บทความเกี่ยวกับ : รอยสิว


10 วิธีรักษารอยสิว ลดรอยดำรอยแดงอย่างถูกวิธี ป้องกันได้จริง
10 วิธีรักษารอยสิว ลดรอยดำรอยแดง พร้อมป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ทุกคนย่อมเคยเจอกับปัญหารอยสิวที่ทิ้งไว้บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยแดงหรือรอยดำที่ดูไม่น่ามอง สร้างความกังวลและบั่นทอนความมั่นใจได้ไม่น้อย แม้ว่าสิวจะหายไปแล้วแต่รอยสิวก็ยังคงอยู่และใช้เวลานานกว่าจะจางลงได้เอง ซึ่งบางครั้งก็ทิ้งรอยแผลเป็นถาวรไว้ให้เราอีกด้วย การเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างถูกวิธีและยั่งยืน บทความนี้จะมาแนะนำ 10 วิธีรักษารอยสิว ที่จะช่วยลดรอยดำรอยแดงให้จางลงอย่างเห็นผล พร้อมทั้งบอกวิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่ เพื่อให้คุณกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียนและกระจ่างใสอีกครั้งอย่างมั่นใจ นอกจากนี้ APEX จะพาไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดรอยสิวแต่ละประเภท เพื่อให้การดูแลผิวเป็นไปอย่างตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ที่ดี เพื่อให้ผิวสวยใสไร้กังวลอย่างยั่งยืน

รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลรอยสิวคืออะไร?
รอยสิว คือ ร่องรอยที่ปรากฏขึ้นบนผิวหนังหลังจากสิวอักเสบได้หายไปแล้ว ซึ่งเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองของผิวหนังเมื่อเกิดการอักเสบ โดยกลไกหลักที่ทำให้ผิวทิ้งร่องรอยไว้มีสองลักษณะสำคัญ คือ รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) ซึ่งเกิดจากการที่ กระบวนการอักเสบ ไปกระตุ้นเซลล์ สร้างเม็ดสีให้ผลิตเมลานิน ออกมามากผิดปกติ ทำให้เมื่อสิวหายแล้วยังคงเหลือเม็ดสีส่วนเกินตกค้างอยู่ กลายเป็นจุดสีน้ำตาลหรือสีดำคล้ำ
ในขณะเดียวกัน รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema หรือ PIE) เกิดจากการที่หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวหรือได้รับความเสียหายจากอาการอักเสบ ทำให้แม้สิวจะยุบไปแล้ว แต่ยังคงมองเห็นเป็นรอยสีชมพูหรือสีแดงบริเวณนั้น ยิ่งสิวมีการอักเสบรุนแรงหรือถูกรบกวนจากการบีบแกะมากเท่าไหร่ โอกาสในการเกิด รอยสิว ที่ชัดเจนและจางหายช้าก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การเข้าใจว่ารอยสิวเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองของผิวต่อการอักเสบ เพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง

รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลรอยสิวมีกี่ประเภทที่พบบ่อย
เมื่อสิวหายไปแล้วสิ่งที่ทิ้งไว้ให้เรากังวลใจก็คือ รอยสิว ซึ่งมีหลายประเภท แต่ละแบบก็มีลักษณะและการดูแลที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจประเภทของรอยสิวที่พบบ่อย จะช่วยให้เราเลือกวิธีรักษาได้อย่างตรงสาเหตุและเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรอยสิวที่พบได้บ่อยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
1.รอยแดงจากสิว (Post-inflammatory Erythema - PIE)
รอยสิวประภทนี้มีลักษณะเป็นรอยราบสีชมพูหรือสีแดง เกิดจากการอักเสบและการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังบริเวณที่เคยเป็นสิว แม้สิวจะหายแล้วแต่หลอดเลือดฝอยยังไม่กลับสู่สภาพปกติ จึงยังคงทิ้งร่องรอยสิวสีแดงไว้ การรักษารอยแดงจากสิวให้จางลงนั้น ต้องอาศัยการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและหลีกเลี่ยงการรบกวนผิวเพิ่มเติม เพราะถ้าหากมีการอักเสบซ้ำก็จะทำให้รอยสิวยิ่งหายช้าลง มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวขาวหรือผิวขาวเหลือง และจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นหลังการอักเสบของสิวใหม่ๆ
2.รอยดำจากสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH)
รอยสิวลักษณะนี้เป็นรอยราบสีน้ำตาลไปจนถึงสีดำคล้ำ เกิดจากการที่กระบวนการอักเสบของสิวกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ออกมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดการสะสมของเม็ดสีในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็น รอยสิวที่ต้องใช้เวลาในการรักษาและต้องอาศัยวินัยในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์ผิวและยับยั้งการสร้างเม็ดสีจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้รอยสิวค่อย ๆ จางลงและผิวกลับมาเรียบเนียน เป็นรอยสิวประเภทที่พบได้บ่อย และมักจะเข้มขึ้นเมื่อสัมผัสกับแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน
3.รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)
