ลดน้ำหนักขนาดไหนน้ำหนักก็ไม่ลดลง พุงยังคงเป็นชั้น มีไขมันส่วนเกินตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องเช็คด่วน!! “ระบบการเผาผลาญเสื่อม” หรือเปล่า? การเผาผลาญเป็นปัจจัยที่ส่งผลกับการลดน้ำหนักและควบคุมอาหารโดยตรง อยากลดน้ำหนักให้ได้ผลดีต้องเผาผลาญให้มากกว่าอาหารที่กินเข้าไป
โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะมีการเผาผลาญตลอดเวลา แม้แต่ในขณะที่เราอยู่นิ่ง ๆ และจะมีอัตราการเผาผลาญมากขึ้นเมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเดิน นั่ง กินอาหารหรือแม้แต่การนอน โดยการเผาผลาญนี้เป็นกระบวนการภายในร่างกาย หรือเรียกว่า “เมตาบอลิซึม”
เมตาบอลิซึม (Metabolism)
เป็นกระบวนการทำให้ร่างกายทำงานได้ปกติ ช่วยรักษาสมดุลของภาวะต่าง ๆ ในร่างกาย กระบวนการนี้สามารถย่อยสารอาหารและน้ำให้กลายเป็นพลังงาน เสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่าง ๆ เพื่อนำพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ทั้งในช่วงพักและออกกำลังกาย เมื่อร่างกายมีพลังงานมากจะช่วยเร่งการเผาผลาญและควบคุมหรือลดน้ำหนักได้นั่นเอง
การเผาผลาญของร่างกาย
อัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกาย (Basal Metabolic Rate : BMR)
เป็นอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน ในขณะที่พักผ่อน โดยร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เป็นอัตราการเผาผลาญพลังงานขั้นต่ำ ซึ่งเป็นพลังงานที่ถูกใช้ไปเพื่อรักษาระดับการมีชีวิต ใช้ควบคุมระบบอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานปกติหรืออยู่ในภาวะคงที่ เช่น การเต้นหัวใจ การย่อยอาหาร การหายใจ เป็นต้น
อัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกายนี้ คิดเป็นร้อยละ 50-80 โดยผู้ชายจะมีอัตราการเผาผลาญวันละประมาณ 1,700 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิงมีอัตราการเผาผลาญวันละประมาณ 1,400 กิโลแคลอรี่ โดยจะมีความแตกต่างกันไปจากหลายปัจจัย เช่น เพศ น้ำหนัก อายุ เป็นต้น
พลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนไหวร่างกาย (Physical Activity)
เป็นพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญตอนทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นั่ง ยืน เดิน วิ่ง คิดเป็นร้อยละ 25-35 โดยจะเผาผลาญพลังงานประมาณชั่วโมงละ 700 กิโลแคลอรี่ และพลังงานนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 50 เท่า หรือมากกว่านั้นระหว่างที่ออกกำลังกาย
พลังงานที่ใช้ย่อยอาหาร (Thermic Effect of Food)
เป็นพลังงานที่ใช้ในการกิน ย่อย และเผาผลาญอาหาร คิดเป็นร้อยละ 5-10 โดยอัตราการเผาผลาญจะเพิ่มขึ้นหลังจากบริโภคอาหารเข้าไปได้สักพัก และจะพุ่งขึ้นสูงในช่วง 2-3 ชั่วโมงต่อจากนั้น ซึ่งพลังงานจะแตกต่างกันตามปริมาณและชนิดของอาหาร
ความอ้วนอาการบ่งบอกการเผาผลาญเสื่อม
น้ำหนักตัวไม่ลดลง แม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ปัญหาเหล่านี้อาจมาจากอัตราการเผาผลาญเสื่อม เราสามารถแก้ไขได้จากการกินและการออกกำลังกาย
การกินอาหาร
- ดื่มน้ำ เป็นอะไรที่ต้องทำกันประจำอยู่แล้ว เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย นอกจากนี้น้ำยังเป็นตัวเร่งการเผาผลาญเพื่อทำให้อุณภูมิในร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย โดยปกติควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
- เพิ่มโปรตีน เช่น เนื้อปลา นม ไข่ ถั่ว อาหารประเภทโปรตีนจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โดยกล้ามเนื้อนี้เองจะช่วยเร่เผาผลาญไขมันมากได้ขึ้น นอกจากนี้โปรตีนยังต้องการพลังงานเพื่อย่อยอาหารเพิ่มขึ้น 25% โดยควรกินโปรตีน 15-35% ของอาหารทั้งวัน
- กินอาาหารรสเผ็ด ในอาหารรสเผ็ดจะมีส่วนผสมของพริก ซึ่งพริกนี้เองสามารถเผาผลาญได้ 20% เป็นเวลาถึง 30 นาที แต่ระวังการกินมากเกินไปอาจทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
การออกกำลังกาย
- คาร์ดิโอ เป็นการอออกกำลังกายที่นิยมสำหรับนลดน้ำหนักอย่างมาก เนื่องจากสามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างดี แถมไม่หนักจนทำให้ท้อไปก่อนด้วย
- เวทเทรนนิ่ง นอกจากการกินโปรตีนจะสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้แล้ว การออกกำลังกายก็สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้เช่นกัน จริงช่วยเร่งการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น ควรออกกำลังกายทั้งแบบคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่งควบคู่กันไปด้วย หากมีเวลาออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง อาจจะวิ่ง 40 นาที และยกดัมเบลอีก 20 นาทีก็ได้
การเผาผลาญสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ก็จริง แต่อย่าลืมลดอ้วนที่ต้นเหตุนั่นคือการกิน ศูนย์ลดน้ำหนัก Apex Slim มีแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญในด้านการลดน้ำหนักโดยเฉพาะ และเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีทันสมัยระดับโลกในการลดน้ำหนักและสัดส่วนที่มีจำนวนเครื่องมือมากที่สุด
โปรแกรมลดน้ำหนักที่ Apex Slim ใช้การผสมผสานการรักษา โดยมีเทคโนโลยีล่าสุด “เปปไทด์ลดหิว” สารโปรตีนสกัดเลียนแบบฮอร์โมน จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว ลดความรู้สึกหิวและอยากอาหาร จึงช่วยให้ควบคุมอาหารได้ง่ายขึ้น ลดน้ำหนักที่ต้นเหตุ ไม่ต้องเสี่ยงออกกำลังกายหนัก
ซึ่งการควบคุมอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักถึง 80% ใช้ต่อเนื่องเพียง 4 เดือน น้ำหนักลดลง 5-10% และสามารถหยุดการใช้ได้เมื่อลดน้ำหนักได้เป็นที่พอใจ โดยไม่มีโยโย่เอฟเฟค เหมือนกับยาลดน้ำหนักแบบเดิม