บทความเกี่ยวกับ : ลดความอ้วน

ลดความอ้วนให้ถูกวิธีต้องทำยังไง ไม่ท้อ ไม่เสี่ยงโย่โย่
ลดความอ้วนแบบไหนดี เห็นผลจริง ไม่ต้องกลัวโยโย่
หลายครั้งที่การลดความอ้วนด้วยตัวเอง มักจบลงด้วยความผิดหวังและผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเพราะความไม่สม่ำเสมอ กดดันตัวเองเกินไป หรือไม่รู้หลักการที่เหมาะสม ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักวิธีลดความอ้วนที่เห็นผล และไม่เสี่ยงต่อภาวะโยโย่เอฟเฟกต์ พร้อมแนะนำหัตถการจาก APEX ที่สามารถออกแบบแผนการลดความอ้วนให้เหมาะกับแต่ละคนได้ มาอ่านพร้อมกันได้เลย

ข้อดีของการลดความอ้วนอย่างถูกวิธี
เมื่อคุณเริ่มต้นลดความอ้วนอย่างถูกวิธี ผลลัพธ์ที่ได้จะมากกว่าแค่รูปร่างที่ดีขึ้น

• สุขภาพองค์รวมดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, และโรคหัวใจ
• พลังงานและอารมณ์ คุณจะรู้สึกมีพลังงานมากขึ้นตลอดวัน นอนหลับได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
• ความมั่นใจที่แท้จริง ความมั่นใจที่มาจากความรู้สึกแข็งแรงและสุขภาพดีจากภายใน จะเป็นความมั่นใจที่ยั่งยืนกว่าความสุขเพียงชั่วครู่จากการเห็นตัวเลขบนตาชั่งลดลง

ลดความอ้วน

ลดความอ้วนด้วยโปรแกรม CoolSculpting สาเหตุที่ทำให้สามารถลดไขมันได้

ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมลดความอ้วน ด้วย CoolSculpting ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

เปิดสาเหตุที่ทำให้การลดความอ้วนไม่สำเร็จ
หลายคนอาจจะเคยพยายามลดความอ้วนด้วยตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนเกิดความท้อ และล้มเลือกความตั้ง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าความอ้วนเกิดจาก “การกินเยอะและขี้เกียจ” เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ความอ้วนเป็นภาวะที่ซับซ้อนและมีสาเหตุเบื้องหลังมากมายที่ทำให้การลดความอ้วนกลายเป็นเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งการทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการลดความอ้วน ดังนี้

1.พลังงานไม่สมดุล (Calories In vs.Calories Out)
หลักการพื้นฐานที่ทำให้การลดความอ้วนเป็นไปได้ยาก คือการรับพลังงาน (แคลอรี) จากอาหารและเครื่องดื่มเข้ามามากกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ไปในแต่ละวัน พลังงานส่วนเกินนี้จะถูกเก็บสะสมในรูปแบบของไขมัน ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น การลดความอ้วนจึงต้องเริ่มจากการปรับสมดุลในจุดนี้ ซึ่งเป็นหัวใจของทุกแผนการ ลดความอ้วน

2.ปัจจัยทางพันธุกรรม (Genetics)
พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวโน้มของร่างกายในการเผาผลาญพลังงาน การสะสมไขมัน และการควบคุมความอยากอาหาร บางคนอาจมีพันธุกรรมที่ทำให้ลดความอ้วนได้ยากกว่าคนอื่น เพราะร่างกายมีแนวโน้มที่จะเก็บสะสมไขมันได้ง่ายกว่า การมีแผนลดความอ้วนที่เหมาะสมสำหรับร่างกายของแต่ละคนจึงเป็นสิ่งจำเป็น

3.ฮอร์โมนที่แปรปรวน (Hormonal Imbalance)
ฮอร์โมนคือตัวควบคุมกลไกสำคัญในร่างกาย การที่ฮอร์โมนบางชนิดทำงานผิดปกติคืออุปสรรคใหญ่ของการลดความอ้วน โดยมีรายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้