รอยสิวลักษณะนี้เป็นรอยบุ๋มหรือหลุมลึกลงไปในชั้นผิว เกิดจากสิวอักเสบที่รุนแรงจนทำลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิว เมื่อผิวเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซม ร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนขึ้นมาทดแทนได้เพียงพอ ทำให้ผิวบริเวณนั้นยุบตัวลง รอยสิวประเภทนี้จึงถือเป็นปัญหาผิวที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง การปล่อยทิ้งไว้จะทำให้รอยสิวฝังลึกและรักษาได้ยากยิ่งขึ้น
ดังนั้นการปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ รอยประเภทนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผิวหนัง จึงดูแลรักษาได้ยากกว่ารอยแดงและรอยดำ และมักต้องอาศัยหัตถการทางการแพทย์เข้าช่วยเพื่อลดความรุนแรงของ รอยสิวและฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนขึ้น

รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยสิว
รอยสิวเป็นปัญหาผิวที่เกิดตามมาหลังจากการอักเสบของสิว แม้ว่าสิวจะยุบตัวลงไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิวนั้นมีความซับซ้อนและมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่พฤติกรรมส่วนบุคคล การทำความเข้าใจต้นตอของปัญหาจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและลดโอกาสการเกิดรอยสิว ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดรอยสิว มีดังนี้
พฤติกรรมการบีบ แกะ หรือเค้นสิว
นี่คือสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่เกิดจากการกระทำของตนเองและทำให้รอยสิวรุนแรงขึ้น การใช้แรงกดหรือบีบเค้นสิวไม่เพียงแต่จะทำลายผนังรูขุมขนและเนื้อเยื่อผิวที่บอบบางโดยรอบ แต่ยังเป็นการผลักให้เชื้อแบคทีเรียและการอักเสบกระจายตัวลึกลงไปในชั้นผิวหนัง การกระทำดังกล่าวเป็นการซ้ำเติมบาดแผล ทำให้กระบวนการซ่อมแซมของร่างกายซับซ้อนขึ้น ส่งผลให้เกิดรอยสิวที่มีสีเข้มและจางยากกว่าปกติ หรือในกรณีที่รุนแรงอาจทิ้งรอยแผลเป็นชนิดหลุมสิวไว้ถาวร
ความรุนแรงของสิวอักเสบ
ประเภทและความรุนแรงของสิวส่งผลโดยตรงต่อโอกาสการเกิดรอยสิว สิวอักเสบระดับรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง (Nodules) หรือสิวซีสต์ (Cysts) ที่มีการอักเสบลึกถึงชั้นหนังแท้ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อคอลลาเจนและอีลาสตินอย่างมาก เมื่อการอักเสบทุเลาลง โครงสร้างผิวบริเวณนั้นจึงถูกทำลายไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมได้สมบูรณ์ และมักจะทิ้งรอยสิวประเภทหลุมสิวเอาไว้ ในขณะที่สิวอักเสบทั่วไปมักจะทิ้งไว้เพียงรอยสิวประเภทสีที่ไม่รุนแรง
การสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน
รังสียูวีในแสงแดดคือตัวการสำคัญที่ทำให้รอยสิวโดยเฉพาะรอยดำ มีสีเข้มขึ้นและฝังแน่นยาวนานขึ้น เมื่อผิวบริเวณที่เป็นรอยสิวสัมผัสกับรังสียูวี เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) จะถูกกระตุ้นให้ผลิตเมลานินออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติ เพื่อปกป้องผิวจากการทำลายของแสงแดด ส่งผลให้รอยสิวที่มีอยู่เดิมมีสีคล้ำและชัดเจนยิ่งขึ้น การละเลยการใช้ครีมกันแดดจึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การรักษารอยสิวไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
ปัจจัยทางพันธุกรรม
พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดลักษณะการตอบสนองของผิวต่อการอักเสบและการซ่อมแซมตัวเอง บางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเกิดรอยสิวได้ง่ายกว่าคนอื่น โดยอาจเกี่ยวข้องกับความสามารถในการสร้างคอลลาเจน หรือแนวโน้มที่เซลล์ผิวจะผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไปเมื่อเกิดการอักเสบ ดังนั้น หากคนในครอบครัวมีประวัติการเกิดรอยสิวที่รุนแรง ก็มีความเป็นไปได้ที่คุณจะมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหารอยสิวได้ง่ายเช่นกัน
การปล่อยสิวอักเสบทิ้งไว้โดยไม่รักษา
การปล่อยให้สิวอักเสบเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม เท่ากับเป็นการปล่อยให้กระบวนการทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ยิ่งการอักเสบคงอยู่นานเท่าไร ความเสียหายต่อผิวหนังก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยสิวที่รุนแรงและจัดการได้ยาก การรีบจัดการกับสิวอักเสบตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง จะช่วยลดระยะเวลาการอักเสบและจำกัดความเสียหายให้น้อยที่สุด ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดรอยสิวที่ดี
