ก่อนอายุ 30 อยากทำอะไรที่ Apex

     

    ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยของคนเราก็คือเรื่องปัญหาผิว สภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุ โดยเฉพาะคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนของผิวเยอะมากขึ้น เพราะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายปรับตัวขนานใหญ่ แถมในวัยนี้เราต้องเจอกับปัญหาต่างๆ มากมายที่ส่งผลต่อผิวของเรา ทั้งความเครียด มลภาวะ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นผิวของเราจึงต้องการการบำรุงอย่างมากค่ะ แต่ก่อนจะถึงอายุ 30 เราควรดูแลผิวตั้งแต่เนิ่นๆ เลยค่ะ พอเราอายุ 30 เราจะได้เป็นสาว 30 ยังแจ๋ว หน้าเด็กกว่าอายุไปเลยซึ่งบทความนี้เราจะมาแนะนำหัตถการต่างๆ ที่ Apex Medical Center เพื่อผิวสวยก่อนอายุ 30 

     

    ปัญหาผิวของคนวัย 30

    เมื่อเราอายุ 30 ปัญหาผิวก็เริ่มมีมากขึ้น เพราะการผลิตคอลลาเจน โปรตีนและไขมันบนผิวเริ่มลดลง อีกทั้งยังมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ลดการผลิตคอลลาเจนค่ะ ซึ่งเรามาดูปัญหาผิวกันก่อนว่าถ้าเราอายุ 30 เราจะเจอปัญหาอะไรบ้างเกี่ยวกับผิวหน้า

     

    • ริ้วรอยที่เพิ่มมากขึ้น

    ในช่วงอายุ 30 หลายคนก็มักจะพบปัญหาริ้วรอยบนในหน้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก รอบดวงตา บริเวณร่องแก้มต่างๆ ใดๆ ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะว่าร่างกายเริ่มมีการผลิตคอลลาเจนน้อยลง ทำให้เมื่อคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมสลาย ก็ไม่ค่อยมีคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยขึ้นและเกิดร่องลึกต่าง ๆ ได้

    • ผิวจะเริ่มมีความหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด

    นอกจากผิวจะเริ่มมีริ้วรอยแล้ว ยังเกิดความหมองคล้ำได้อีกด้วยค่ะ เพราะเมื่อผิวไม่เต่งตึงและโครงสร้างผิวอ่อนแอลง ผิวก็จะคล้ำลงเรื่อย ๆ ดูไม่สว่างสดใส อีกทั้งยังมีเซลล์ผิวที่ตายแล้วอยู่บนใบหน้า จึงทำให้เกิดความหมองคล้ำขึ้นได้ และยิ่งหากเป็นผิวที่ไม่ค่อยได้รับการบำรุงอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ บนใบหน้าได้ง่ายมากขึ้นด้วย

    • ผิวแห้งกร้านกว่าที่เคยเป็น

    เมื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนังถูกทำลายและผลิตได้น้อยลง ผิวก็จะขาดความชุ่มชื้นและแห้งกร้านมากขึ้น ความแห้งกร้านนี้ส่งผลเสียต่อผิวในทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็น ผิวมันก็มักจะเกิดปัญหาผิวมันขาดน้ำ ทำให้ผิวมันหนักมากขึ้นและเกิดผิวหน้าลอกเป็นขุย ผิวแห้งก็จะแห้งหนักกว่าเดิมและเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ ผิวเป็นสิวง่ายก็จะเกิดสิวได้ง่ายขึ้นจากความแห้งกร้านและขาดความชุ่มชื้น หากปัญหาเหล่านี้กวนใจ จะไปหาความ หน้าใส จากไหนได้

    • ผิวระคายเคืองได้ง่ายกว่าเดิม

    หลายๆ คนอาจสังเกตได้ว่าผิวของเราแพ้ง่ายก่าเดิม จากแต่ก่อนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนก็ไม่ค่อยแพ้ แต่เดี๋ยวนี้ลองใช้อะไรก็เกิดสิวผด สิวอักเสบไปหมด แถมผิวยังมีรอยแดงและอาการอักเสบได้อยู่เรื่อยๆ สาเหตุเป็นเพราะสภาพผิวของเรานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นผลมาจากหลายๆ ปัจจัย เช่นๆ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียดที่เพิ่มมากขึ้น และเพราะผิวที่แห้งขึ้นกว่าเดิมของเราเองค่ะ

