“ภาวะน้ำหนักเกิน” ปัญหาใหญ่ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง

ปัญหาสภาวะน้ำหนักตัวเกิน เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคเรื้อรัง อาทิเช่น ไขมันในเลือดสูง โรคความดันสูง การสะสมไขมันในตับ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคข้อกระดูกเสื่อม รวมไปถึงภัยร้ายแรงอย่างโรคมะเร็งได้อีกเช่นกัน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพการดูแลตัวเอง และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จึงเป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์ที่ดีเพื่อให้ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงต่อสุขภาพได้

สารบัญ

ลดน้ำหนักด้วยการ “กลืนบอลลูน Gastric Balloon” ช่วยรักษาสุขภาพให้ดีขึ้นได้

แน่นอนว่าในปัจจุบัน นวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก ซึ่งอีกหนึ่งวิธีที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเลยว่า เห็นผล และปลอดภัย นั่นก็คือ กลืนบอลลูน (Gastric Balloon) เนื่องจากการกลืนบอลลูนเป็นโปรแกรมลดน้ำหนัก ที่ฉีกกฎของการลดน้ำหนักในแบบเดิม เนื่องจากมีปลอดภัยสูง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องดมยาสลบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะน้ำหนักเกิน นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดน้ำหนัก และช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้การกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) ยังช่วยให้ค่าเฉลี่ยน้ำหนักลดลงกว่า 15-25% จากปริมาณน้ำหนักเดิมในระยะเวลาเพียง 120 วัน เรียกได้ว่าปลอดภัย และไร้กังวลไปได้อย่างเหมาะสมเลยทีเดียว

กลืนบอลลูน (Gastric Balloon) เป็นโปรแกรมลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน

เนื่องจากการกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) เป็นโปรแกรมลดน้ำหนักใหม่ล่าสุด และเป็นตัวช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารเพื่อทำให้เรามีสุขภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งในขณะที่การกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) ในนวัตกรรมเก่า ที่ยังไม่ได้ถูกพัฒนา จะต้องใส่เข้าไป และต้องเอาออกด้วยกระบวนการส่องกล้องทางการแพทย์โดยใช้ยาสลบ แต่การกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) ใหม่ล่าสุด 2023 ที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นจะเป็นนวัตกรรมแรกของโลกที่เป็นการกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) ในกระเพาะอาหารที่กลืนเข้าไปได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 15 นาที และเมื่อถึงตามกำหนดในระยะเวลา 120 วัน หรือ 4 เดือน บอลลูนที่อยู่กระเพาะอาหาร จะถูกขับถ่ายออกมาตามธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องส่องกล้อง และไม่ต้องดมยาสลบ อีกทั้งผู้ที่เข้ารับบริการลดน้ำหนักด้วยการกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) จะได้รับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีไว้ติดตามผลลัพธ์หลังกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) คือ Smart Watch และ เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิทัลที่สามารถเช็คค่า BMI ไขมัน รวมไปถึงมวลร่างกาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนไข้ได้อย่างครบครัน

หลักการทำงานของ บอลลูนกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)

ลักษณะของบอลลูนก่อนที่จะขยายตัวในกระเพาะ จะเป็นแคปซูลบอลลูนที่มีขนาดเทียบเท่ากับวิตามินที่เป็นแคปซูลทั่วไปเพียงเล็กน้อย โดยคนไข้จะได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเท่านั้น ซึ่งหลังจากกลืนบอลลูน (Gastric Balloon) ไปแล้ว แพทย์จะทำการเติมน้ำเกลือผ่านสายที่ติดกับแคปซูลเพื่อให้แคปซูลบอลลูนขยายตัว โดยน้ำเกลือที่เติมลงไปในแคปซูลจะมีค่า PH เฉพาะ ไม่เป็นอันตรายร่างกาย และเมื่อมั่นใจว่าบอลลูนลงไปในกระเพาะอาหารแล้ว แพทย์จะทำการเอกซเรย์อีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด ในขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น

กลืนบอลลูน (Gastric Balloon) ทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป

เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชินกับบอลลูนกระเพาะอาหาร ร่างกายจะพัฒนาทักษะการตอบสนองต่อร่างกาย โดยคนไข้ที่กลืนบอลลูน (Gastric Balloon) จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้ดังนี้

  • ร่างกายจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมการกินได้น้อยลง 20% จากเดิม
  • เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์แรก จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มตัวเร็วขึ้น เนื่องจากบอลลูนจะเข้าไปลดพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ส่งผลทำให้รู้สึกรับประทานอาหารได้น้อยลง และอิ่มตัวเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ลดน้ำหนักโดยการกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) เหมาะกับใคร

สำหรับผู้ที่เหมาะกับการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร จะคำนวณจากค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) ซึ่งผู้ที่เหมาะสมจะต้องมีค่า BMI 27 ขึ้นไป หรือผู้ที่เป็นโรคอ้วนและผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก โดยวิธีการคำนวณหาค่า BMI มีดังนี้

การเตรียมตัวก่อนใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)