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรงเกินไป เช่น สครับที่มีเม็ดบีดส์หยาบ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เข้มข้นสูง สามารถรบกวนเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มเติมได้ เมื่อผิวอ่อนแอและระคายเคือง จะยิ่งไวต่อการอักเสบและอาจกระตุ้นให้เกิดรอยสิวประเภท PIH ได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นการอักเสบเพียงเล็กน้อยก็ตาม การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะสมกับสภาพผิวจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการลดโอกาสการเกิดรอยสิวใหม่
ลักษณะและโทนสีผิว
โทนสีผิวตามธรรมชาติก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อประเภทของรอยสิวโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีโทนสีผิวเข้มจะมีเซลล์สร้างเม็ดสีที่ทำงานได้ดีกว่า จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยสิวประเภทรอยดำ ที่เห็นได้ชัดเจนและติดทนนาน ในขณะที่ผู้ที่มีผิวขาวอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยสิวประเภทรอยแดงได้บ่อยกว่า เนื่องจากมองเห็นการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยได้ชัดเจนกว่า
รอยสิวหายเองได้ไหม ใช้เวลานานแค่ไหน
รอยสิวหายเองได้ไหม รอยที่ทิ้งไว้บนใบหน้าจะหายไปได้เองหรือไม่ และต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าผิวจะกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม ซึ่งคำตอบคือ รอยสิวสามารถจางหายไปได้เองตามธรรมชาติ แต่ระยะเวลาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของรอยและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
• รอยแดงจากสิว รอยสิวชนิดนี้เป็นรอยที่จางหายได้ง่ายที่สุด เพราะเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ซึ่งร่างกายสามารถฟื้นฟูได้เองตามธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วรอยสิวแบบรอยแดงจะใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน (ขึ้นกับแต่ละบุคคล) ในการจางหายไปจนเกือบหมด อย่างไรก็ตาม หากมีการอักเสบซ้ำหรือผิวสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไปโดยไม่มีการป้องกันรอยสิวก็จะคงอยู่ได้นานขึ้น และอาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะจางลงจนมองไม่เห็น
• รอยดำจากสิว รอยสิวชนิดนี้จะใช้เวลาในการรักษานานกว่ารอยแดง เนื่องจากเกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากผิดปกติ การที่ผิวจะผลัดเซลล์และกำจัดเม็ดสีส่วนเกินออกไปนั้นต้องใช้เวลา โดยปกติแล้ว รอยสิว แบบรอยดำจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน (ขึ้นกับแต่ละบุคคล) จึงจะค่อยๆ จางลงจนมองไม่เห็น แต่ในบางกรณีอาจใช้เวลานานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับความเข้มของรอยสิวและการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการป้องกันจากแสงแดดหรือไม่มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำ รอยสิว ก็จะคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
• รอยหลุมสิว รอยสิวชนิดนี้ไม่สามารถหายเองได้ เนื่องจากเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวค่อนข้างถาวร การรักษารอยสิวแบบหลุมสิวจึงจำเป็นต้องอาศัยหัตถการทางการแพทย์เข้ามาช่วยเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เช่น การทำโปรแกรมเลเซอร์ หรือโปรแกรมฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นการรักษาที่ต้องใช้ต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ผิวบริเวณที่เป็นหลุมดูตื้นขึ้นและเรียบเนียนขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลรวม 10 วิธีรักษารอยสิว ลดรอยดำรอยแดงให้จางลง
เมื่อต้องเผชิญกับปัญหารอยสิว ไม่ว่าจะเป็นรอยแดงหรือรอยดำที่ดูไม่น่ามอง การเลือกใช้วิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้รอยสิวจางลงได้อย่างเห็นผลและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่ตามมา APEX ได้รวบรวม 10 วิธีรักษารอยสิว ที่จะช่วยกู้ผิวให้กลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสอีกครั้ง
1.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยสิว
การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดรอยสิวโดยเฉพาะเป็นวิธีที่ตรงสาเหตุที่สุด เช่น วิตามินซี (Vitamin C) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่นๆ ที่ช่วยจัดการปัญหารอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติลดการอักเสบและลดรอยแดงจากรอยสิวได้ดี รวมถึง เรตินอล (Retinol) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น และยังช่วยลดเลือนรอยสิวเก่าให้จางลงอีกด้วย ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) หรือวิตามินบี 3 ที่ช่วยลดการอักเสบและลดรอยแดงรอยดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสขึ้น