    • รูขุมขนกว้าง

    ปัญหารูขุมขนกว้างเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจนในชั้นผิวที่ลดลง ผิวแห้งกร้าน ต่อมไขมันที่ทำงานมากขึ้นจากการสูญเสียความชุ่มชื้น สิ่งเหล่านี้ทำให้รูขุมขนกว้างได้ อีกทั้งยังอาจเกิดจากการเกิดสิวได้อีกด้วย ถึงแม้ในวัย 30 จะไม่ค่อยมีเกิดสิวแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดสิวได้จากปัจจัยภายนอก ความเครียดจากการทำงาน หรือการนอนดึกบ่อย ๆ

    • แต่งหน้าไม่ค่อยติด

    ผิวที่ขาดความชุ่มชื้นและมีริ้วรอยมักจะเจอปัญหาแต่งหน้าไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการลงแป้งหรือลงเครื่องสำอางที่มีลักษณะเป็นฝุ่น นั่นก็เพราะว่า ผิวขาดความชุ่มชื้นจึงทำให้เครื่องสำอางประเภทฝุ่นมักจะหลุดระหว่างวันหรืออาจจะแต่งหน้าไม่ติดเลย หรือในบางครั้งอาจจะเกิดจากรูขุมขนที่กว้าง ผิวหน้ามัน และขาดความสมดุลบนใบหน้า สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้แต่งหน้าไม่ติดได้เช่นกัน

     

    จะเห็นว่าปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับผิวเราในวัย 30 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสภาพผิวในวัย 30 ก็แล้วแต่บุคคลไปนะคะ เพราะร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนพออายุ 30 ผิวก็ยังดูดีอยู่ หรือไม่ก็บางคนก็เจอปัญหาผิวตั้งแต่ยังไม่ 30 เลยก็เป็นได้ค่ะ ดังนั้นแล้วเนี่ยถ้าไม่อยากให้ผิวแก่ไปตามวัย หรือยังอยากสวยอยากผิวใสเหมือนเด็กอายุยี่สิบต้นๆ อยู่ ก็ต้องหาตัวช่วยมาดูแลผิวของเราค่ะ หากใครคิดว่าแค่ทาสกินแคร์ก็ช่วยได้ คืออยากจะบอกว่าการทาสกินแคร์มันก็ช่วยได้ค่ะ แต่จะช่วยแค่เรื่องของความชุ่มชื้น หรือทำให้ผิวกระจ่างใสแค่นั้นเอง เพราะสกินแคร์หรือครีมบำรุงผิว ไม่ได้บำรุงได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ จะไม่ได้ช่วยเรื่องผิวกระชับ หย่อนคล้อย หรือมีร่องแก้มลึก พูดง่ายๆ เลยก็คือไม่ได้ช่วยในเรื่องของผิวกระชับนั่นเองค่ะ

     

     

    Botox

     

    โบท็อก คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “Botulinum Toxin A” เมื่อฉีดเข้าไปในผิวแล้ว ตัวยาโบท็อกจะออกฤทธิ์โดยไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราว ช่วยลดริ้วรอยหรือในคนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อก็สามารถฉีดโบท็อกเพื่อให้กรามเล็กลง

    ฉีดโบท็อกดีไหม ?

    ถ้าอยากลดริ้วรอยจะฉีดโบท็อกดีไหม? การฉีดโบท็อก (Botox) จะช่วยรักษาริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้นค่ะ นอกจากนี้การฉีดโบท็อกยังช่วยกระชับกรอบหน้า ทำให้ใบหน้ากลับมาตึงกระชับขึ้นได้ หรือถ้าหากฉีดบริเวณกรามก็จะทำให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง รูปหน้าเรียวลงและยังสามารถฉีดโบท็อกเพื่อลดเหงื่อ ลดขนาดกล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อน่องได้ด้วยค่ะ

     

    ฉีดโบท็อก ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง ?

