เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ฝ้าผู้หญิง vs ฝ้าผู้ชายต่างกันอย่างไร ?

    เพราะปัญหาฝ้าไม่เลือกเพศ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เมื่ออายุมากขึ้นและเจอสภาพแวดล้อมที่ทำร้ายผิวก็อาจส่งผลให้ใบหน้าเป็นฝ้าได้ แต่เนื่องจากพื้นฐานผิวและฮอร์โมนของผู้ชายและผู้หญิงนั้นมีความแตกต่างกัน จึงทำให้เจอปัญหาที่ไม่เหมือนกัน แต่ก็เกิดขึ้นกับแค่เฉพาะบุคคลเท่านั้น

    ปัญหาฝ้าบนใบหน้าเป็นผลมาจากเม็ดสีผิวหรือเมลานิน (Melanin) ที่ถูกผลิตขึ้นมามากเกินไป ก็คือว่าโดยปกติใต้ผิวหนังของเราจะมีเซลล์ที่ชื่อว่าเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีเมลานินขึ้นมาปกป้องผิว ช่วยดูดซับรังสียูวีไม่ให้ทำร้ายผิว ซึ่งนอกจากเม็ดสีเมลานินจะอยู่ตามผิวหนังแล้วยังพบที่เส้นผม และขนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย โดยคนผิวเข้มตามชาติพันธุ์จะมีปริมาณเม็ดสีเมลานินมากกว่าคนผิวขาว

    ชนิดและประเภทของฝ้า

    1. ฝ้าตื้น เป็นความผิดปกติของเมลานินที่มากเกินไปในผิวชั้นบนหรือหนังกำพร้า (Epidermis) ขอบสีของฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลออกไปทางคล้ำขอบชัด
    2. ฝ้าลึก เป็นความผิดปกติของเมลานินที่มากกเกินในผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งอยู่ลึกลงไปทำให้ตัวฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นไม่เห็นขอบชัดเจน มีสีน้ำตาลเทาหรือสีม่วงอมน้ำเงิน ฝ้าชนิดนี้จะรักษาให้หายได้ยากกว่าฝ้าตื้น

    ฝ้าในผู้ชายเป็นอย่างไร

    ผู้ชายสามารถพบฝ้าลึก ฝ้าตื้น และฝ้าผสมได้เช่นเดียวกับผู้หญิง โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณโหนกแก้ม เพราะเป็นจุดที่โดนแสงแดดบ่อย แต่สามารถรักษาได้ง่ายกว่า เนื่องจากไม่ค่อยมีผลของฮอร์โมนเอสโตรเจนมาเกี่ยวข้องเหมือนผู้หญิงนั่นเอง

    ฝ้าในผู้หญิงเป็นอย่างไร

    ฝ้าในกลุ่มหญิงสาว มักพบได้มากกว่าผู้ชาย เพราะมีปัจจัยและสิ่งเร้าอื่นๆ ที่ส่งผลต่อผิวหน้าได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด เซลล์ผิว ฮอร์โมนต่างๆ ที่แปรผันไปตามอารมณ์หรือช่วงวัย เช่น การตั้งครรภ์ การทานยาคุมกำเนิด รวมไปถึงการเข้าสู่ช่วงวัยทองด้วยเช่นกัน

    ลักษณะของแผ่นฝ้าที่เกิดขึ้นบนผิวของคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายนั้น จะไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่นัก ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย แต่จุดสังเกตที่เห็นความแตกต่างชัดเจนนั่นก็คือ ผู้ชายมักเป็นแค่เฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดด แต่ผู้หญิงสามารถเป็นได้ทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นโหนกแก้ม หน้าผาก คาง จมูกหรือขอบปาก

