รวมสาเหตุ “ดื้อโบลดริ้วรอย” ฉีดแล้วไม่ได้ผล เกิดขึ้นได้ไง!?
การฉีดโบลดริ้วรอย เป็นเทคนิคการเสริมความทางการแพทย์ที่มีในไทยมากว่า 20 ปี ซึ่งผู้คนให้ความสนใจกันเยอะมากจริง ๆ เรียกได้ว่ากระแสดีไม่มีตกและจำนวนผู้ฉีดเพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจากเป็นหัตถการที่ทำแล้วสวยขึ้นได้ทันที ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัดพักฟื้น จึงทำให้ความนิยมของการฉีดโบลดริ้วรอยมีแต่เพิ่มไม่เคยลดลงเลย
ยิ่งในปัจจุบันที่เราสามารถฉีดโบลดริ้วรอยได้ง่ายขึ้นมาก ๆ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คลินิกเสริมความงามเกิดขึ้นเต็มไปหมด ทำให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างคลินิก เพื่อดึงดูดลูกค้า บางคลินิกออกโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม ราคาถูกมาก ๆ หลายคนเห็นคลินิกนี้ฉีดโบลดริ้วรอยได้ในราคาไม่แพง ล่อตาล่อใจให้อยากไปฉีดด้วย ถ้าได้เจอคลินิกที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอคลินิกที่หลอกล่วงก็แย่เลยนะคะ จากที่ฉีดโบลดริ้วรอยแล้วจะสวย กลับเกิดปัญหาตามมาอีกนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นฉีดแล้วหน้าเบี้ยว หน้าแข็งตึง หรืออาจจะถึงขั้นดื้อโบลดริ้วรอยจนฉีดแล้วไม่เห็นผลอีกต่อไปเลย
แต่ก่อนที่จะไปหาสาเหตุว่าทำไมบางคนถึงเกิดอาการ ดื้อโบลดริ้วรอย เรามาทราบถึงหลักการทำงานของโบลดริ้วรอยกันก่อนดีกว่าค่ะ ซึ่ง โบลดริ้วรอย คือสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) เป็นการสกัดจนได้โปรตีนบริสุทธิ์ออกมา โดยในช่วงแรกงวงการแพทย์ได้นำเอาสารนี้มาช่วยในการรักษาโรคตาเหล่ กล้ามเนื้อตากระตุก และอาการปวดหัวไมเกรน เนื่องจากสารตัวนี้จะออกฤทธิ์ให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว อ่อนตัวลง เมื่อกล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง ก็จะส่งผลให้เกิดการหดเล็กลงในที่สุด และต่อมาก็ได้พัฒนามาใช้ด้านความงาม ไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบลดริ้วรอยลดริ้วรอย หรือฉีดโบลดริ้วรอยลดกราม เป็นต้น
อาการดื้อโบลดริ้วรอย คืออะไร
เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเราฉีดโบลดริ้วรอยเข้าไปแล้วไม่เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควร หรืออาจจะไม่เห็นผลอะไรเลย โดยคนไข้ที่มีปัญหาริ้วรอย กรามเยอะ หน้าใหญ่อยากปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก มักจะมองหาตัวช่วยอย่างการฉีดโบลดริ้วรอย ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า การฉีดโบลดริ้วรอย ตัวยาจะออกฤทธิ์ ลดการทำงานของกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด ทำให้ริ้วรอยลดเลือน กรามเล็กลง หน้า V-shape มากขึ้น แต่พอร่างกายของเราเกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยขึ้น ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นจึงยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ริ้วรอยไม่หาย กรามไม่เล็กลง ซึ่งสาเหตุมาจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเราได้ทำลายโบลดริ้วรอย ให้หมดไปจนไม่สามารถออกฤทธิ์ไปยังกล้ามเนื้อที่เราต้องการแก้ปัญหานั้นได้
สาเหตุของการ “ ดื้อโบลดริ้วรอย ”
เนื่องจากโบลดริ้วรอย เป็นโปรตีนอย่างหนึ่ง เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดี้ (Anti-Body) ขึ้นมา เพื่อต่อต้านสารโปรตีนดังกล่าว ทำให้ฉีดโบลดริ้วรอยแล้วไม่ได้ผล หรือ เกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยนั่นเอง ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อป้องกันโรค โดยสาเหตุหลัก ๆ ของอาการดื้อโบลดริ้วรอย มีอยู่ด้วยกัน 3 สาเหตุ คือ
• ฉีดโบลดริ้วรอย ถี่หรือบ่อยเกินไป เมื่อร่างกายได้รับสารโบลดริ้วรอยบ่อยมาก ๆ เข้า ร่างกายก็จะตอบรับด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดี้ (Anti-Body) ขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้การฉีดโบลดริ้วรอยครั้งหลัง ๆ เราจะสังเกตได้เลยว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์แล้ว