    โบท็อกสามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง แต่คนส่วนใหญ่ที่นิยมฉีดโบท็อก ก็คือใช้ลดริ้วรอย ลดกราม และปรับหน้าให้เรียวค่ะ

    • ช่วยลดริ้วรอย โบท็อกจะฉีดตรงบริเวณริ้วรอยบนใบหน้า เช่น เส้นที่หน้าผาก ตีนกา รอยขมวดคิ้ว ริ้วรอยบนใบหน้าจะค่อยๆ ลดลง และจะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วันค่ะ
    • ช่วยปรับรูปหน้า การฉีดโบท็อกเพื่อปรับรูปหน้าจะฉีดโบท็อกตรงแนวขากรรไกร กราม เพื่อปรับให้ใบหน้าเล็กและเรียวขึ้น จะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 เดือนค่ะ
    • ช่วยฟื้นฟูผิว การฉีดโบท็อกสามารถช่วยให้รูขุมขนเล็กลงได้ โดยหมอจะฉีดโบท็อกไปที่กล้ามเนื้อและต่อมไขมัน เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไปรูขุมขนจะหดเล็กลง ต่อมไขมันลดขนาด ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
    • ลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง ลดขนาดกรามให้ใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้น ยังสามารถฉีดโบท็อกบริเวณน่องได้ให้ขาดูเรียวยาวสวยขึ้นได้ และลดขนาดปีกจมูกให้เล็กลง เห็นสันแกนจมูกได้ชัดเจนขึ้น
    • ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดตัวให้เรียบตึงขึ้น รอยย่นบริเวณหน้าผาก ตีนกา หางตา ระหว่างคิ้ว ผิวหนังบริเวณคอมือที่เหี่ยวย่น โบท็อกช่วยให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียนและดูเด็กขึ้นค่ะ
    • ใต้วงแขน รักแร้ ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกน้อยลง ช่วยระงับกลิ่นกายได้อีกด้วยค่ะ
    • รักษาอาการตากระตุก ทำให้กล้ามเนื้อหยุดทำงานชั่วขณะ ช่วยลดอาการตากระตุกได้

     

    ฉีดโบท็อก ที่หน้า ตรงไหนดี?

    อยากจะบอกว่าการฉีดโบท็อกสามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง แต่บริเวณที่คนนิยมฉีดโบท็อก ก็คือ ใบหน้าค่ะ ทั้งฉีดโบท็อกเพื่อลดริ้วรอย และปรับรูปหน้า สำหรับคนที่สงสัยว่าฉีดโบท็อกฉีดตรงไหนได้บ้าง ทางเรารวบรวมมาให้แล้วค่ะ

     

     

    ฉีดโบท็อกอันตรายไหม ?

    สำหรับคนที่ยังไม่เคยฉีดโบท็อกก็คงจะมีความกังวลเรื่องการฉีดโบท็อกว่ามันอันตรายไหม เห็นคนที่ทำมาแล้วไม่ดีบ้างหรือตามที่ออกข่าวก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหน้าแข็ง ยิ้มไม่ได้ ไม่เป็นธรรมชาติ 

    โทท็อกแท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถสลายเองได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง มีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ความปลอดภัยยังขึ้นกับประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีดโบท็อก หากฉีดโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง ประเมินปริมาณตัวยาที่เหมาะสม ก็จะไม่มีผลข้างเคียงหรือเป็นอันตรายค่ะ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนะคะเราจะต้องตรวจสอบแพทย์และคลินิกให้ดีๆ ว่าเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพจากแพทย์สภาหรือไม่ หากตรวจสอบว่าไม่พบก็ฟันธงได้เลยว่าเป็นหมอปลอมหรือหมอกระเป๋าที่เรารู้จักกันค่ะ 

     

    อันตรายและผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ ?

    ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วโบท็อกของแท้ ผ่านอย. จะไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกายของเราค่ะ แต่การฉีดโบท็อกนั้นก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันนะคะ จะว่าไม่มีเลยมันก็ไม่ใช่เนอะ ซึ่งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้หลังจากการฉีดโบท็อกมีดังนี้เลยค่ะ

    • ติดเชื้อ สามารถเกิดขึ้นได้ อาจจะมาจากการเลือกคลินิกที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีดไม่สะอาด รวมไปถึงเกิดจากแพทย์ที่ฉีดไม่ใช่แพทย์จริงๆ เพราะผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์จะไม่รู้จัก Sterile technique (เทคนิคการทำให้ปราศจากเชื้อโรค) ซึ่งเป็นเทคนิคที่สำคัญในการป้องกันการติดเชื้อจากการทำหัตถการทุกชนิด
    • ตาตก จะพบได้ในการฉีดโบท็อกริ้วรอยระหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้กับเปลือกตาด้านบน ทำให้กล้างเนื้อบริเวณหนังตาอ่อนแรงและตกลงมาได้ หากฉีดไม่ถูกวิธีและใช้เทคนิคที่ไม่ปลอดภัยค่ะ
    • มุมปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด จะพบได้จากการฉีดโบท็อกบริเวณกราม ซึ่งเกิดจากการกระจายตัวไปผิดจุดของโบท็อก จะเกิดได้ทั้งการยิ้มไม่ขึ้น แสดงสีหน้าได้ไม่ปกติ หรือเรียกกันว่าหน้าแข็งนั่นเองค่ะ

    โดยสาเหตุหลักการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกที่กล่าวมานี้ เกิดได้หลายปัจจัยเลยค่ะ อย่างแรกอาจจะเกิดจากความไม่ชำนาญของแพทย์ คุณภาพของโบท็อก ปริมาณในการฉีด ต้องฉีดไม่มากไปและไม่น้อยไปถึงจะดีค่ะ และการไหลของโบท็อก

     

    ฉีดโบท็อกยี่ห้อไหนดี ? แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน ?

    โบท็อกมีหลายยี่ห้อจากหลายประเภท ได้แก่

    โบท็อกอเมริกา (Allergan) เป็นบริษัท Original ของโบท็อก มีงานวิจัยรับรองกว่า 3,500 งานวิจัย และผ่านการพัฒนาเพื่อที่มีฉีดโบท็อกไปแล้วจะมีโอกาสดื้อโบท็อกน้อยที่สุด และเห็นผลการรักษาดีที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ค่ะ โบท็อกอเมริกาตัวยามีการกระจายตัวแคบที่สุด จึงให้ผลการรักษาที่แม่นยำ การฉีดโบท็อกอเมริกาเพื่อให้อยู่ได้นานและผลเป็นธรรมชาติที่สุด ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง สามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้แม่นยำด้วยค่ะ

    โบท็อกอังกฤษ (Dysport) จุดเด่นของโบท็อกอังกฤษ คือเมื่อฉีดแล้วตัวยากระจายทั่วถึง ไม่กระจุกเป็นจุดแคบๆ เหมาะกับการฉีดลิฟหน้าด้วยเทคนิค Dermolift เพื่อยกกระชับผิว สำหรับคนที่ต้องการลดริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติจะตึงขึ้นประมาณ 50% นอกจากนี้จะนิยมใช้ Dysport ฉีดลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ลดต้นแขน ลดน่องครับ

    โบท็อกเกาหลี (Nabota/Aeslax) โบท็อกเกาหลีถือเป็นโบท็อกที่ได้รับความนิยม ทั้ง Nabota และ Aestox เลยค่ะ ส่วนใหญ่โบท็อกเกาหลีจะเน้นการพัฒนาให้ออกฤทธิ์ไวเทียบเท่าโบท็อก Allergan(โบท็อกอเมริกา) แต่มีราคาที่ถูกกว่าเท่าตัว ซึ่งความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวนี้ Nanota จะออกฤทธิ์ไว เห็นผลลัพธ์หลังฉีดค่อนข้างเร็ว นิยมนำมาใช้ในการลดริ้วรอย ส่วน Aestox เป็นโบท็อกเกาหลีอีกหนึ่งตัวที่ผ่าน อย.ไทย เห็นผลไว มีความอ่อนโยน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ นิยมฉีดเพื่อลดริ้วรอยหางตา รอยย่นหน้าผาก ระหว่างคิ้ว

    โบท็อกเยอรมัน (Xeomin) โบท็อกเยอรมันจะเน้นพัฒนาโดยเอาข้อดีของ Allergan กับ Dysport มารวมกัน คุณสมบัติมีความบริสุทธิ์สูงและตัวยาจะไม่กระจุกตัวแคบเกินไป ทำให้ผลที่ได้ออกมาเป็นธรรมชาติ

     

    ซึ่งโบท็อกของแต่ละยี่ห้อแต่ละประเภทจะมีระยะเวลาอยู่ได้ไม่เท่ากันค่ะ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์ ชนิด Protein complex หรือขนาดของ Molecule complex ตัวที่จะส่งผลให้โบท็อกแตกต่างกันมากที่คือ ขนาดของ Molecule complex size เพราะขนาดของโมเลกุลจะมีผลต่อการกระจายตัวยา ถ้าออกแบบให้กระจายตัวแคบ ผลของการฉีดก็จะแม่นยำตรงจุด ถ้าออกแบบให้กระจายตัวกว้างก็เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลรวดเร็วและใช้ฉีดในบริเวณกว้างเช่นน่องค่ะ

     

    ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ?

