ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์แบบไม่เสี่ยง ไม่เสียใจภายหลัง
รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ (Filler) คือการฉีดสารเติมเต็ม ที่เรียกว่า เอชเอ (HA) หรือ ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เพื่อเข้าไปทดแทนและเติมเต็มเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวที่เสื่อมสลาย ช่วยพยุงโครงหน้าให้เกิดการยกกระชับหน้าให้กลับมาดูอิ่มเอิบ เพิ่มความยืดหยุ่น เติมร่องริ้วรอยลึกให้ตื้นขึ้นให้แลดูอ่อนกว่าวัย
ซึ่งฟิลเลอร์มีอยู่หลายชนิดเพื่อช่วยแก้ปัญหาในจุดที่แตกต่างกันไปบนใบหน้า การฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมือนการเป่าลมเข้าลูกโป่งที่ตรงไหนบุบ ตรงไหนบุ๋มหรือมีร่องแล้วจะฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเดี๋ยวก็พองเอง แต่คุณหมอใช้ฟิลเลอร์ฉีดเข้าไปเพื่อทดแทนไขมันที่ฝ่อตัวลงและมวลกระดูกที่กร่อน บางลงไปตามอายุ เมื่อฉีดแล้วนอกจากจะช่วยเติมเต็ม ยังทำให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้น เปรียบเสมือนการเสริมโครงสร้างปักเสาเข็มให้ใบหน้า
รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลจะฉีดฟิลเลอร์ชนิดไหนดี
ฟิลเลอร์ แบ่งหลักๆ ออกเป็น 3 ประเภท ตามระยะการคงตัว คือ สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler), สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) และสารเติมเต็มแบบถาวร (Permanent Filler)
• ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler) เช่น สารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และสารคอลลาเจน (Collagen) แต่การฉีดคอลลาเจนไม่เป็นที่นิยม เพราะจากการรวบรวมรายงานผู้ที่เคยฉีด ฟิลเลอร์ ด้วยสารคอลลาเจน พบว่ามีร้อยละ 3 เลยทีเดียวที่ฉีดสารนี้เข้าไปแล้วเกิดอาการแพ้ และสำหรับสารไฮย่าถือเป็นสารที่นิยมใช้ทั่วโลก อยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน จัดว่ามีความปลอดภัยสูงและสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
• ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) เช่น สารโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyakylimide) และสาร PMMA (Polymethyl-methacrylate) จะมีอายุยาวกว่าการใช้ฟิลเลอร์แบบชั่วคราวอยู่ได้นาน 2-5 ปี ปลอดภัยในระดับปานกลางและสารที่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าและไม่สลาย 100% มีแนวโน้มที่จะเกิดผลข้างเคียงมากกว่า เพราะร่างการถือว่าฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรนี้เป็นสารแปลกปลอมอาจเกิดอาการแพ้ได้
• ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler) เช่น ซิลิโคนเหลวและน้ำมันพาราฟิน จะให้ผลลัพธ์แบบถาวร ไม่สามารถสลายได้เอง ทำให้ระบุผลข้างเคียงในระยะยาวไม่ได้ หากอยู่ในร่างกายนานเกินไปอาจจะทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง ซึ่งข่าวที่เราได้ยินกันว่าฟิลเลอร์ไหลหรือฉีดฟิลเลอร์ ไปแล้วผิดรูปหน้าเบี้ยว เป็นก้อน ส่วนมากมักจะเกิดจากฟิลเลอร์ชนิดถาวรที่กล่าวถึง
สารเติมเต็มแบบชั่วคราว ที่เป็นสารไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ได้รับความนิยมสูงสุดในการนำมาฉีดเติมเต็ม เพราะปลอดภัยสูง มีความใกล้เคียงกับสารในร่างกายมนุษย์ สลายได้เองตามธรรมชาติ ได้รับการรับรองจาก อย. ทั้งในไทยและต่างประเทศและยังแบ่ง ฟิลเลอร์ ออกได้อีก 2 แบบ ตามลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์ ดังนี้