• อินซูลิน (Insulin) ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หากเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ร่างกายจะเก็บไขมันได้ง่ายขึ้น ทำให้การลดความอ้วนไม่ได้ผล
• คอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนความเครียด เมื่อมีความเครียดสะสม ร่างกายจะหลั่งคอร์ติซอลออกมามาก กระตุ้นให้อยากอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ความเครียดจึงทำให้การลดความอ้วนยากขึ้นไปอีก
• เลปติน (Leptin) ฮอร์โมนความอิ่ม หากร่างกายดื้อต่อเลปติน สมองจะไม่ได้รับสัญญาณว่าอิ่ม ทำให้กินมากเกินความจำเป็น และการลดความอ้วนก็จะล้มเหลว

4.พฤติกรรมและปัจจัยทางจิตวิทยา
พฤติกรรมการใช้ชีวิตมีผลโดยตรงต่อการลดความอ้วน ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารที่มีประโยชน์, การหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, ไปจนถึงการจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอ ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกับระบบเผาผลาญและฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการ ลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนักระยะยาว

• การนอนหลับไม่เพียงพอ การนอนน้อยทำให้ฮอร์โมนควบคุมความหิวและความอิ่มทำงานรวน ส่งผลให้อยากอาหารมากขึ้น
• การกินตามอารมณ์ (Emotional Eating) หลายคนใช้การกินเพื่อรับมือกับความเครียด ความเศร้า หรือความเบื่อหน่าย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการ ลดความอ้วน
• ขาดการเคลื่อนไหว การใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ ทำให้การเผาผลาญพลังงานน้อยลงจึงทำให้การลดความอ้วนไม่เป็นไปตามที่หวัง

5.สิ่งแวดล้อมและสังคม
สภาพแวดล้อมในปัจจุบันอาจไม่เอื้อต่อการลดความอ้วนเท่าที่ควร การเข้าถึงอาหารจานด่วนที่มีไขมันและน้ำตาลสูงทำได้ง่ายกว่าอาหารสุขภาพ ขนาดของอาหารที่ใหญ่ขึ้น และวัฒนธรรมการกินเลี้ยงสังสรรค์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้การลดความอ้วนกลายเป็นเรื่องยาก

ผลเสียจากการลดความอ้วนที่ผิดวิธี
การลดความอ้วน อย่างรวดเร็วอาจดูเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูดใจ แต่เบื้องหลังทางลัดสู่การลดความอ้วน นั้นมักแฝงไปด้วยผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวที่หลายคนคาดไม่ถึง การทำความเข้าใจผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกเส้นทาง ลดความอ้วน ที่ถูกต้องและดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง

ผลเสียที่ชัดเจนที่สุดของการลดความอ้วนแบบผิดๆ คือ "โยโย่เอฟเฟกต์" เมื่อคุณอดอาหารหรือตัดแคลอรีอย่างหนัก ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะจำศีลและลดอัตราการเผาผลาญลง การลดความอ้วนด้วยวิธีนี้ไม่ได้ทำให้ไขมันหายไป แต่กลับทำลายมวลกล้ามเนื้อซึ่งเป็นเตาเผาไขมันชั้นดี เมื่อคุณหยุดลดความอ้วน และกลับมากินปกติ ร่างกายที่มีระบบเผาผลาญต่ำจึงสะสมไขมันได้ง่ายกว่าเดิม ทำให้การลดความอ้วนในครั้งต่อไปยากยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากร่างกายแล้ว จิตใจก็ได้รับผลกระทบจากการลดความอ้วนที่ผิดวิธีเช่นกัน การหมกมุ่นกับการนับแคลอรีและการอดทนต่อความหิวโหยจะทำให้การลดความอ้วน กลายเป็นความเครียด และสร้างทัศนคติเชิงลบต่ออาหาร ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของการลดความอ้วนที่ดีต่อสุขภาพเลย นอกจากนี้ การลดความอ้วนที่ขาดสารอาหารยังส่งผลให้ผมร่วง ผิวโทรม และร่างกายอ่อนเพลียอีกด้วย

ดังนั้น การลดความอ้วนที่ถูกต้องจึงไม่ใช่การต่อสู้หรือการลงโทษร่างกาย แต่คือการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์อย่างยั่งยืน การเลือกเส้นทางลดความอ้วนที่ดีต่อสุขภาพ คือการลงทุนเพื่อตัวเองในระยะยาวที่ให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและมั่นคงกว่าการลดความอ้วนแบบฉาบฉวยอย่างสิ้นเชิง

