกะ หรือแคะสิวอุดตันอย่างไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบตามมา ซึ่งจะกลายเป็นสิวอักเสบและทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวได้ในที่สุด การจัดการกับสิวอุดตันจึงควรทำอย่างถูกวิธี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์ผิว เพื่อป้องกันไม่ให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบที่ทิ้งรอยแผลเป็นจากสิว สิวประเภทนี้เกิดจากการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ทั้งแบบหัวเปิดและหัวปิดการรักษาความสะอาดและใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ( สิวอุดตัน คืออะไร เกิดจากสาเหตุ สิวหัวปิดกับไม่มีหัวแตกต่างกันอย่างไร )
สิวแบบมีหนอง (Pustules)
สิวประเภทนี้คือสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มหนองอยู่บนผิว ซึ่งบ่งบอกถึงการติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายในรูขุมขน สิวหนองมีความเสี่ยงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวได้ หากหนองแตกออกและมีการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้น การบีบหรือแกะสิวหนองด้วยตัวเองจะทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายและทำให้การอักเสบขยายวงกว้าง ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นหลุมหรือรอยดำได้มากขึ้น หัวหนองสีเหลืองหรือขาวที่มองเห็นได้ชัดคือลักษณะเด่นของสิวประเภทนี้ การรักษาควรเน้นที่การกำจัดการติดเชื้อและลดการอักเสบเพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ( สิวหัวหนอง คืออะไร เกิดจากสาเหตุ แตกต่างจากสิวทั่วไปอย่างไร )
สิวที่มีอาการคันหรือเจ็บปวด
สิวที่มีอาการคันหรือเจ็บปวดมาก แสดงว่ามีการอักเสบที่รุนแรงอยู่ใต้ผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การทำลายเนื้อเยื่อที่ลึกกว่าปกติ และทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้ง่ายขึ้น การตอบสนองต่ออาการเหล่านี้ด้วยการเกาหรือแกะ จะยิ่งทำให้การอักเสบแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงในการ เกิดรอยแผลเป็นจากสิวที่รุนแรงตามมา การรักษาอย่างถูกวิธีจึงลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวในกลุ่มนี้ อาการคันหรือเจ็บปวดเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าสิวกำลังจะพัฒนาไปสู่ระดับที่รุนแรงขึ้น เช่น สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ การปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวและป้องกันอย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลรอยแผลเป็นจากสิวหายเองได้ไหม
โดยทั่วไปแล้วรอยแผลเป็นจากสิวไม่สามารถหายเองได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลเป็นจากสิว ที่เป็นหลุมลึกหรือเป็นแผลเป็นนูน อย่างไรก็ตามรอยแผลเป็นจากสิว ที่เป็นรอยแดงหรือรอยดำซึ่งเกิดจากเม็ดสีผิวที่ทำงานผิดปกติมักจะค่อย ๆ จางลงได้เองตามธรรมชาติภายในระยะเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ส่วนแผลเป็นที่เป็นหลุม หรือแผลเป็นนูนนั้น เกิดจากการที่คอลลาเจน และเนื้อเยื่อถูกทำลายหรือสร้างผิดปกติ
ดังนั้นการรักษาจึงจำเป็นต้องอาศัยการแพทย์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่หรือปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหารอยแผลเป็นจากสิว ควบคู่ไปกับการป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่และรอยแผลเป็นเพิ่มขึ้น

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวและป้องกันอย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยตัวเอง
ถึงแม้ว่ารอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นหลุมลึกอาจต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์ แต่สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวประเภทที่เป็นรอยแดงและรอยดำหลังสิวหาย สามารถดูแลและช่วยเร่งให้รอยเหล่านี้จางลงได้ด้วยตัวเองที่บ้าน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและบำรุงผิวอย่างต่อเนื่องจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวและลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวได้ ดังนี้
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ และช่วยให้รอยดำจากสิวดูจางลงได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเล็กน้อย ทำให้ผิวแข็งแรงและช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวใหม่ได้ ควรใช้เซรั่มวิตามินซีในตอนเช้าเพื่อช่วยเสริมการป้องกันผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวยิ่งเข้มขึ้น การใช้วิตามินซียังช่วยลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้สิวอักเสบกลายเป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่ค่อนข้างถาวร
ใช้กรดวิตามินผลัดเซลล์ผิว
