ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่เปิดกว้างในเรื่องของความสัมพันธ์และการมี Sex กันมากขึ้น และการมีเพศสัมพันธ์ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะมนุษย์เราไม่ว่าจะเพศไหนก็ย่อมมีความต้องการสิ่งเหล่านี้เพื่อตอบสนองความสุขให้กับตนเองกันทั้งนั้น
เพศที่ต้องระวังและป้องกันเป็นพิเศษก็คงจะหนีไม่พ้น “ผู้หญิง” เพราะนอกจากจะมีความเสี่ยงในเรื่องของโรคติดต่อที่อาจตามมาแล้ว ยังมีในเรื่องของการ “ท้องไม่พร้อม” อีกด้วย ดังนั้นคุณผู้หญิงหลายท่านจึงเลือกใช้การทานยาคุมกำเนิดเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยหลักในการป้องกันการตั้งครรภ์
แต่สาวๆ ทราบกันหรือไม่ว่าการทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นประจำนั้น ส่งผลกระทบต่อสภาพผิวได้ ปัญหาที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ การเกิด “แผ่นฝ้า” ขึ้นบริเวณโหนกแก้ม หรือจุดต่างๆ บนใบหน้า เนื่องจากยาคุมกำเนิดทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่เป็นตัวกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินของผิว จึงทำให้เป็นฝ้าได้ง่ายกว่าผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ได้รับประทานยาคุม
ฝ้า เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) มากกว่าปกติ ลักษณะของฝ้าจะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล มีขนาดเล็กกว่า 0.5 เซนติเมตร และจะกระจายอยู่บริเวณใบหน้าหรือผิวหนังที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ หรืออาจจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมร่วมด้วยก็ได้ ถ้าหากสาวๆ ท่านใดทานยาคุมกำเนิดก็จะยิ่งส่งผลให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้นได้
ใช้ยาคุมกำเนิดอย่างไรไม่ให้เกิดฝ้า ?
- เปลี่ยนไปทานยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ต่ำ จะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าได้
- ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestrogen-only pills – POP, Mini pills) แทน เพราะมีโปรเจสโตเจนเพียงอย่างเดียว เป็นยาคุมกำเนิดที่ทำออกมาเพื่อลดผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ปรึกษาแพทย์และเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิดเป็นรูปแบบอื่นแทน เช่น การฉีดยาคุมกำเนิดหรือควรให้คู่นอนสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
วิธีสลายฝ้าที่เกิดจากการทานยาคุมกำเนิด
ในกรณีที่คุณผู้หญิงบางท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือเลิกใช้ยาคุมกำเนิดได้ เนื่องจากความจำเป็นบางอย่าง ท่านสามารถป้องกัน ดูแลรักษาและยับยั้งการเกิดฝ้าบนใบหน้าได้ดังนี้
- ในกรณีที่ผิวค่อนข้างไวต่อแสง การทาครีมกันแดดถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนอกจากแสงแดดแล้ว ยังมีรังสีอื่นๆ เช่น แสงจากจอคอมหรือจอมือถือ ที่เป็นตัวกระตุ้นในการเกิดฝ้าได้
- ทาครีมรักษาฝ้าที่มีส่วนช่วยในการลดการสร้างเม็ดสี เพื่อให้ผิวกระจ่างใส พร้อมป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น แต่ก็อาจมีความเสี่ยงในเรื่องของผิวติดสารได้ ถ้าเจอครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวหน้า การลอกสิวเสี้ยนต่างๆ เพราะจะส่งผลให้ผิวหน้าบางและมีความไวต่อแสงมากยิ่งขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติมากที่สุด
- เลเซอร์ผิวหน้าเฉพาะบริเวณที่เกิดฝ้าด้วยโปรแกรมที่ไม่ทำร้ายสภาพผิว และไม่ก่อให้เกิดปัญหาหน้าผิวหรือผิวไหม้ตามมาทีหลัง
นอกจากนี้ การเลือกใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์บำรุงผิวหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรให้ความพิถีพิถันในการเลือกสรร เพราะถ้าหากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและมีสารเคมีชนิดที่รุนแรงต่อผิวหน้า อาจก่อให้ เกิดอาการแพ้ในส่วนผสมบางอย่างจากเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ได้ ซึ่งจะยิ่งส่งผลทำให้เกิดฝ้าหนาและลึกมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นสาวๆ ควรเลือกใช้เครื่องสำอาง สกินแคร์ และการทำเลเซอร์สลายฝ้าที่ได้มาตรฐานและควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ ขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมสลายฝ้า รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ใช้และแพทย์ที่ทำการดูแลรักษาก่อนการตัดสินใจเสมอ
เทคโนโลยีสลายฝ้า 3 มิติที่ APEX เป็นเทคนิคเฉพาะที่เกิดการพัฒนาจนได้รับรางวัล “Luminary Excellence” อันดับ 1 เทคโนโลยีล่าสุด ที่สามารถกำจัดเม็ดสีได้ลึกถึงผิวชั้นใน เพราะมีพลังงานเลเซอร์ที่กระจายได้ทั่วบริเวณที่เกิดแผ่นฝ้า พร้อมเคลียร์เส้นเลือด VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) เพื่อช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าซ้ำซ้อน
เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ล่าสุดที่ APEX CLEAR เคลียร์รอยฝ้าแบบ 3 มิติ เพื่อผิวกระจ่างใส
👉 กำจัดเม็ดสี ลบรอยฝ้าหนา
👉 ลดการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย
👉 ฟื้นฟู กระตุ้นคอลลาเจนใหม่เพื่อผิวเนียนใส
👉 ไม่มีผลข้างเคียง เห็นผลในครั้งแรก
🏆 รางวัล “Luminary Excellence” อันดับ 1 เทคโนโลยีล่าสุด ทำให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงสุดทางด้านการกำจัดเม็ดสี
APEX CLEAR “เคลียร์ทุกเรื่องผิว”
📣 สอบถามหรือปรึกษาปัญหาผิวได้เลยค่ะ
📲 Line@ https://lin.ee/wB4l0p0 หรือ @apexclear
#ApexClear #apexclearเคลียร์ทุกเรื่องผิว
#เลเซอร์ลดเม็ดสี #เลเซอร์ฝ้า #เคลียร์ฝ้า3มิติ