• ฉีดโบลดริ้วรอย ปลอม ไม่มีคุณภาพ ครั้งแรกของการฉีดโบลดริ้วรอย แม้ว่าจะเป็นโบลดริ้วรอยปลอม มีการปนเปื้อน ไม่มีคุณภาพ แต่ก็ยังสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อยู่ เนื่องจากเป็นการฉีดครั้งแรก ร่างกายเพิ่งเริ่มจดจำสารชนิดนี้ว่าเป็นของปลอม และจะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันออกมา ซึ่งทำให้เมื่อฉีดโบลดริ้วรอยครั้งต่อ ๆ ไป จะเห็นผลน้อยลง หรือ ฉีดแล้วไม่ได้ผล แม้ว่าครั้งต่อไปจะใช้โบลดริ้วรอยแท้ก็ตาม
• ฉีดโบลดริ้วรอย ในปริมาณที่มากเกินไป หลายคนคิดว่าการฉีดโบลดริ้วรอยเยอะ ๆ จะยิ่งทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ดียิ่งขึ้น แต่ไม่จริงเลย การฉีดโบลดริ้วรอยในปริมาณที่เยอะเกินไป จะทำให้สารนั้นตกค้างในร่างกาย และเกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยในที่สุด เพราะร่างกายจะสร้างภูมิกันมาต่อต้านกับส่วนที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกาย
ซึ่งอาการดื้อโบลดริ้วรอยส่วนใหญ่มักจะเกิดในการรักษาโรค เช่น กล้ามเนื้อหดเกร็ง ชักกระตุก ฯลฯ โดยการรักษาโรคเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้โบลดริ้วรอยในปริมาณที่มากกว่า การรักษาด้านการเสริมความงามหลายเท่า จึงทำให้มีโอกาสเกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยสูงกว่า ทั้งนี้ มีการศึกษาพบว่า การใช้โบลดริ้วรอยในการรักษาโรคนั้นมีโอกาสเกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอย 1% ส่วนการใช้โบลดริ้วรอยรักษาด้านความงามมีโอกาสเกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยน้อยกว่า 1 %
ดังนั้น ถ้าไม่อยากเกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอย ควรเลือกฉีดโบลดริ้วรอยที่มีคุณภาพ ในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ฉีดติดกันเกินไป และต้องฉีดในปริมาณที่พอดี ไม่มากเกินไปด้วย
รู้ได้ยังไงว่าเรามีภาวะดื้อโบลดริ้วรอย ?
ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ยาของโบลดริ้วรอยน้อยลง จากตอนแรก 6 เดือน เหลือ 4 เดือนและเหลือ 3 เดือนและลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดการฉีดโบลดริ้วรอยไม่ได้ผลอีกต่อไป จะเห็นได้เลยว่ หน้าไม่เล็กลง กรามใหญ่เหมือนเดิม กรามไม่ลด ริ้วรอยยังมีเหมือนเดิม
แต่สามารถสังเกตได้จากการทำทดสอบได้ โดยให้แพทย์ฉีดหน้าผากหรือจุดที่มีริ้วรอยเพียงฝั่งเดียว และรอดูผลลัพธ์หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ หากริ้วรอยไม่หายไปแสดงว่ามีภาวะดื้อโบลดริ้วรอย
อาการดื้อโบลดริ้วรอยแก้ไขได้หรือไม่
อาการดื้อโบลดริ้วรอย สามารถแก้ไขได้หรืออาจจะขึ้นอยู่กับบุคคล เมื่อเกิดอาการดื้อโบลดริ้วรอยขึ้น แล้วต้องรอให้ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นลดลง หรือหมดไปเอง แต่มีคนไข้จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ไม่รู้ตัวเองว่าเริ่มมีอาการดื้อโบลดริ้วรอยอยู่ คิดว่าฉีดโบลดริ้วรอยจากคลินิกนี้แล้วไม่ได้ผล จึงพยายามเปลี่ยนหมอ เปลี่ยนยี่ห้อโบลดริ้วรอย เปลี่ยนคลินิกไปเรื่อย ๆ หรือแม้แต่เพิ่มปริมาณสารโบลดริ้วรอยให้เยอะขึ้น ยิ่งเป็นการเพิ่มให้ตัวคนไข้เองดื้อโบลดริ้วรอยมากเหมือนเดิม เพราะเป็นการไปกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้นอีก
ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าฉีดโบลดริ้วรอยเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผลเหมือนครั้งแรก ๆ ให้เราหยุดการฉีดโบลดริ้วรอยไว้ก่อน และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจร่างกายให้แน่ใจว่าเรามีการอาการดื้อโบลดริ้วรอยหรือไม่ ซึ่งถ้าเกิดมีอาการดื้อโบลดริ้วรอยจริง อาจจะต้องหยุดการฉีดโบลดริ้วรอย ซึ่งถ้าโชคดีงดฉีดโบลดริ้วรอยไว้อย่างน้อยประมาณ 1-2 ปี เพื่อรอให้ภูมิคุ้มกันหมดฤทธิ์ ไม่ดักจับว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมก็อาจจะกลับมาฉีดได้อีก แต่ส่วนมากเมื่อดื้อโบลดริ้วรอยแล้วก็จะดื้อเลยไม่สามารถกลับมาฉีดได้อีก เพราะฉะนั้นก่อนฉีดควรเลือกดีๆ นะคะ
ผลกระทบของภาวะดื้อโบลดริ้วรอย
• ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้
• อาจจะต้องใช้ยาในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองเงิน
• เสียเวลาในการไปทำแล้วไม่เห็นผล
• การรักษาโรคบางโรค ที่จำเป็นต้องใช้โบลดริ้วรอยชนิดนี้ จะไม่สามารถรักษาได้
ฉีดโบลดริ้วรอยอันตรายไหม ?
