5 เคล็ดลับ กินคีโต ให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น 

“กินคีโต” ให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น ทำได้ด้วยการทำให้ร่างกายเข้าสู่ “คีโตซิส” เร็วมากที่สุด ด้วยวิธีการที่เราได้นำมาแนะนำกันวันนี้ สำหรับมือใหม่ที่เริ่มกินคีโตแต่ยังไม่รู้จักการเข้าสู่คีโตซิส วันนี้เราจะพาไปดูการกินคีโตอย่างไรให้เข้าสู่คีโตซิสมากที่สุด เพื่อลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นกัน 

 

คีโตซิสคืออะไร?

คีโตซิส (Ketosis) เป็นสภาวะการเผาผลาญตามธรรมชาติ จากเดิมที่ร่างกายจะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อเรากินคีโตที่ต้องงดกินแป้งและน้ำตาลไป ทำให้ร่างกายที่มีน้ำตาลกลูโคสไม่เพียงพอ ร่างกายจึงเผาผลาญไขมันเพื่อให้เกิดพลังงานทดแทนขึ้น พลังงานเหล่านั้นเรียกว่า คีโตน (Ketone) โดยร่างกายจะปล่อยคีโตนที่ได้เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงาน โดยกระบวนการนี้ถูกเรียกว่า คีโตซิส (Ketosis) เมื่อร่างกายเข้าสู่คีโตซิสเท่าไหร่ ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันได้เร็วขึ้น และส่งผลให้น้ำหนักลดได้เร็วขึ้นด้วยนั่นเอง

​ 

5 เคล็ดลับ กินคีโต ให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น 

  1. การออกกำลังกาย

Active and healthy asian girl with fit body doing fitness exercises at home lifting dumbbells and sm...

สำหรับใครที่ใช้พลังงานในระหว่างวันมาก ๆ ร่างกายก็จะต้องการพลังงานมากขึ้นเท่านั้น ร่างกายคนที่ทำคีโตจะอยู่ในสถาวะที่เผาผลาญไขมันตลอดเวลา ยิ่งพอเสริมการออกกำลังกายไปด้วย อัตราการเผาผลาญไขมันก็จะยิ่งมากขึ้น นอกจากนี้ คนที่ออกกำลังกายจะมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้ก็จะมาช่วยเผาผลาญไขมันให้ได้มากขึ้นอีก

 

  1. กินคีโตร่วมกับทำ IF

Retro clock in which woman make intermittent fasting with a healthy food of salad.

สามารถช่วยให้เราเข้าสู่ภาวะคีโตซีสได้เร็วขึ้น ช่วยให้การลดน้ำหนักเห็นผลเร็วขึ้นเช่นกัน เพราะมีหลักการเผาผลาญพลังงานที่คล้ายๆ กัน โดยการดึงเอาไขมันมาเผาผลาญเป็นพลังงานหลัก แทนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ซึ่งหากทำทั้งสองอย่างร่วมกันร่างกายจะลดน้ำหนักจากไขมันได้เร็วขึ้น และยังช่วยเพิ่มอัตราและประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันให้มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจอยากลองทำควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

 

  1. เพิ่มการกินไขมันดี

Top view of plate with keto diet food and avocado

แม้ว่าการกินคีโตจะต้องเน้นกินไขมันเป็นหลัก โดยการกินคีโตควรจะกินไขมันให้ได้วันละ 75% และควรแบ่งให้เป็นสัดส่วนของไขมันดีเป็นหลัก โดยควรเน้นกินไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก อโวคาโด น้ำมันอะโวคาโด น้ำมัน flaxseed ถั่ว แซลมอน มากกว่าไขมันอิ่มตัว และไม่ควรกินไขมันไม่ดีให้เกิดการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น

 

  1. การทดสอบระดับคีโตน

Stethoscope pills and notebook with ketones word on medical desk

การทดสอบสามารถช่วยให้เราติดตามความคืบหน้า และปรับเปลี่ยนการกินคีโตให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้นได้ โดยการทดสอบจะหาสามารถซื้อได้ทางออนไลน์ ซึ่งทดสอบด้วยการตรวจสอบระดับคีโตนมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็น ทดสอบในปัสสาวะ ลมหายใจ หรือเลือด 

  • วัดทางปัสสาวะ เป็นการวัดอะซิโตน หากวัดแล้วผลได้ค่าเป็นบวกสีจาง ๆ คือร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานแล้ว โดยสามารถวัดได้ตั้งแต่เรากินคีโต 3-7 วัน ซึ่งการเริ่มเข้าคีโตซิสแล้ว ผลทดสอบจะเป็นสีเข้ม เพราะร่างกายยังไม่สามารถเปลี่ยนไขมันเป็น BHB ได้สมบูรณ์ แต่เมื่อกินไปประมาณ 2 เดือน ผลทดสอบสีจะจางลง เพราะร่างกายเข้า keto adapted คือ เปลี่ยนไขมันเป็น BHB มาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ (เข้าช้า-เร็วแล้วแต่คน)
  • วัดทางลมหายใจ เป็นการวัดอะซิโตน แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม
  • วัดค่าคีโตนในเลือด เป็นการวัด BHB แม่นยำสุดและแพงสุด