• HA Filler เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีลักษณะคงตัว ใช้สำหรับฉีดปรับโครงสร้างใบหน้าและเติมเต็มในส่วนที่ขยับเขยื้อนบ่อยๆ จนเป็นร่องรอยลึก เช่น ร่องแก้ม เป็นต้น
• HA Skin Booster เป็นฟิลเลอร์เนื้อบางเบากว่าแบบแรก มีลักษณะเป็นเจลนิ่มๆ ใช้สำหรับฉีดในบริเวณชั้นผิวที่ตื้นกว่า HA Filler เพื่อช่วยเกลี่ยให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ ฉ่ำน้ำ ดูสุขภาพดี กระจ่างใสขึ้นจนดูอ่อนกว่าวัย
ทำไมฟิลเลอร์ที่ผลิตจาก Hyaluronic Acid จึงได้รับความนิยมสูดที่สุด
ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ถูกเรียกในหลายๆ ชื่อทั้งเอชเอ, ไฮยาลูรอนหรือไฮย่า เป็นกรดที่ร่างกายสร้างขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำไขข้อที่ช่วยหล่อลื่นตามบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงช่วยลดการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่นของอวัยวะกับเซลล์อีกด้วย กรดไฮยาลูโรนิคถูกสร้างขึ้นระหว่างบริเวณผิวชั้นล่าง หรือชั้นหนังแท้และผิวชั้นบน หรือชั้นหนังกำพร้าที่เชื่อมต่อกัน โดยจะกระจายตัวอยู่ทั่ว เป็นตัวช่วยที่ทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความสดใสเปล่งปลั่งของผิว คุณสมบัติสำคัญของไฮยาลูโรนิค แอซิด ในฟิลเลอร์ช่วยในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
คนในช่วงอายุก่อน 30 ปี จะยังไม่ให้ความสำคัญกับกรดไฮยาลูโรนิคนัก แต่พออายุเริ่มขยับผ่านเลข 30 ขึ้นไปเรื่อยๆ จะรู้สึกว่าร่างกายผลิตไฮยาลูโรนิค คอลลาเจนและอิลาสตินได้น้อยลง สังเกตเห็นชัดที่สุดคงเป็นริ้วรอย ร่องลึก ความหย่อนคล้อยบนใบหน้า เพราะใต้ผิวเริ่มสูญเสียความชุ่มชื้นไป แห้งเหี่ยวขาดความยืดหยุ่นและด้วยเหตุนี้กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์จึงถูกคิดค้นขึ้นจนกลายมาเป็นฟิลเลอร์ในที่สุดโดยมีสภาพใกล้เคียงกับร่างกายคนมากที่สุด เพื่อทดแทนส่วนที่ผลิตได้น้อยลงและคงคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีไว้ อีกทั้งยังสามารถละลายน้ำได้ดีอีกด้วย จึงสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
ด้วยการคงคุณสมบัติสำคัญ อย่างการกักเก็บความชุ่มชื้นในกรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์ จึงเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าสารนี้ สามารถช่วยเรื่องริ้วรอยและเติมปริมาตรใต้ผิวได้จริงอย่างเห็นผล จัดอยู่ในประเภทของสารที่มีความปลอดภัยสูงมาก วงการเสริมความงามเลยนิยมนำไฮยาลูโรนิก แอซิด มาใช้อย่างแพร่หลาย
ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภทหลักๆ ที่สามารถพบบ่อยในชีวิตประจำวัน
1.การนำมาผสมในครีมบำรุงและเซรั่มต่างๆฃ
2.การฉีดสู่ใต้ผิวโดยตรงด้วยฟิลเลอร์
เปรียบเทียบฟิลเลอร์ยี่ห้อฮิตในเมืองไทย
รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล• Juvederm
ฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอมเริกา จากบริษัท Allergan ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ผลิตภัณฑ์โบลดริ้วรอย (Botox) มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) ในเนื้อผลิตภัณฑ์ ทำให้รู้สึกสบายในระหว่างที่ฉีด ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2 แบบ คือ