ก่อนเข้ารับการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ผู้เข้ารับการใส่บอลลูนจะต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อม โดยแพทย์จะตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และตรวจเลือดเบื้องต้น (Lab Pre Operation) ส่องกล้องเพื่อดูความพร้อมของหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคประจำตัว ซึ่งต้องอยู่ในเกณฑ์ปกติจึงจะสามารถใส่บอลลูนได้ โดยผู้เข้ารับการใส่บอลลูนต้องรับประทานยาลดกรด Miracid (Omeprazole) ก่อนอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 14 วัน พร้อมงดสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ของหมักดอง และก่อนกลืนบอลลูน 1-2 วันให้งดทานอาหาร สามารถทานได้น้ำ หรืออาหารในรูปแบบของซุปได้ เนื่องจากว่าตอนที่เรากลืนบอลลูนเข้าไปแล้วอาจจะทำให้เกิดอาการแน่นท้องได้

ผลลัพธ์หลังการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)

บอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติเมื่อรับประทานอาหาร นั่นอาจเป็นเพราะบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) จะทำให้การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการปรับระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารลดลง ผลลัพธ์ที่ได้ คือปริมาณน้ำหนักลดลง และแน่นอนว่าจากผลสรุปของผู้ที่กลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) ในบางรายน้ำหนักลดลงไปประมาณ 7-15% ในช่วง 4 เดือนแรกหลังกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) และทั้งนี้การกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) ยังช่วยแก้ไขสภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีน้ำหนักเกินค่า BMI รวมไปถึงโรคภัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพ อาทิเช่น

  • โรคกรดไหลย้อน
  • โรคหัวใจ
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับ
  • โรคข้อเข่าเสื่อม (ปวดข้อ)
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • โรคคอเลสเตอรอลสูง
  • โรคไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (NAFLD)

หากกลืนบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

แม้ว่าผู้ที่กลืนบอลลูนบางรายจะทำตามขั้นตอนที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำทุกขั้นตอนแล้วก็ตาม แต่ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินหลังจบโปรแกรมบอลลูนในกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon) แล้ว จะต้องควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักขึ้นอีก

ใครบ้างที่สามารถใส่บอลลูนกระเพาะอาหารได้

  • คนที่สามารถใส่บอลลูนกระเพาะอาหารได้ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี แต่หากต่ำกว่า 18 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเท่านั้น
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และเป็นโรคอ้วนที่มีดัชนีมวลกาย BMI เกิน 27 (แต่กรณีที่ BMI ต่ำกว่า 27 จะต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม)

ข้อห้ามสำหรับการกลืนบอลลูนกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)

ผู้ที่มีภาวะกลืนลำบาก

  • เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร
  • มีความผิดปกติของหลอดอาหาร เช่น หลอดอาหารตีบตัน หรือผู้ที่เป็นไส้เลื่อนหลอดอาหาร

ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงการเกิดลำไส้อุดตัน

  • มีประวัติไส้ติ่งอักเสบ หรืออวัยวะภายในช่องท้องมีรูพรุน
  • มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรง เช่น โรคกระเพาะ
  • มีประวัติการอุดตันของลำไส้ หรือผ่านการผ่าตัดลำไส้มาก่อน
  • มีประติการมีพังผืดในช่องท้อง

ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงกระเพาะอาหารทะลุ

  • มีประวัติการผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือหลอดอาหารมาก่อน
  • มีประวัติการรักษาริดสีดวงทวารโดยการส่องกล้อง
  • มีประวัติการผ่าตัดป้องกันกรดไหลย้อน

ผู้ที่มีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร

  • มีประวัติกการอักเสบที่ผ่านมาไม่นาน เช่นหลอดอาหารอักเสบ โรคกระเพาะ แผลในกระเพาะอาหาร หรือแผลในลำไส้
  • มีประวัติของโรคของหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร , เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือความผิดปกติจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยในลำไส้
  • เนื้องอกในทางเดินอาหาร
  • ผู้ป่วยที่รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ตับทำงานบกพร่อง หรือตับแข็ง

ผู้ที่มีภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นๆ

  • โรคทางจิตเวชขั้นรุนแรง และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมในการกินที่มากเกินไป หรือการรับประทานอาหารที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางจิต
  • โรคพิษสุราเรื้อรัง
  • โรคตับอ่อนอักเสบ
  • ผู้ที่เคยมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไม่คงที่
  • โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอย่างรุนแรง หรือโรคซิสติกไฟโบรซิส
  • ผู้ที่เป็นมะเร็งทุกชนิด
  • สตรีมีครรภ์ หรือกำลังอยู่ระหว่างการให้นมบุตร
  • ผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะมาก่อน

 

Q&A คำถามเพิ่มเติมสำหรับ บอลลูนกระเพาะอาหาร (Gastric Balloon)

 

👩🏻‍⚕️ APEX Life Center เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับคุณ

Line : @apexlifecenter 👉🏻👉🏻 https://lin.ee/somJkar

☎️ 0627096891 / 0850000855