2.ปกป้องผิวจากแสงแดด
รอยสิวโดยเฉพาะรอยดำจะเข้มขึ้นเมื่อโดนแสงแดด เพราะรังสียูวีจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น จึงควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดดจัด เพื่อป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้น การป้องกันแสงแดดจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการรักษารอยสิว เพราะจะช่วยลดความเข้มของรอยสิวและยังช่วยให้การรักษารอยสิวอื่นๆ เห็นผลได้เร็วขึ้นด้วย นอกจากนี้การเลือกใช้ครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองและปัญหารอยสิวแย่ลงไปอีก
3.ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ให้หลุดออกไป ทำให้รอยสิวดูจางลงเร็วขึ้น สามารถทำได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA (Alpha Hydroxy Acid) หรือ BHA (Beta Hydroxy Acid) ในความเข้มข้นที่เหมาะสม ซึ่งควรทำอย่างระมัดระวังและไม่บ่อยเกินไปเพื่อไม่ให้ผิวระคายเคือง การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ควรเริ่มต้นจากความเข้มข้นต่ำๆ และสังเกตปฏิกิริยาของผิว เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือทำให้รอยสิวเข้มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งอาจทำให้การรักษารอยสิวต้องใช้เวลานานขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวร่วมกับการใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะผิวที่ได้รับการผลัดเซลล์จะไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสเกิดรอยสิวใหม่ได้ง่ายขึ้น
4.เสริมเกราะป้องกันผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์
ผิวที่แข็งแรงและชุ่มชื้นจะสามารถฟื้นฟูตัวเองและผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออกไปได้ดีกว่าผิวที่แห้งขาดน้ำ การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวจะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ลดการระคายเคือง และทำให้ส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้รอยสิวหายเร็วขึ้น เพราะเมื่อผิวชุ่มชื้นและไม่ระคายเคือง รอยแดง รอยสิว จะจางลงได้ง่าย และยังช่วยลดโอกาสในการเกิดรอยสิวใหม่ได้อีกด้วย ลองมองหาส่วนผสมอย่าง Ceramides, Hyaluronic Acid, หรือ Panthenol (Vitamin B5) ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและซ่อมแซมผิว ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยลดการระคายเคืองและเสริมให้ผิวสามารถจัดการกับปัญหารอยสิวได้ดีขึ้น
5.อาหารที่ช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยสิว
การทานอาหารที่ดีเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการดูแลผิวและลดเลือนรอยสิว อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จะช่วยลดการอักเสบในร่างกายและเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิว นอกจากนี้อาหารที่มีไขมันดีอย่างปลาทะเล ถั่ว และเมล็ดพืช ก็มีส่วนช่วยลดการอักเสบและช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและอาหารแปรรูป ก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะอาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการอักเสบและทำให้ปัญหารอยสิวแย่ลง การเลือกทานอาหารที่ดีจึงเป็นการบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง

รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล6.โปรแกรมเลเซอร์ลดรอยดำด้วยโปรแกรม Pico Laser
โปรแกรมเลเซอร์ลดรอยดำด้วยโปรแกรม Pico Laser เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษารอยสิว โดยเฉพาะรอยดำฝังลึกที่รักษายาก เลเซอร์ชนิดนี้จะปล่อยพลังงานแสงในระดับความเร็วสูง (Picosecond) เข้าสู่ผิวหนังเพื่อทำลายเม็ดสีส่วนเกินให้แตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกไปตามธรรมชาติ ทำให้รอยสิว รอยดำดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ทำลายผิวบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบเนียนและดูกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย การรักษาด้วยโปรแกรม Pico Laser จึงเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างปลอดภัยและเห็นผลดีสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยสิวที่ต้องการให้ผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง
Pico Laser ช่วยลดรอยสิว รักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