กลุ่มกรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs) เช่น กรดไกลโคลิก หรือกรดแลคติก และกรดเบต้าไฮดรอกซี (BHAs) เช่น กรดซาลิไซลิก ช่วยผลัดเซลล์ผิวอ่อนโยน ทำให้เซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงขึ้นมาแทนที่ การผลัดเซลล์ผิวนี้ช่วยให้รอยแดงและรอยดำที่เป็น รอยแผลเป็นจากสิวค่อย ๆ จางลง และยังช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นการป้องกันสิวใหม่อีกด้วย การใช้กลุ่มกรดผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลงได้และยังช่วยปรับปรุงสภาพผิวโดยรวมให้เรียบเนียนขึ้นด้วย ควรใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้อย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองที่อาจทำให้รอยแผลเป็นจากสิวแย่ลง
การใช้เรตินอยด์ (Retinoids) หรืออนุพันธ์วิตามินเอ
อนุพันธ์วิตามินเอ เช่น เรตินอล หรือเรตินาดีไฮด์ มีคุณสมบัติในการช่วยเร่งการหมุนเวียนของเซลล์ผิวหนังอย่างมาก ทำให้รอยดำและรอยแดงจางลงเร็วขึ้น และยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการลดรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นหลุมตื้น ควรใช้ในปริมาณน้อยก่อนในช่วงกลางคืนเนื่องจากอาจทำให้ผิวไวต่อแสง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอนุพันธ์วิตามินเอเป็นประจำจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น และช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวทั้งที่เป็นรอยแดงและหลุมตื้นดูดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวในอนาคตด้วยการป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
ใช้สารสกัดไนอะซินาไมด์
ไนอะซินาไมด์ หรือวิตามินบี 3 เป็นสารที่ช่วยลดการอักเสบและช่วยลดรอยแดง นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวทนทานต่อการระคายเคืองและสภาวะภายนอกได้ดี ซึ่งเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่การอักเสบของสิวจะทิ้งรอยแผลเป็นจากสิว นอกจากจะช่วยลดรอยแดงแล้ว ไนอะซินาไมด์ยังช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า ซึ่งเป็นการช่วยลดการเกิดสิวใหม่และป้องกันไม่ให้เกิด รอยแผลเป็นจากสิวตามมาได้อีกด้วย การใช้ไนอะซินาไมด์จึงเป็นวิธีที่อ่อนโยนในการดูแลผิวที่มีแนวโน้มจะเป็นรอยแผลเป็นจากสิว
ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการกับรอยแผลเป็นจากสิวทุกชนิด แสงแดดเป็นปัจจัยที่ทำให้รอยแดงและรอยดำจากสิวเข้มขึ้นและหายช้าลง การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงอย่างสม่ำเสมอในทุกวัน ไม่ว่าจะมีแดดหรือไม่ก็ตาม จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีและป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นจากสิวมีสีเข้มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รอยเหล่านี้จางลงได้เร็วขึ้นตามธรรมชาติและไม่ทิ้งร่องรอยบนผิว นอกจากนี้การปกป้องผิวจากแสงแดดยังช่วยลดการอักเสบโดยรวม ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้สิวใหม่ ๆ กลายเป็นรอยแผลเป็นจากสิวที่รักษาได้ยาก

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวและป้องกันอย่างไร
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยแผลเป็นจากสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลหัตถการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นหลุมลึกหรือแผลเป็นนูน การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ จึงเป็นทางเลือกในการฟื้นฟูผิว และลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวให้ดูจางลงได้ โดยแพทย์ผิวหนังจะเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของรอยแผลเป็นจากสิว ดังนี้
โปรแกรมเลเซอร์ (Laser Resurfacing)
เป็นการใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังชั้นบน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ชั้นผิวหนังแท้ ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวแบบหลุมตื้นดูเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนรอยแดงและรอยดำจากรอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย โปรแกรมเลเซอร์ที่นิยมใช้มีทั้งแบบ ablative เช่น โปรแกรม CO2 Laser ที่จะลอกผิวชั้นบนออก และแบบ non-ablative เช่น โปรแกรม Fractional Laser ที่จะส่งพลังงานลงไปใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบนมากนัก
การใช้โปรแกรมคลื่นวิทยุ RF