    วิธีป้องกันฝ้าทั้งในผู้ชายและผู้หญิง

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความร้อนนาน ๆ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการออกแดดช่วง 10.00 -16.00 น. เพราะเป็นช่วงที่แดดแรง มีปริมาณของรังสียูวีสูง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหมวกและเสื้อแขนยาวปกปิดผิวหนังให้มิดชิด หรือไม่ก็กางร่มกันยูวี
    • ทาผลิตภัณฑ์กันแดดไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด เซรั่มกันแดด หรือสเปรย์กันแดดที่มีส่วนผสมของค่าป้องกันแดดและรังสียูวี หรือค่า SPF (Sunburn Protection Factor) ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป โดยค่า SPF15 เหมาะกับคนที่อยู่ในร่มไม่ออกแดดจัด ส่วนค่า SPF 15 – 30 เหมาะกับคนต้องออกกิจกรรมกลางแจ้ง
    • หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือมีสารอันตราย
    • หยุดยาที่เป็นสาเหตุของฝ้า

    วิธีรักษาฝ้าทั้งในผู้ชายและผู้หญิง

    1.ทาผลิตภัณฑ์กันแดด

    ทากันแดดเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ ไม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีเฉพาะค่า SPF เพียงอย่างเดียว เพราะจะกันได้แค่รังสี UVB ควรจะเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า PA ที่ช่วยป้องกันรังสี UVA ด้วย ยิ่งค่า PA มีเครื่องหมายบวก (+) มากเท่าใดยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูง

    2.ทาสกินแคร์รักษาฝ้า

    ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มครีมทาฝ้า หรือไวท์เทนนิ่ง ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีหรืออัลฟ่าอาบูติน เพราะจะช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ลดเลือนฝ้าให้จางลงได้

    3.ทรีทเมนต์ผลัดเซลล์ผิว

    การใช้ทรีทเมนต์จากกรดผลไม้อ่อน ๆ อย่าง AHA และ BHA เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาฝ้า เพราะกรดผลไม้เหล่านี้จะเข้าไปลอกเซลล์ผิวเก่าที่เป็นฝ้าให้หลุดลอกออกไปอย่างอ่อนโยน แต่ผลที่ตามมาคือความรู้สึกแสบคันระหว่างทำ หากท่านใดสภาพผิวอ่อนแอก็อาจจะแพ้ได้ง่าย 

    4.ยารักษาฝ้า

    ยากลุ่มที่ใช้รักษาฝ้านั้นจะเป็นพวก glycolic acid หรือ kojic acid และ corticosteroid เป็นต้น ซึ่งการใช้ยารักษาฝ้าควรอยู่ในดุลพินิจและการควบคุมของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อยามาใช้เองโดยเด็ดขาด

    5.เลเซอร์ด้วย Picosecond

    การทำเลเซอร์เป็นวิธีการรักษาฝ้าที่เป็นที่นิยมสูงมาก เพราะเห็นผลเร็ว โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี Picosecond แต่ต้องก็ควรรักษาอย่างต่อเนื่อง และผ่านการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

    Picosecond จาก Apex Medical Center ถือเป็นเทคโนโลยีในระดับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ของการพัฒนาพลังงานแสงเลเซอร์ เนื่องจากสามารถส่งพลังงานเลเซอร์เข้าถึงเม็ดสีที่ผิดปกติที่ความเร็วสูงสุดในระดับ 1 ต่อ ล้านล้านวินาที (picosecond = one-trillionth of a second ) ไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ หรือรอยดำหลังสิวหายก็สามารถทำการรักษาได้โดยไม่ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในบริเวณข้างเคียง

     

    เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ล่าสุดในการกำจัดเม็ดสีที่ APEX CLEAR เคลียร์รอยฝ้าแบบ 3 มิติ เพื่อผิวกระจ่างใส

    👉 กำจัดเม็ดสีได้ล้ำลึก ลบรอยฝ้าหนาได้ทุกชนิด

    👉 ลดการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย ไม่เกิดฝ้าซ้ำซ้อน

    👉 ฟื้นฟู พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนใหม่เพื่อผิวกระจ่างใส

    🏆 รางวัล “Luminary Excellence” อันดับ 1 เทคโนโลยีล่าสุดในการกำจัดเม็ดสีส่วนเกินที่ทำให้เกิดฝ้าหนา

    APEX CLEAR “เคลียร์ทุกเรื่องผิว”

    📣 สอบถามหรือปรึกษาปัญหาผิวได้เลยค่ะ

    📲 Line@ https://lin.ee/wB4l0p0 หรือ @apexclear