 

  1. กินโปรตีนอย่างเหมาะสม

Fresh salmon raw sashimi - japanese food style

คนที่กินคีโตมักจะกินไขมันในปริมาณมาก จนอาจจะลิมสารอาหารอื่นที่สำคัญโดยเฉพาะโปรตีนได้ ซึ่งการกินคีโตควรกินในปริมาณที่เหมาะสมในสัดส่วน 20% ต่อวัน เพราะโปรตีนในอาหารที่น้อยเกินไปจะสางผลให้มวลกล้ามเนื้อลดลง แต่ในทางกลับกันการทานโปรตีนที่มากจนเกินไป สามารถที่จะทำให้ระดับคีโตนลดลงได้ โดยโปรตีนหลัก ๆ ของคนที่กินคีโตจะมาจากไข่และถั่วนั่นเอง 

 

อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยเพียงเล็กน้อยที่ตรวจสอบผลกระทบระยะยาวของการกินคีโต คนที่สนใจควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนการเริ่มกินคีโตจะดีที่สุด และผู้ที่มีภาวะสุขภาพเบาหวานชนิดที่ 1 ควรหลีกเลี่ยงภาวะคีโตซีส เพราะตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ มีโอกาสเกิดภาวะเลือดเป็นกรดได้มากกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ซึ่งมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน และจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลทันที

 

สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น ลองหาตัวช่วยใหม่ ๆ ที่ปลอดภัยอย่าง ปากกา Slim Shape และการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ Apex Slim 

 

ปากกา Slim Shape เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุด เปปไทด์ลดหิว Liraglutide สารโปรตีนสกัดเลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกจากลำไส้หลังการทานอาหาร เพื่อส่งสัญญาณความอิ่มไปที่สมองประมาณ 3-5 นาที

 

กลไกการออกฤทธิ์ของ Slim Shape 

สมองส่วนกลาง : ทำให้รู้สึกไม่หิว อิ่มนาน ทนน้อย

กระเพาะอาหาร : ย่อยและดูดซึมได้นานขึ้น เพราะหลังทานอาหาร ลำไส้เล็กจะหลั่ง GLP-1 ออกมา เพื่อส่งสัญญาณความอิ่มไปที่สมอง โดยจะออกฤทธิ์  24 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน สามารถลดความหิวและความอยากอาหาร ทำให้ทานได้น้อยลง 

ตับอ่อน : ผลิตฮอร์โมนอินซูลินดึงน้ำตาลเข้าเซลล์ Slim Shape ช่วยการหลั่งฮอร์โมนนี้มีคุณภาพดีขึ้น 

 

ผลลัพธ์หลังการใช้  Slim Shape  

สามารถเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ลดความอยากอาหาร ทำให้ไม่รู้สึกหิวน้อยลง สามารถควบคุมอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักถึง 80% เมื่อใช้ต่อเนื่องเพียง 4 เดือน น้ำหนักลดลง 5-10%  นอกจากนี้ ยังสามารถลดไขมันในช่องท้อง (Visแeral Fat) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคแทรกซ้อนและอันตรายจากความอ้วน

 

Slim Shape เหมาะกับใคร

  1. ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีทวลกาย BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 30
  2. ผู้ที่พยายามจะลดน้ำหนักด้วยยาลดน้ำหนักแล้วไม่เห็นผล
  3. ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
  4. ผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ๆ หรือการทาน IF และต้องการลดพฤติกรรมการกินจุบจิบ
  5. ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง
  6. ผู้ที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป

 

โยโย่ เอฟเฟค

เมื่อลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย สามารถหยุดใช้ยาได้ทันที โดยจะไม่ทำให้เกิดอาการ “โยโย่ เอฟเฟค” เหมือนกับยาลดน้ำหนักแบบเดิม เพียงแต่เมื่อหยุดใช้ยาแล้วจะมีความรู้สึกหิวเหมือนช่วงก่อนการเริ่มใช้ยา 

 

ความปลอดภัย

ยาได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาทั้งไทยและต่างประเทศ จึงมีความปลอดภัย ไม่มีอันตรายเหมือนยาและอาหารเสริมลดน้ำหนักตัวอื่น ๆ ตัวยาไม่ได้มีกลไกออกฤทธิ์รบกวนสารสื่อประสาท จึงไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางจิตประสาท เช่น ใจสั่น ก้าวร้าว ฝันร้าย ประสาทหลอน ตามมา 

 

👉ปรึกษาลดน้ำหนักและสัดส่วนทักแชท
𝐂𝐎𝐍𝐓𝐀𝐂𝐓 𝐔𝐒
▪️𝐓𝐞𝐥 : 095-102-8585
▪️𝐋𝐢𝐧𝐞 : https://line.me/ti/p/%40APEXslim
▪️𝐅𝐚𝐜𝐞𝐛𝐨𝐨𝐤: https://www.facebook.com/ApexSlim
▪️𝐖𝐞𝐛𝐬𝐢𝐭𝐞 : https://www.apexslim.com/