• Hylacross มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้มาก ฉีดแล้วผิวฟูอิ่ม เนื้อเจลมีความเนียนละเอียด ทนต่อการขยับ เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อเติมเนื้อในบริเวณที่ผิวมีการขยับเคลื่อนไหวบ่อยๆ
• VYCROSS เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น เพื่อทำให้สารเติมเต็มสามารถยกกระชับได้ดี มีโมเลกุลยึดเกาะที่เหนียวแน่นขึ้น อัตราการบวมน้ำน้อยมากเมื่อเทียบกับ HA ตัวอื่น
ซึ่ง Juvederm ถูกผลิตออกมาให้มีหลายชนิด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต่างกัน เช่น
• Juvederm Ultra แก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึก
• Juvederm Ultra Plus แก้ไขปัญหาร่องแก้ม เติมเต็มใบหน้าและร่องลึกบริเวณขมับ
• Juvederm Voluma แก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยและริ้วรอย
• Juvederm Vobella ใช้เติมเต็มจุดที่บอบบาง
• Juvederm Volift ใช้เติมเต็มขมับและริมฝีปาก
• Juvederm Volite น้องใหม่ของครอบครัว Juvederm เพื่อปรับผิวให้มีคุณภาพดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวฉ่ำน้ำและเบลอรูขุมขน
ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์ยี่ห้อที่มีมานานที่สุดและมีผลการรับรองเรื่องความปลอดภัยเยอะกว่าเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นๆ จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล• Belotero
ฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ จากบริษัท Merz Aesthetic ถูกเรียกว่าเป็น Colourful Filler เพราะสีสันของกล่องที่มีต่างกันถึง 5 สี (เขียว, เหลือง, ส้ม, ชมพู, ม่วง) แบ่งตามระดับการแก้ปัญหาในแต่ละชั้นผิว เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด ผลิตด้วยเทคโนโลยี Dynamic Cross-Lining Technology ในเนื้อผลิตภัณฑ์ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) จึงทำให้รู้สึกสบายระหว่างที่ฉีดเช่นเดียวกับ Juvederm
ซึ่ง Belotero ทั้ง 5 สี มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนี้
• กล่องสีเขียว คือสูตร Hydro ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยจะเน้นบริเวณลำคอ เนินอกและมือ
• กล่องสีเหลือง คือสูตร Soft สำหรับริ้วรอยที่ผิวชั้นนอก เช่น รอยตีนกา ริ้วรอยที่หน้าผากและรอบปาก
• กล่องสีส้ม คือสูตร Balance สำหรับริ้วรอยลึกระดับปานกลาง เช่น ร่องลึกระหว่างคิ้ว ใต้ตา ร่องแก้มหรือรอยเส้นในแนวตั้งจากมุมปากลงมาที่คางด้านนอก สูตรนี้ยังช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นได้ด้วย
• กล่องสีชมพู คือสูตร Intense สำหรับริ้วรอยลึกมากบริเวณร่องแก้ม มุมปากและเส้นแนวตั้งจากมุมปากมาคาง
• กล่องสีม่วง คือสูตร Volume ช่วยแก้ปัญหาหน้าตอบไร้วอลุ่ม หย่อนคล้อย เช่น บริเวณโหนกแก้มและคาง
รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล• Restylane
ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน จากบริษัท Q-MED AB มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) ในบางรุ่นเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป
ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2 แบบ คือ
• NASHA (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid Technology) เนื้อเจลมีขนาดอนุภาคเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ไม่เท่ากันใจฟิลเลอร์แต่ละรุ่น เหมาะสำหรับข้อบ่งใช้ที่ไม่เหมือนกัน และแต่ละอนุภาคประสานกันอย่างเป็นธรรมชาติ