ลดความอ้วน

ลดความอ้วนด้วยโปรแกรม CoolSculpting สาเหตุที่ทำให้สามารถลดไขมันได้

ผลลัพธ์หลังรับบริการ โปรแกรมลดความอ้วน ด้วย CoolSculpting ที่ APEX ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

ลดความอ้วนอย่างไรไม่ให้โยโย่ ? เคล็ดลับรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาว
ความฝันร้ายที่สุดของเส้นทางลดความอ้วนคือการเห็นน้ำหนักที่อุตส่าห์ลดลงไปได้ กลับพุ่งขึ้นมาเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมในเวลาอันรวดเร็ว หรือที่เรียกว่า “โยโย่เอฟเฟกต์” ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากคุณไม่มีวินัย แต่เกิดจากวิธีการลดความอ้วนที่ผิดพลาดตั้งแต่ต้น การทำความเข้าใจสาเหตุและเคล็ดลับการป้องกันคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้การลดความอ้วนของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ซึ่งสาเหตุหลักของโยโย่มาจากการลดความอ้วนที่เร็วเกินไป โดยเฉพาะการอดอาหารหรือตัดแคลอรีอย่างหนัก เมื่อร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอ มันจะเข้าสู่ภาวะเอาตัวรอดโดยการลดอัตราการเผาผลาญลง และสลายกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน เมื่อคุณหยุดลดความอ้วนและกลับมากินปกติ ร่างกายที่มีระบบเผาผลาญต่ำลงจึงไม่สามารถใช้พลังงานได้ทัน ทำให้เกิดการสะสมไขมันอย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับสำคัญในการลดความอ้วนไม่ให้โยโย่คือการเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรม
1.ตั้งเป้าหมายที่สมจริง การลดความอ้วนที่ดีต่อสุขภาพควรลดลงอย่างช้าๆ ประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อและระบบเผาผลาญไว้
2.เปลี่ยนจากการไดเอทเป็นไลฟ์สไตล์ การลดความอ้วนไม่ควรมีวันสิ้นสุด แต่คือการสร้างนิสัยการกินและการออกกำลังกายที่ดีที่สามารถทำได้ตลอดไป
3.ทำ Reverse Diet หลังจบโปรแกรมลดความอ้วนแล้ว อย่าเพิ่งรีบกลับไปกินเหมือนเดิม แต่ให้ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณแคลอรีทีละน้อย เพื่อให้ระบบเผาผลาญได้ปรับตัวและกลับมาทำงานได้ดีอีกครั้ง

ดังนั้นหัวใจของการลดความอ้วนที่แท้จริง ไม่ใช่การทรมานร่างกายในระยะสั้น แต่คือการสร้างวิถีชีวิตที่แข็งแรงและมีความสุขในระยะยาว การมีผู้มีทักษะคอยวางแผนการลดความอ้วนที่ถูกต้อง จะช่วยให้การลดความอ้วนของคุณห่างไกลจากโยโย่เอฟเฟกต์อย่างแน่นอน

คู่มือลดความอ้วน ปรับการกินอย่างไรให้ผอมลงและสุขภาพดี
การเริ่มต้นลดความอ้วนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าสับสนด้วยข้อมูลมากมาย ทำให้หลายคนเข้าใจว่าการลดความอ้วนคือการ “กินให้น้อยลง” เพียงอย่างเดียว ซึ่งมักจะนำไปสู่ความหิวโหย ความทุกข์ทรมาน และจบลงด้วยการล้มเลิกในที่สุด

แต่ความจริงแล้ว หัวใจของการลดความอ้วนที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพนั้น ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “คุณภาพ” ของสิ่งที่คุณเลือกกิน การทำความเข้าใจพื้นฐานด้านโภชนาการคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนการลดความอ้วนของคุณให้กลายเป็นเรื่องที่ทำได้จริง