    ก่อนตัดสินใจ ฉีดโบท็อก เราขอแนะนำว่าให้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานให้ดีก่อนค่ะ เพื่อความปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและลดความเสี่ยงในการเจอโบท็อกปลอม

    เลือกคลินิกฉีดโบท็อกให้ปลอดภัย ควรพิจารณาจากอะไรได้บ้าง ?

    1. เลือกคลินิกฉีดโบท็อกให้ปลอดภัย ควรพิจารณาอะไรบ้าง?
    2. เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการ ได้มาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข
      เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ช่วยให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
    3. ใช้โบท็อกแท้เท่านั้น การฉีดโบท็อกปลอมจะทำให้เกิดอาการดื้อโบท็อก (ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา)
    4. ดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ เช่น Facebook Pantip

     

    ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล ?

    • โบท็อกลดริ้วรอย จะเห็นผลใน 3-4 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์
    • โบท็อกลดกราม ปรับรูปหน้า เริ่มเห็นผลใน 14 วัน กล้ามเนื้อกรามจะนิ่มลง และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน
    • โบท็อกลิฟท์กรอบหน้า ลดเหนียง เริ่มเห็นผลใน 3-4 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์

     

    การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อก

    • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดโบท็อก รวมไปถึงวิธีการสังเกตโบท็อกแท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัย
    • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพราะแพทย์จะสามารถประเมินถึงปัญหาได้ตรงจุด และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
    • ฉีดโบท็อกแท้ ผ่านการรับรองจาก อย.เท่านั้น เพื่อลดโอกาสการดื้อยาและเกิดผลข้างเคียง
    • งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, Ponstan
    • งดสครับใบหน้า คอร์สเลเซอร์ แว็กผิวหรือนวดหน้าบริเวณที่ฉีด 2-3 วัน เพื่อลดอาการเขียวช้ำ 
    • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำ ควรปรึกษาหรือแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง

     

    ขั้นตอนการฉีดโบท็อก

    • พบแพทย์เพื่อปรึกษาประเมินรูปหน้า สภาพผิว ปัญหาที่กังวล
    • เลือกยี่ห้อของโบท็อกที่จะใช้ เพื่อให้เหมาะกับปัญหาและจุดที่ฉีด ซึ่งมีให้เลือกทั้งของอเมริกา/อังกฤษ/เกาหลี โดยแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปค่ะ ทั้งประสิทธิภาพและราคาค่ะ
    • แพทย์ฉีดโบท็อกในตำแหน่งที่ต้องการรักษา และเลือกใช้โบท็อกในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล
    • สำหรับใครที่กังวลว่าฉีดโบท็อกจะเจ็บไหม ก่อนฉีดจะมีการทายาชาก่อนค่ะ เพื่อให้เวลาฉีดโบท็อกจะไม่รู้สึกเจ็บ แล้วแพทย์จะฉีดโบท็อกด้วยเข็มขนาดเล็กไปยังบริเวณกล้ามเนื้อค่ะ

     

     

    หลังฉีดโบท็อกดูแลตัวเองยังไง ?

    • หลังฉีดโบท็อกควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง เพื่อให้โบท็อกถูกเซลล์ประสาทดูดเข้าไปให้มากที่สุด
    • ควรทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี เพื่อช่วยให้โบท็อกออกฤทธ์ไวขึ้น และทำงานดีขึ้น
    • งดนอนราบ นอนคว่ำ หรือก้มหัวต่ำกว่าอก 3 ชม.  เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนมาที่บริเวณใบหน้ามากขึ้น ส่งผลให้โบท็อกที่ฉีดปลิวไปบริเวณที่ไม่ต้องการได้
    • หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง 48 ชม. เช่น อบซาวน่า ออกกำลังกายหนักๆ ตากแดด ทำเลเซอร์
    • หลังฉีดโบท็อกควรงดอาหารรสจัด และอาหารหมักดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว 
    • งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากจะส่งผลต่อการอักเสบ ยุบบวมช้า และผลการรักษาอยู่ได้สั้นลงอีกด้วย

    ข้อควรระวังในการฉีดโบท็อก

    ฉีดโบท็อกก็มีข้อควรระวังและข้อจำกัดอยู่นะคะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำสวยได้ด้วยการฉีดโบท็อกได้นะ ซึ่งบุคคลไม่สามารถฉีดโบท็อกได้ ดังนี้

    1. ผู้ที่มีอาการแพ้สาร Botulinum
    2. ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
    3. ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรง
    4. ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกแล้วหยุดยาก

     

    รีวิวโบท็อก

     

     

     

     

     

    Filler

     

     

    ฟิลเลอร์ คืออะไร ?

    สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก ฟิลเลอร์ ก็คือ สารเติมเต็มผิวประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “HA” ที่มีความปลอดภัย ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น (Hydration) เติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและเพิ่มความยืดหยุ่นใต้ผิวหนัง (Increase Elasticity) เต่งตึง ดูสุขภาพดี เรียบเนียนและช่วยลดริ้วรอย และไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกอย่าง ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้ในการปรับแก้ไขรูปหน้าให้สวยงาม เช่น ใครที่มีปัญหาคางบุ๋มสามารถฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาค้างได้ หรืออยากได้ทรงปากตามดาราเซเลป ไม่ว่าจะสายเกาหลี สายฝอ ก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ค่ะ

     

    ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท ?

    1. Permanent Fillers เป็นฟิลเลอร์ที่อยู่แบบถาวรไม่สามารถสลายได้ หรือเป็นฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ผ่าน อย. เช่น Biosynthetic Polymers จำพวกซิลิโคนเหลว, Calcium Hydroxylapatite, Polymethylmethacrylate ฉีดแล้วแข็งเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหล หรือกลายเป็นพังผืด ต้องผ่าออก หรือขูดออกเท่านั้นค่ะ บรื๋ออ~ น่ากลัวมากๆ
    2. Non Permanent Fillers เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ถาวร สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูรอนิค สามารถสลายได้ ผ่านอยฺ.ไทย มีความปลอดภัย ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยหลังฟิลเลอร์สลายสามารถฉีดเติมใหม่ได้เรื่อยๆ เลยค่ะ

     

    ฟิลเลอร์ช่วยอะไรบ้าง ?

    • ช่วยเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง
    • ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึก
    • ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
    • ช่วยทำให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน
    • ช่วยปรับรูปหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

     

    ฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?

    อย่างที่บอกไปว่า ฟิลเลอร์ ที่ปลอดภัยและนิยมใช้มากที่สุด ก็คือ HA เป็นสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) สร้างเลียนแบบสารที่มีในร่างกายมนุษย์ตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูงมาก ฟิลเลอร์ HA จึงเป็นที่นิยมใช้ในคลินิกความงามค่ะ

    เมื่อมั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่นำมาฉีดเป็นฟิลเลอร์ HA แท้ ต่อมาที่ต้องระวังคือเทคนิคการฉีดของแพทย์ค่ะ ต้องเลือกฉีดกับแพทย์มีประสบการณ์ ใช้เทคนิคการฉีด เทคนิคการใช้เข็มที่ถูกต้อง เพื่อระวังไม่ให้ฉีดเข้าเส้นเลือดจนเกิดภาวะ Hematoma (ภาวะเลือดคั่ง) ได้

     

    เช็กให้ชัวร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์

    ก่อนจะฉีดฟิลเลอร์ตามสิทธิ์แล้วสามารถแจ้งคุณหมอ หรือ ทางคลินิกที่จะไปฉีดฟิลเลอร์ได้เลยค่ะ ซึ่งทาง Apex Medical Center ก่อนจะฉีดแต่ละเคส คุณหมอแกะกล่องให้ดูพร้อมกับเช็ค อย. ไปพร้อมกับลูกค้าเลยค่ะ เพื่อความสบายใจในการทำหัตถการทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเราสามารถเช็คได้ด้วยตัวเองง่ายๆ มีวีธีดังนี้ค่ะ