• OBT (Optimal Balance Technology) เนื้อเจลมีความคงตัว ยืดหยุ่น สามารถปรับรูปทรงได้หลากหลายเหมาะสำหรับแต่ละจุดประสงค์ของการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ทั้ง 3 ยี่ห้อ 3 สัญชาติที่กล่าวถึงนี้ ล้วนแต่ได้รับการรับรองจาก อย. ของไทยและต่างประเทศแล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ถึงมาตรฐานที่เป็นสากล มีความปลอดภัยสูงและให้ผลลัพธ์ได้ตามที่ต้องการ แต่เรื่องผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับฝีมือของคุณหมอแต่ละคน ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์อย่าลืมหาข้อมูลเยอะๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจอีกครั้ง
รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลบริเวณที่นิยมในการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้แทบทุกส่วนบนร่างกาย ตำแหน่งที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นบริเวณทั่วใบหน้า ตั้งแต่หน้าผาก ระหว่างคิ้ว หางตา ใต้ตา จมูก ร่องแก้ม ริมฝีปาก คาง รวมถึงการฉีดเพื่อปรับรูปใบหน้าตามต้องการ แต่ถ้าใครคิดจะฉีดฟิลเลอร์จมูก ฟิลเลอร์หน้าผากหรือรอบดวงตา ต้องคิดให้ถี่ถ้วน และควรเลือกหมอในการฉีดด้วย เพราะบริเวณเหล่านี้เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเสี่ยง
เหตุที่เป็นพื้นที่เสี่ยงเพราะบนใบหน้าคนเรามีแขนงเส้นเลือดแดงจำนวนมากสานกันเป็นร่างแหกระจายอยู่ทั่ว โดยเฉพาะแถวหน้าผากกับจมูก การฉีดฟิลเลอร์เข้าในบริเวณดังกล่าว หากไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและรู้จักโครงสร้างใบหน้าดี ก็ไม่ควรเสี่ยง เพราะหากฉีดแล้วเนื้อผลิตภัณฑ์ ฟิลเลอร์ เข้าไปอุดตันแขนงเส้นเลือดแดงที่ไหลไปหล่อเลี้ยงดวงตา ส่งผลข้างเคียงถึงการมองเห็น ไปจนถึงขั้นตาบอดได้เลยค่ะ
อยากให้คุณลองอ่านบทความเรื่อง การฉีดฟิลเลอร์จมูกแล้วตาบอด ของคุณหมออาร์ม-นายแพทย์ภาวิต หน่อไชย ที่ได้เขียนไว้เพื่อจะได้ทราบว่า ทำไมเราถึงต้องฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น รู้เอาไว้ดีกว่าต้องรับความเสี่ยงมหาศาลในภายหลัง
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์
ก่อนมาเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง ควรงดยา/วิตามิน/อาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี ยาแอสไพริน สารสกัดจากใบแปะก๊วย เป็นต้น รวมถึงพวกอาหารหมักดอง เพราะจะไปกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวช้า ในระหว่างฉีดฟิลเลอร์ คนไข้อาจจะเลือดไหลไม่หยุดได้และเสี่ยงต่ออาการช้ำหลังฉีดอีกด้วย
ผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและปัญหาของคนไข้แต่ละคน หลังจากฉีดเสร็จแล้วสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น เพื่อให้ฟิลเลอร์เซตตัว ระยะของผลลัพธ์จะอยู่ที่ 6 เดือน – 2 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์ที่ฉีด อีกทั้งใน 2 สัปดาห์แรกหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วควรทำตามคำแนะนำจากคุณหมออย่างเคร่งครัดเพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ซึ่งก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ คนไข้จะต้องเข้ารับคำปรึกษากับคุณหมอก่อน เพื่อให้คุณหมอประเมินใบหน้าและพูดคุยถึงผลลัพธ์ที่ต้องการให้ชัดเจน เพราะปัญหาและความต้องการของคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน
รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลคุณหมอนัน-พญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ผู้บุกเบิกการใช้โบลดริ้วรอยและ ฟิลเลอร์ กลุ่มแรกของประเทศไทยมากกว่า 20 ปี เคยได้กล่าวถึงเรื่องที่แพทย์และสถานพยาบาลต้องเข้าใจถึง Personalization ไว้ว่า “สิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นแพทย์หรือสถานพยาบาลก็คือ ความเข้าใจคนไข้แบบเฉพาะบุคคล หรือ Personalization ความงามเป็นเรื่องเฉพาะตัว แพทย์จึงต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่คนไข้ต้องการให้มากที่สุด และทำให้สิ่งที่เขาอยากได้ ออกมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ก็สำคัญ
หลังจากฉีดฟิลเลอร์เสร็จใหม่ๆ คุณหมอจะให้คำแนะนำว่า ภายใน 2 สัปดาห์คุณควรจะ
• งดนวด ถู สัมผัสใบหน้าแรงๆ
• งดเท้าคางในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์คาง
• หลังฉีดจะรู้สึกว่าฟิลเลอร์เป็นก้อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการฉีดฟิลเลอร์ ห้ามปั้น นวด คลึงเอง เพราะอาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่คุณหมอวางไว้ไม่เป็นตามที่แพลนไว้
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยกกระชับที่ฉีดเข้าไปได้มีเวลาเซตตัวเสียก่อน แต่หลังจากนั้นคุณควรดูแลตัวเองในทุกๆ วัน เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ตามระยะเวลา และการดูแลตัวเอง ไม่ได้ส่งผลดี แค่เพียงตรงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เข้าไป แต่ยังส่งผลดีถึงสุขภาพโดยรวมของคุณด้วย
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นอันตราย มีสาเหตุหลักอยู่ 2 ข้อ
1.การใช้ผลิตภัณฑ์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน
ทุกวันนี้ความนิยมในการฉีดหน้ามีเพิ่มมากขึ้น ในท้องตลาดจึงมีผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ออกมาหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังให้มากที่สุดเลยคือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งคุณหมอนันได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “โบลดริ้วรอยและฟิลเลอร์แต่ละตัวมีข้อบ่งชี้ในการใช้ที่แตกต่างกันไป ทั้งจำนวนปริมาณที่ต้องใช้และระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์ โดยส่วนตัวหมอจะเลือกจากคุณภาพที่ดี มีมาตรฐานในการผลิตสูง มีการศึกษาวิจัยมายาวนานจนเป็นมาตรฐาน”
ซึ่งมีข้อสังเกตฟิลเลอร์ของแท้ง่ายๆ ดังนี้
• บนกล่องต้องมีฉลากชื่อผู้นำเข้าถูกต้องเป็นภาษาไทย อย่างเช่น แบรนด์จูวีเดิม (Juvéderm) จะพิมพ์กำกับมากับตัวกล่องเลย
• หากเจอฟิลเลอร์ราคา 3-6 พัน ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม เพราะราคาต้นทุนราคาสูงกว่านี้
• ผลิตภัณฑ์จะมีล็อตนัมเบอร์ ซึ่งสามารถเช็คกับบริษัท Allergan ได้โดยตรงหรือสอบถามบริษัทเลยว่าคลินิกนั้นๆ ใช้ของจริงรึเปล่า
• ชื่อเสียงของคลินิกและชื่อเสียงของแพทย์ 2 สิ่งนี้กว่าจะสร้างมาได้ไม่ใช่เวลาน้อยๆ สถานที่ที่มีชื่อเสียงมักไม่เสี่ยงใช้ของปลอม
2.แพทย์ขาดความเชี่ยวชาญ
ความเชื่อการฉีดฟิลเลอร์ ที่ว่าแพทย์ทุกคนสามารถฉีดฟิลเลอร์ได้นั้นเป็นความเชื่อที่อันตรายอย่างมาก ถึงแม้แพทย์ทุกคนจะฉีดยาได้จริง แต่การฉีดฟิลเลอร์หรือทำหัตถการใดใดบนใบหน้า ล้วนต้องอาศัยความชำนาญและเชี่ยวชาญของแพทย์เป็นสำคัญ ซึ่งแพทย์จะต้องรู้จักชั้นผิวแต่ละชั้นผิวที่ต้องฉีดเพื่อแก้ปัญหาในแต่ละปัญหา รวมถึงบริเวณที่ “ห้าม” ฉีด ซึ่งบริเวณที่ห้ามฉีดเหล่านี้หากเกิดปัญหา อาจทำให้ตาบอดหรือเสียชีวิตได้เลย