สำหรับคนที่ยังไม่เคยฉีดโบลดริ้วรอยก็คงจะมีความกังวลว่า ฉีดโบลดริ้วรอยว่าอันตรายไหม เห็นคนที่ทำมาแล้วไม่ดีบ้างหรือตามที่ออกข่าวก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหน้าแข็ง ยิ้มไม่ได้ ไม่เป็นธรรมชาติ
โบลดริ้วรอยแท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถสลายเองได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง มีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ความปลอดภัยยังขึ้นกับประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีดโบลดริ้วรอย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง ประเมินปริมาณตัวยาที่เหมาะสม ก็จะไม่มีผลข้างเคียงหรือเป็นอันตรายค่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนะคะเราจะต้องตรวจสอบแพทย์และคลินิกให้ดีๆ ว่าเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพจากแพทย์สภาหรือไม่ หากตรวจสอบว่าไม่พบก็ฟันธงได้เลยว่าเป็นหมอปลอมหรือหมอกระเป๋าที่เรารู้จักกันค่ะ
ไม่อยาก “ ดื้อโบลดริ้วรอย ” ต้องทำตามนี้
1.การฉีดโบลดริ้วรอย ในแต่ละครั้งไม่ควรฉีดมากเกินไป ซึ่งในแต่ละบริเวณจะใช้จำนวนยูนิต (Unit) ไม่เท่ากัน มากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้พิจารณา
2.บางคนอาจจะคิดว่าเลือกคลินิกที่ราคาถูกไว้ก่อน จะได้กลับมาฉีดซ้ำได้บ่อย ๆ ไม่เปลืองสตางค์ แต่จริง ๆ แล้วการฉีดโบลดริ้วรอย ควรเว้นระยะเวลาในการฉีดอย่างน้อย 3-4 เดือน ถึงกลับมาฉีดซ้ำได้อีกครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเจอปัญหาดื้อโบลดริ้วรอยตามมาแน่นอน
3.ของถูกและดีไม่มีในโลก ยิ่งกับวงการแพทย์และความงามแล้วด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ย่อมใช้เทคโนโลยีหรือต้นทุนในการผลิตที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อต้องฉีดสารอะไรเข้าสู่ร่างกายควรต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน ไม่หลงเชื่อคำเชิญชวนหรือโปรโมชั่นที่มีราคาถูกมากจนเกินไป
4.เลือกสถานพยาบาลที่สามารถฉีดโบลดริ้วรอยให้คนไข้ได้อย่างมีมาตรฐาน กล่าวคือ สถานที่ต้องได้รับมาตรฐาน ใช้เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรองจากอย. แพทย์แต่ละท่านสามารถตรวจสอบเช็คประวัติได้จากเว็บไซต์ของแพทย์สภาหรือสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
โบลดริ้วรอย อยู่ได้กี่เดือน ?
โบลดริ้วรอยอยู่ได้กี่เดือน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและยี่ห้อโบลดริ้วรอยที่เลือกใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดโบลดริ้วรอย ซึ่งระยะเวลาเห็นผลจะอยู่ได้นานเลยทีเดียวค่ะ ประมณ 6-8 เดือน
• โบลดริ้วรอยลดริ้วรอย ฉีดโบลดริ้วรอยตีนกา โดยจะเริ่มออกฤทธิ์และเห็นผลใน 3-7 วัน เห็นผลเต็มที่ สังเกตได้ว่าริ้วรอยเริ่มลดลง 14 วัน หลังฉีดโบลดริ้วรอย
• โบลดริ้วรอยลดกราม โดยจะเห็นผลใน 14 วัน กล้ามเนื้อกรามจะนิ่มลงกัดฟันแล้วไม่เป็นก้อนกล้ามเนื้อเด้งออกมา จากนั้นจะเห็นว่ากรามยุบลงตอน 1 เดือน และยุบเต็มที่ใน 2-3 เดือน
ทีนี้เราก็ทราบถึงสาเหตุแล้วว่าเพราะอะไรถึงทำให้เกิดอาการ “ดื้อโบลดริ้วรอย” ดังนั้นถ้าอยากฉีดโบลดริ้วรอยแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี ปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย อย่าเห็นแก่ของถูกเด็ดขาด เพราะความสวยคือการลงทุน นั่นเอง