1.โปรตีน เพื่อนแท้ของการลดความอ้วน
สารอาหารที่คุณต้องให้ความสำคัญในการลดความอ้วนนั่นก็คือโปรตีน เพราะโปรตีนช่วยทำให้คุณรู้สึก “อิ่มนาน” ลดความอยากอาหารจุบจิบระหว่างวัน และที่สำคัญที่สุดคือช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ในขณะที่คุณกำลังลดความอ้วนการมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงหมายถึงระบบเผาผลาญที่ดี แผนการลดความอ้วนที่ดีจึงต้องมีโปรตีนเพียงพอ

• แหล่งโปรตีนที่ดี เนื้ออกไก่, ปลา, ไข่, เต้าหู้, ถั่วต่าง ๆ, กรีกโยเกิร์ต
• เคล็ดลับ พยายามมีแหล่งโปรตีนในทุกมื้ออาหารของคุณ

2.เลือกคาร์โบไฮเดรตให้เป็น ไม่ใช่ศัตรู แต่คือพลังงาน
หลายคนกลัวการกินคาร์โบไฮเดรตเมื่อต้องลดความอ้วนแต่คาร์โบไฮเดรตคือแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย สิ่งที่ต้องทำคือการ “เลือกให้เป็น”

• คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (กินได้) เช่น ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีท, ข้าวโอ๊ต, มันเทศ คาร์โบไฮเดรตกลุ่มนี้จะค่อย ๆ ปล่อยพลังงาน ทำให้คุณอิ่มนานและไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง การลดความอ้วนจะง่ายขึ้นเมื่อคุณมีพลังงานสม่ำเสมอ
• คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (ควรเลี่ยง) เช่น ข้าวขาว, ขนมปังขาว, น้ำตาล, น้ำอัดลม สิ่งเหล่านี้จะทำให้หิวเร็วและกระตุ้นการเก็บไขมัน การลดความอ้วนจึงควรลดอาหารกลุ่มนี้

3.อย่ากลัวไขมันดี ตัวช่วยสำคัญที่ขาดไม่ได้
การลดความอ้วนไม่ใช่การตัดไขมันทุกชนิดออกจากชีวิต แต่คือการเลือก “ไขมันดี” ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของฮอร์โมนและการดูดซึมวิตามิน ทั้งยังช่วยให้คุณรู้สึกพึงพอใจกับมื้ออาหาร ลดความอยากของทอดของมันได้

• แหล่งไขมันดี อะโวคาโด, ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์, วอลนัท), น้ำมันมะกอก, ปลาแซลมอน
• เคล็ดลับ การลดความอ้วนที่ดีคือการเติมไขมันดีในปริมาณที่พอเหมาะในมื้ออาหารของคุณ

การลดความอ้วนที่ประสบความสำเร็จคือการสร้างนิสัยการกินที่ดีและทำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การอดอาหารที่ทำได้เพียงชั่วคราว การปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อยตามแนวทางนี้ จะทำให้การลดความอ้วนของคุณเป็นไปอย่างธรรมชาติและดีต่อสุขภาพในระยะยาว และนี่คือพื้นฐานของทุกแผนการลดความอ้วนที่ออกแบบโดยผู้มีประสบกาณ์

เป้าหมายที่แท้จริงของการ “ลดความอ้วน” ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนตาชั่ง
หลายคนที่เริ่มต้นลดความอ้วนมักจะยึดติดกับเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นั่นคือ “ตัวเลขบนตาชั่ง” พวกเขาทุ่มเทกับการอดอาหารอย่างหนักเพื่อให้น้ำหนักลดลงเร็วที่สุด แต่แล้วก็ต้องพบกับภาวะโยโย่เอฟเฟกต์และความผิดหวังในที่สุด นี่คือกับดักที่ใหญ่ที่สุดของการลดความอ้วนที่ผิดทาง เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของการลดความอ้วนที่ประสบความสำเร็จนั้นลึกซึ้งกว่าตัวเลขที่ปรากฏบนตาชั่ง แต่คือการสร้างสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอกอย่างยั่งยืน