วิธีนี้เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กอย่างโปรแกรม Microneedle สอดคล้องกับคลื่นวิทยุ RF เพื่อส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวหนังโดยตรง ความร้อนที่เกิดขึ้น จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวดูแน่นและเติมเต็มขึ้นจากภายใน ซึ่งช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวแบบหลุมดูตื้นขึ้น และยังช่วยลดขนาดรูขุมขนไปพร้อม ๆ กัน นับเป็นหัตถการที่สามารถจัดการกับปัญหารอยแผลเป็นจากสิวที่รุนแรง นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ความเสี่ยงน้อยและให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจสำหรับผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากสิว
การกรอผิวด้วยผลึกโปรแกรม Microdermabrasion
เป็นการใช้เครื่องมือที่มีหัวกรอขนาดเล็กเพื่อขัดผิวชั้นบนออกอย่างอ่อนโยน ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงขึ้น หัตถการนี้เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นจากสิว ที่เป็นรอยแดง รอยดำ และรอยแผลเป็นแบบตื้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่เป็นหลุมลึกได้ แต่นับเป็นวิธีที่ไม่ต้องพักฟื้นและสามารถทำได้บ่อยครั้งเพื่อช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น นอกจากนี้ การทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นยังช่วยให้ผิวดูดซับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวมและลดความเสี่ยงที่การอักเสบจะทิ้งรอยแผลเป็นจากสิว ไว้ในระยะยาว
การตัดพังผืดใต้ผิวด้วยโปรแกรม Subcision
หัตถการนี้เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืดที่ยึดเกาะผิวให้เกิดเป็นหลุมรอยแผลเป็นจากสิว โดยเมื่อพังผืดถูกตัดขาดแล้ว ผิวจะสามารถยกตัวขึ้นและมีช่องว่างให้เลือดไหลเข้ามาซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนใหม่ในบริเวณนั้นได้ วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรักษารอยแผลเป็นจากสิว แบบ Rolling Scars หรือแผลเป็นหลุมแบบคลื่นที่เกิดจากการยึดเกาะของพังผืดใต้ผิว การทำโปรแกรม Subcision นับเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีในการแก้ไขปัญหาหลุมสิวลึก และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็นจากสิวประเภทนี้
การดูแลผิวหลังรักษารอยแผลเป็นจากสิว
เมื่อเข้ารับการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยวิธีทางการแพทย์แล้ว การดูแลผิวอย่างถูกวิธีหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวใหม่ การดูแลผิวหลังการทำหัตถการจะช่วยเสริมให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น ดังนี้
• เน้นการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว หลังทำหัตถการรอยแผลเป็นจากสิว ผิวจะขาดความชุ่มชื้นและแห้งตึงได้ง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) จะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นและช่วยให้กระบวนการฟื้นตัวของผิวเป็นไปอย่างราบรื่น ความชุ่มชื้นที่เพียงพอจะช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด ผิวที่ผ่านการทำหัตถการเพื่อรักษารอยแผลเป็นจากสิว จะบอบบางและไวต่อแสงแดด หากสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวเข้มขึ้นกว่าเดิม ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดจัด และเมื่อจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันไม่ให้การรักษารอยแผลเป็นจากสิวไม่สำเร็จ
• ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน ในช่วงแรกหลังการทำหัตถการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน ปราศจากสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารซัลเฟต เพื่อไม่ให้ผิวที่กำลังฟื้นตัวถูกทำร้าย การล้างหน้าควรทำอย่างเบามือและหลีกเลี่ยงการขัดถูแรง ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดรอยแผลเป็นจากสิวเพิ่มเติม
• งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ระคายเคือง ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว เช่น กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA, BHA), อนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีเข้มข้น ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการทำหัตถการรักษารอยแผลเป็นจากสิว การใช้สารเหล่านี้เร็วเกินไปอาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบและทำให้การรักษารอยแผลเป็นจากสิวไม่เป็นผลอย่างที่ควรจะเป็น
• หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือบีบสิว ในช่วงที่ผิวบอบบางและกำลังฟื้นตัวจากการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ไม่ควรแกะ เกา หรือบีบบริเวณผิวที่ทำการรักษาโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและทำให้ผิวอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว ที่รุนแรงกว่าเดิมได้ ควรปล่อยให้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ และหากมีสิวใหม่เกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาที่เหมาะสม
เคล็ดลับการป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว
การป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวและจัดการสิวอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้นเนิ่น ๆ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวตามมาในภายหลัง การปรับพฤติกรรมบางอย่าง และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาส ที่สิวจะพัฒนา ไปสู่การอักเสบ และทิ้งร่องรอยเอาไว้ ดังนี้
• ห้ามแกะ บีบ หรือกดสิวด้วยตัวเองเด็ดขาด การบีบหรือแกะสิวด้วยตัวเองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว เพราะเป็นการทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและดันเชื้อแบคทีเรียให้แพร่กระจายลึกลงไป ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงและนานขึ้น เมื่อเนื้อเยื่อถูกทำลายและไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ก็จะกลายเป็นหลุมสิวในที่สุด หากมีความจำเป็นต้องกำจัดสิว ควรให้แพทย์ผิวหนังเป็นผู้ดำเนินการด้วยเครื่องมือที่สะอาดและถูกวิธีเพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• ดูแลความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนวันละ 2 ครั้ง จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรก ความมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุของการอุดตันและทำให้เกิดสิว การดูแลความสะอาดอย่างถูกวิธีจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวใหม่และป้องกันไม่ให้สิวที่มีอยู่แล้วเกิดการอักเสบมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยในการลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวในระยะยาว
• ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาสิว เช่น Benzoyl Peroxide, Salicylic Acid หรือ Retinoids จะช่วยลดการอักเสบของสิวและช่วยให้สิวยุบตัวลงได้เร็วขึ้น การรักษาและควบคุมสิวตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้สิวพัฒนาไปสู่สิวอักเสบที่รุนแรง และเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
• ปกป้องผิวจากแสงแดด แสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รอยแดงและรอยดำจากสิวเข้มขึ้นและจางลงช้า การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกนอกบ้าน จะช่วยปกป้องผิวที่กำลังฟื้นตัวและลดความเสี่ยงที่สิวจะทิ้งรอยแผลเป็นจากสิว ไว้ ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน เพื่อไม่ให้รอยแผลเป็นจากสิวเข้มขึ้น
• ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง หากเป็นสิวอักเสบเรื้อรังหรือสิวหัวช้างที่รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาโดยแพทย์ผิวหนังจะช่วยควบคุมการอักเสบและป้องกันไม่ให้เกิด รอยแผลเป็นจากสิวที่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาทานหรือยาทาที่เหมาะสมกับสภาพผิว ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาสิวได้อย่างตรงจุดมากกว่าการดูแลด้วยตัวเอง
สรุป เข้าใจรอยแผลเป็นจากสิว และการรักษาที่เหมาะสม
รอยแผลเป็นจากสิว คือผลลัพธ์ของกระบวนการซ่อมแซมผิวที่ไม่สมบูรณ์หลังการอักเสบ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการอักเสบรุนแรงของสิว การบีบแกะ และการปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ซึ่งทิ้งร่องรอยไว้แตกต่างกัน ทั้งแบบหลุมลึกที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจน และแบบนูนที่เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป โดยแผลเป็นเหล่านี้ไม่สามารถหายได้เอง การรักษาจึงต้องเลือกให้เหมาะสม กับประเภทของรอยแผลเป็นจากสิวที่เผชิญอยู่ ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อลดรอยดำรอยแดง ไปจนถึงหัตถการทางการแพทย์สำหรับหลุมสิว
อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีคือการป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว ตั้งแต่แรกด้วยการรักษาสิวอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า และปรึกษาแพทย์เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวในอนาคต การดูแลผิวที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว และช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นได้
สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับ รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่ประเภท วิธีรักษาสิวป้องกันอย่างไร,รอยแผลเป็นจากสิว หรือสอบถามรายละเอียด โปรโมชั่นพิเศษ หรือ หัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ทุกช่องทางค่ะ

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาเพลินจิต
อยากมีผิวเรียบเนียนไร้รอยแผลเป็นจากสิว? มาทำความเข้าใจว่ารอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากอะไร พร้อมแนวทางการป้องกันอย่างถูกวิธี ไม่อยากมีรอยแผลเป็นจากสิวต้องอ่าน รวมสาเหตุที่สิวทิ้งรอย พร้อมวิธีป้องกัน