7.โปรแกรมเลเซอร์ลดรอยดำด้วยโปรแกรม Q-Switched Laser
โปรแกรมเลเซอร์ลดรอยดำด้วยโปรแกรม Q-Switched Laser เป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษารอยสิว โดยเฉพาะรอยดำที่เกิดจากการอักเสบของสิว เลเซอร์ชนิดนี้จะปล่อยพลังงานแสงในระยะเวลาที่สั้นมาก (Nanosecond) เข้าไปทำลายเม็ดสีผิวในระดับชั้นลึก ทำให้เม็ดสีแตกตัวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติ จุดเด่นของโปรแกรม Q-Switched Laser คือสามารถลดเลือนรอยสิว รอยดำ และความหมองคล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายผิวบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวโดยรวมดูสว่างกระจ่างใสขึ้น ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการจัดการกับปัญหารอยดำจากสิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
8.โปรแกรมเลเซอร์ลดรอยแดงด้วยโปรแกรม Pulsed Dye Laser
โปรแกรมเลเซอร์ลดรอยแดงด้วยโปรแกรม Pulsed Dye Laser (PDL) เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับปัญหาเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของรอยสิวที่เป็นสีแดง โดยเลเซอร์ชนิดนี้จะปล่อยพลังงานแสงไปที่เม็ดสีฮีโมโกลบินในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดฝอยเหล่านั้นฝ่อและสลายไปอย่างตรงสาเหตุ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการลดเลือนรอยแดงจากรอยสิว โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง การรักษาด้วยโปรแกรม Pulsed Dye Laser เป็นวิธีที่ความเสี่ยงน้อยช่วยให้รอยสิวที่เป็นสีแดงดูจางลงค่อนข้างรวดเร็ว ทำให้ผิวกลับมามีสีผิวที่สม่ำเสมอและเรียบเนียนขึ้น
9.ลดรอยสิวแบบหลุมด้วยโปรแกรม Microneedling
การลดรอยสิวด้วยโปรแกรม Microneedling เป็นวิธีที่ใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากเพื่อสร้างบาดแผลขนาดจิ๋วบนผิวหนัง กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยสิวที่เป็นหลุมและรอยแผลเป็น การทำโปรแกรม Microneedling สามารถทำได้ทั้งแบบใช้เครื่องมือที่มีหัวเข็ม หรือแบบใช้ลูกกลิ้ง (Dermaroller) โปรแกรมนี้ช่วยลดเลือนรอยสิว ทำให้ผิวดูตื้นขึ้นและเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสกินแคร์ ทำให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึกและเห็นผลลัพธ์มากขึ้น
10.ฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์รักษารอยสิวแบบหลุม
ฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์รักษารอยสิวแบบหลุม เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเติมเต็มผิวให้กลับมาเรียบเนียน โดยแพทย์จะฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าไปบริเวณใต้ผิวหนังที่เป็นหลุมสิว เพื่อยกผิวให้ดูตื้นขึ้นและสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความไม่เรียบเนียนของผิวได้ เหมาะสำหรับรอยสิวที่เป็นหลุมลึก และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและมีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ยังช่วยลดเลือนรอยสิวทำให้ผิวโดยรวมดูเรียบเนียนขึ้น

รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลวิธีป้องกันการเกิดรอยสิวไม่ให้เกิดซ้ำ
การรักษารอยสิวให้จางลงเป็นเพียงก้าวแรก แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิวใหม่ซ้ำอีก เพราะหากสิวยังคงอักเสบหรือมีพฤติกรรมที่ทำร้ายผิวซ้ำ ๆ ก็อาจทำให้รอยสิวเกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ การดูแลผิวอย่างถูกวิธีและใส่ใจสุขภาพผิวจะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยสิวใหม่ได้ โดยแนวทางที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
หลีกเลี่ยงการบีบสิวหรือแกะสิว
การบีบหรือแกะสิวเป็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้อาการอักเสบของสิวรุนแรงขึ้น และยังเป็นการทำร้ายผิวโดยตรง ซึ่งส่งผลให้เกิดรอยสิวโดยเฉพาะรอยดำ รอยแดง และรอยหลุมได้ง่ายกว่าเดิม เมื่อบีบสิว แบคทีเรียและสิ่งสกปรกอาจถูกดันเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกกว่าเดิม ทำให้การอักเสบขยายวงกว้างและหายช้าลง หากไม่บีบสิวจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ตามธรรมชาติ ลดโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็น และยังช่วยให้การรักษารอยสิว ด้วยวิธีอื่น ๆ เห็นผลได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน
การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะสมกับสภาพผิวเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิวที่มีปัญหาสิวและป้องกันการเกิดรอยสิวใหม่ ๆ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ดี ควรมีค่า pH ที่ใกล้เคียงกับผิว ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหลังล้าง และช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินออกได้อย่างหมดจดโดยไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดรอยสิว และทำให้ปัญหาสิวแย่ลง ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนจะช่วยให้ผิวแข็งแรงและพร้อมสำหรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป
จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพผิว เพราะจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากขึ้น ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันส่วนเกินและทำให้เกิดสิวได้ง่าย การจัดการความเครียด จึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดโอกาสการเกิดสิวใหม่และป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิวตามมา การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเอง ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย และลดการอักเสบ นอกจากนี้ การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ก็จะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีจากภายในและลดการเกิดรอยสิวได้
รักษาสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การจัดการสิวตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิวตามมาเมื่อสิวเริ่มขึ้น ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาสิว เช่น Benzoyl Peroxide หรือ Salicylic Acid เพื่อลดการอักเสบและช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น การปล่อยให้สิวอักเสบเป็นเวลานาน จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยดำหรือรอยหลุม ดังนั้น การรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที จะช่วยลดความเสียหายของผิวหนัง และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยสิว ในระยะยาวอีกด้วย
ปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากสิวเป็นซ้ำบ่อย
หากมีปัญหาสิวอักเสบเป็นประจำและดูเหมือนจะรักษายาก การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เป็นทางเลือกที่ดีเพื่อหาต้นตอของปัญหาและรับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะช่วยวินิจฉัยสาเหตุของสิวที่แท้จริงและแนะนำวิธีรักษาที่ตรงสาเหตุ เช่น การใช้ยาทาหรือยารับประทาน การทำโปรแกรมเลเซอร์ หรือการทำทรีทเมนต์อื่นๆ การรักษาโดยแพทย์ จะช่วยควบคุมการอักเสบของสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดโอกาสในการเกิดรอยสิว ใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางออกสำหรับผิวของคุณและป้องกันรอยสิวที่จะตามมา

รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่
ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมรักษารอยสิว ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลสรุป แนวทางการจัดการรอยสิวไม่เกิดซ้ำ
การจัดการปัญหารอยสิวที่ทิ้งไว้หลังสิวหายต้องอาศัยการดูแลที่ครอบคลุมและต่อเนื่อง การเริ่มต้นด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดรอยดำและรอยแดงโดยเฉพาะ เช่น วิตามินซี ไนอะซินาไมด์ และเรตินอล จะช่วยให้รอยสิวจางลงได้เร็วขึ้น ควบคู่ไปกับการป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้น
นอกจากนี้ การผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนและเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ก็เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น สำหรับรอยสิวที่เป็นหลุมลึก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำหัตถการ เช่นโปรแกรมเลเซอร์ หรือฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ จะช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้อีกครั้ง การป้องกันไม่ให้เกิดสิวซ้ำก็เป้นส่วนหนึ่งในการหยุดวงจรการเกิดรอยสิวใหม่ ๆ
สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับ รอยสิว คืออะไร สาเหตุเกิดจาก 10 วิธีรักษาป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่,รอยสิว หรือสอบถามรายละเอียด โปรโมชั่นพิเศษ หรือ หัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ทุกช่องทางค่ะ

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาเพลินจิต
เบื่อปัญหารอยสิวซ้ำซาก รวม 10 วิธีจัดการรอยดำ รอยแดงจากสิวให้อยู่หมัด ตั้งแต่วิธีธรรมชาติไปจนถึงหัตถการทางการแพทย์ พร้อมวิธีป้องกันที่ได้ผลจริง 10 วิธีรักษารอยสิว ลดรอยดำรอยแดงอย่างถูกวิธี ป้องกันได้จริง