เปลี่ยนโฟกัสจาก “ลดน้ำหนัก” เป็น “ลดไขมัน”
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจใหม่ในการลดความอ้วนคือ น้ำหนักที่หายไปนั้นคืออะไร ? การอดอาหารอย่างหนักอาจทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แต่น้ำหนักที่หายไปนั้นมักจะเป็น “น้ำ” และ “มวลกล้ามเนื้อ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเสียไปเลย

การสูญเสียกล้ามเนื้อจะทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายต่ำลง และเมื่อคุณกลับมากินปกติ ร่างกายก็จะเก็บสะสมไขมันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เป้าหมายของการลดความอ้วนที่ถูกต้องจึงควรเป็นการลด “เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย” (Body Fat Percentage) ซึ่งจะทำให้รูปร่างดูสมส่วน กระชับ และแข็งแรงขึ้น แม้ว่าตัวเลขบนตาชั่งอาจจะไม่ได้ลดลงฮวบฮาบก็ตาม การลดความอ้วนแบบนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ความสำคัญของกล้ามเนื้อ เตาเผาไขมันที่ดีที่สุด
ในเส้นทางการลดความอ้วนกล้ามเนื้อคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ เพราะกล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานสูง การมีมวลกล้ามเนื้อที่มากขึ้น หมายถึงร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นตลอดทั้งวัน แม้กระทั่งในขณะที่คุณกำลังพักผ่อน แผนการลดความอ้วนที่ดีจึงต้องมีการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ การลดความอ้วนที่เน้นอดอาหารเพียงอย่างเดียวจะทำลายกล้ามเนื้อและทำให้การลดความอ้วนในระยะยาวเป็นไปได้ยากขึ้น

7 กับดักความคิดที่ทำให้การลดความอ้วนล้มเหลว
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมการลดความอ้วนของคุณถึงไม่เคยประสบความสำเร็จสักที ? ทั้งที่พยายามอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็กลับมาวนลูปเดิม ๆ และน้ำหนักก็เด้งกลับมาเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ความพยายามของคุณ แต่อยู่ที่ “กับดักทางความคิด” และความเชื่อผิด ๆ ที่กำลังทำลายเส้นทางการลดความอ้วนของคุณโดยไม่รู้ตัว เช่น

1.ยิ่งอด ยิ่งผอมเร็ว
ความคิดที่ว่ายิ่งอดอาหาร การลดความอ้วนจะยิ่งได้ผลเร็ว คือกับดักที่อันตรายที่สุด เมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยเกินไป มันจะเข้าสู่ “ภาวะจำศีล” (Starvation Mode) โดยการลดอัตราการเผาผลาญลงเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ การลดความอ้วนด้วยวิธีนี้จึงไม่ยั่งยืน และเมื่อคุณกลับมากินปกติ ร่างกายจะเก็บสะสมไขมันอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นโยโย่เอฟเฟกต์

2.ตัดแคลอรีแบบสุดขั้ว
การลดความอ้วนโดยการนับแคลอรีเป็นเรื่องที่ดี แต่การตัดแคลอรีให้น้อยเกินความจำเป็น (เช่น ต่ำกว่า 1,200 แคลอรีต่อวัน) จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง และทำให้การลดความอ้วนกลายเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานจนต้องล้มเลิกไปในที่สุด

3.กลัวไขมันทุกชนิด
ไขมันไม่ได้เป็นผู้ร้ายเสมอไป ร่างกายต้องการ “ไขมันดี” (Healthy Fats) จากอะโวคาโด, ถั่ว, หรือน้ำมันมะกอก เพื่อช่วยในการดูดซึมวิตามินและสร้างฮอร์โมนที่สำคัญ การตัดไขมันทุกชนิดออกจากอาหารจะทำให้คุณรู้สึกหิวบ่อยและไม่พอใจกับมื้ออาหาร ทำให้การลดความอ้วนยากขึ้น การลดความอ้วนที่ดีคือการเลือกกินไขมันดี

4.ออกกำลังกายแบบหักโหม
หลายคนทุ่มเทอย่างหนักเพื่อลดความอ้วนอดทนกับความหิว และออกกำลังกายจนเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่สุดท้ายก็กลับมาอยู่ในจุดเดิม หรือบางครั้งอาจแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ปัญหาในการลดความอ้วนไม่ได้อยู่ที่ความพยายามที่น้อยเกินไป แต่อาจเกิดจาก “กับดักทางความคิด” และความเชื่อผิด ๆ ที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งกำลังทำลายเส้นทางการเกินไป

การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลดความอ้วนแต่การหักโหมเกินไป โดยเฉพาะการทำคาร์ดิโอหนักๆ ทุกวัน จะทำให้ร่างกายเกิดความเครียดสะสม หลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งกระตุ้นการเก็บสะสมไขมันบริเวณหน้าท้อง และยังเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอีกด้วย การลดความอ้วนที่ดีต้องมีการพักผ่อนที่เพียงพอ

5.คาดหวังผลลัพธ์ที่เร็วเกินไป
การตั้งเป้าหมายลดความอ้วนว่าจะลด 5-10 กิโลกรัมในหนึ่งสัปดาห์เป็นสิ่งที่ไม่สมจริงและกดดันตัวเองเกินไป เมื่อทำไม่ได้ก็จะรู้สึกท้อแท้และล้มเลิก การลดความอ้วนที่ดีต่อสุขภาพควรลดลงประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์เท่านั้น

6.ไม่สนใจการนอนหลับและความเครียด
การนอนน้อยและความเครียดคือศัตรูตัวฉกาจของการลดความอ้วนมันส่งผลให้ฮอร์โมนความหิว (เกรลิน) และความอิ่ม (เลปติน) ทำงานรวน ทำให้คุณอยากอาหารที่มีแคลอรีสูงตลอดเวลา แผนการลดความอ้วนที่ดีต้องรวมการจัดการความเครียดและการนอนหลับที่มีคุณภาพไว้ด้วย

7.คิดว่าต้องทำทุกอย่างสมบูรณ์แบบ
“วันนี้เผลอกินเค้กไปชิ้นหนึ่ง งั้นพรุ่งนี้ค่อยเริ่มลดความอ้วนใหม่” ความคิดแบบนี้คือกับดักที่สมบูรณ์แบบที่สุด การลดความอ้วนคือการเดินทางระยะยาว การมีมื้อที่หลุดไปบ้างเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญคือการกลับมามีวินัยในมื้อถัดไป ไม่ใช่การล้มเลิกทั้งหมด

ออกกำลังกายลดความอ้วนเริ่มแบบไหน คาร์ดิโอหรือเวทเทรนนิ่งดีกว่ากัน
เมื่อคุณตัดสินใจจะเริ่มลดความอ้วนอย่างจริงจัง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคนคือ “ฉันควรจะออกกำลังกายแบบไหนดี ? ” ระหว่างการวิ่งบนลู่วิ่งเป็นชั่วโมง (คาร์ดิโอ) หรือการยกน้ำหนักเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ (เวทเทรนนิ่ง) ซึ่งทั้งสองอย่างต่างก็มีประโยชน์ในเส้นทางการลดความอ้วนแต่การเข้าใจบทบาทของแต่ละอย่างจะช่วยให้คุณวางแผนการลดความอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

คาร์ดิโอ (Cardio) เครื่องมือเผาผลาญแคลอรีชั้นเยี่ยม
คาร์ดิโอ คือการออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจและปอด เช่น การวิ่ง, การปั่นจักรยาน, หรือการเต้นแอโรบิก ข้อดีหลักของคาร์ดิโอในการลดความอ้วนคือ มันสามารถเผาผลาญแคลอรีได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่คุณกำลังออกกำลังกาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างภาวะขาดดุลพลังงาน (Calorie Deficit) เพื่อการลดความอ้วนนอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจแข็งแรงและเพิ่มความทนทานของร่างกาย การเริ่มต้นลดความอ้วนด้วยคาร์ดิโอจึงเป็นทางเลือกที่ดี

เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เตาเผาไขมันที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
การเวทเทรนนิ่งช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ต้องการพลังงานในการดำรงอยู่ตลอดเวล าเมื่อมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น อัตราการเผาผลาญพื้นฐานของร่างกาย (BMR) ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นในทุก ๆ กิจกรรม ซึ่งเป็นเรื่องดีในการลดน้ำหนัก

ดังนั้นคำถามที่ว่าแบบไหนดีกว่ากันอาจผิดประเด็น เพราะคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักและมีสุขภาพที่ดีขึ้น คือการทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป การผสมผสานที่ลงตัวคือกลยุทธ์ลดความอ้วนที่ทรงพลัง เพราะคาร์ดิโอช่วยเผาผลาญไขมันในขณะที่คุณออกกำลังกาย ส่วนเวทเทรนนิ่งช่วยสร้างกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มการเผาผลาญในระยะยาว ทำให้การลดความอ้วนของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แนวทางการจัดตารางสำหรับผู้เริ่มต้น
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มลดความอ้วนแนะนำให้ออกกำลังกาย 3-4 วันต่อสัปดาห์ โดยผสมผสานกันดังนี้

• เวทเทรนนิ่ง 2 วันต่อสัปดาห์ (เน้นการฝึกทุกส่วนของร่างกาย หรือ Full Body Workout)
• คาร์ดิโอ 2 วันต่อสัปดาห์ (ทำในระดับความเข้มข้นปานกลาง 30-45 นาที)

การเริ่มต้นลดความอ้วนอย่างถูกวิธีคือการสร้างรากฐานที่แข็งแรงและยั่งยืน อย่ากลัวการยกเวท และอย่าละเลยการทำคาร์ดิโอ เพราะการลดความอ้วนที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยทั้งสองอย่างเพื่อพาคุณไปสู่เป้าหมาย

ลดความอ้วนแล้ว แต่ยังมีไขมันส่วนเกิน ให้โปรแกรม CoolSculpting คือคำตอบ
หลายครั้งที่การลดความอ้วนด้วยการคุมอาหารและออกกำลังกายมาถึงทางตัน เพราะยังคงมีไขมันเลวบางส่วนที่กำจัดไม่หมดสักที นี่คือจุดที่โปรแกรม Coolsculpting ที่ APEX เข้ามาตอบโจทย์ในการลดความอ้วน ด้วยเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นที่ช่วยจัดการไขมันเฉพาะส่วนได้ ทำให้การลดความอ้วนของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพื่อรูปร่างที่สวยน่าพึงพอใจในทุกสัดส่วน

บทสรุปสู่การลดความอ้วน ที่ประสบความสำเร็จ
หัวใจสำคัญของการลดความอ้วนคือการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้สมดุล โดยเน้นการทานอาหารที่ดีควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพราะการลดความอ้วนด้วยวิธีนี้ จะช่วยป้องกันการกลับมาอ้วนซ้ำและสร้างสุขภาพที่แข็งแรงอย่างแท้จริง นอกจากนั้นการมีผู้ช่วยวางแผนแนวทางการลดน้ำหนัก หรือรักษารูปร่างอย่างเหมาะสม ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการลดความอ้วนที่ค่อนข้างปลอดภัยและผลลัพธ์น่าพึงพอใจ

เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายสุดท้ายของการลดน้ำหนัก อาจไม่ใช่แค่การมีรูปร่างที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่คือการเริ่มเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง มั่นใจ และสนุกกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องรู้สึกท้อแท้กับการลดน้ำหนักที่ไม่เห็นผล

สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับ ลดความอ้วน CoolSculpting สาเหตุที่ทำให้สามารถลดไขมันได้,ลดความอ้วน หรือสอบถามรายละเอียด โปรโมชั่นพิเศษ หรือ หัตถการอื่น ๆ ของ APEX เพิ่มเติมได้ทุกช่องทางค่ะ

Apex

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการโฆษณาสำหรับ Apex Clinic สาขาเพลินจิต

เปิดสาเหตุที่ทำให้การลดความอ้วนไม่สำเร็จ เทคนิคการลดความอ้วนอย่างเหมาะสม ที่ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ลดความอ้วนให้ถูกวิธีต้องทำยังไง ไม่ท้อ ไม่เสี่ยงโย่โย่

518
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
Apex
รับโปรโมชั่นพิเศษ
รับโปรโมชั่นพิเศษ
ปรึกษาฟรี
ปรึกษาฟรี
โทรสอบถามโปรโมชั่น
โทรสอบถามโปรโมชั่น