    • ราคา ถ้าราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ฟิลเลอร์นั้นอาจจะเป็นของปลอมค่ะ
    • ต้องมีฉลากภาษาไทย ถ้าเป็นฟิลเลอร์แท้ส่วนใหญ่จะมีฉลากภาษาไทย ซึ่งควบคุมด้วยองค์การอาหารและยาของประเทศไทย ฉะนั้นแล้วเนี่ยฉลากก็ต้องเป็นภาษาไทยค่ะ
    • มาตรฐานความปลอดภัย ฟิลเลอร์ทุกกล่องจะมีมาตรฐานความปลอดภัยของ อย. เป็นฉลากสีขาวติดอยู่ข้างกล่อง
    • ขายบนอินเตอร์เน็ต หรือ ตามโชเชียล บอกเลยว่าอย่าหาไปซื้อมาเองค่ะ เพราะการจะซื้อฟิลเลอร์คุณหมอหรือสถาบันนั้นๆ จะต้องยื่นเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองทางการแพทย์เพื่อระบุตัวตนว่าเป็นคุณหมอจริงๆ รวมไปถึงใบสถานประกอบพยาบาล ดังนั้นเนี่ยเราไม่สามารถสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตได้แน่นอนค่ะ ถ้าหากมีขายตามอินเตอร์เน็ตให้คิดไว้เลยว่าเป็นของปลอม 100% ค่ะ
    • ผู้แอบอ้างเป็นหมอ เช็คให้ชัวร์ว่าคุณหมอที่เราจะไปฉีดด้วยเนี่ย เป็นคุณหมอจริงๆ ไหม เราสามารถเช็คข้อมูลในเว็บไซต์แพทยสภาได้ค่ะ
    • ข้อมูลฉลากบนตัวกล่อง จะต้องมีชื่อบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่าย บริษัทนำเข้า วันหมดอายุ เลขล็อตสินค้าข้างในกล่องและข้างนอกกล่องต้องตรงกันและข้อมูลทั้งหมดจะต้องชัดเจน และที่สำคัญตัวกล่องจะต้องไม่มีรอยแกะและภายในกล่องจะต้องมีอุปกรณ์ครบพร้อมใช้งาน

    ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนดี? เติมเต็มใบหน้าส่วนไหนดี?

    สาวๆ หลายคนคงกำลังมีความกังวลใจอยู่เล็กๆ ว่า ฉันควรฉีดตรงไหนดีนะ ถ้าฉีดตรงนั้นแล้วจะดีรึป่าว หรือ เอ๊ะ ควรฉีดตรงนี้ดีนะ? ซึ่งหากสาวๆ ตัดสินใจไม่ได้ว่าฉันควรฉีดตรงไหนดี เข้าไปที่คลินิกที่เราต้องการฉีดได้เลย คุณหมอจะเป็นคนดูใบหน้าโดยรวมของเราค่ะว่าควรเติมจุดไหนเพื่อจะเสริมจุดนั้นให้สวยและดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งทาง APEX Medical Center ของเรา มีคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์

     

    ฟิลเลอร์ กี่วันถึงจะเห็นผล? อยู่ได้นานแค่ไหน?

    ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลได้ทันทีหลังฉีดเลยค่ะ โดยฟิลเลอร์จะอิ่มเต็มที่เมื่อครบ 2 สัปดาห์ ส่วนเรื่องระยาเวลาที่เห็นผลนั้นขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดค่ะ และที่สำคัญคือยี่ห้อที่ใช้ฉีด

    • Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากอเมริกา ที่หลายๆ คนรู็จักและเป็นที่นิยมใช้กัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
    • Restylane เป็นฟิลเลอร์จากสวีเดน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
    • Neuramis เป็นฟิลเลอร์ใหม่จากประเทศเกาหลี ราคาย่อมเยาว์ ผลลัพธ์อยู่ที่ประมาณ 6-8 เดือน

     

    ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดีสุด ฉีดออกมาแล้วสวยละมุม

    ขอแนะนำว่าให้เลือกฟิลเลอร์ที่ได้การรับรองจาก US FDA ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และผ่านการรับรองในไทย ตามมาตรฐาน อย. เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นไหลย้อย บวม หรือเน่า แต่จริง ๆ แล้วการฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนหรือรุ่นอะไรดี ควรอยู่ที่แพทย์เป็นผู้ประเมินให้จะดีกว่าค่ะ เพราะปัญหาใบหน้าในแต่ละบริเวณนั้น ต้องการฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลหรือลักษณะเนื้อเจลที่มีความแตกต่างกันไป ซึ่งแพทย์จะดูจากปัจจัยต่าง ๆ ของคนไข้ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นความหนา-บาง หรือความหย่อนคล้อยของชั้นผิว โครงสร้างกระดูก ชั้นไขมัน อายุ ประกอบกันไปค่ะ เพื่อให้ได้ฟิลเลอร์ที่เหมาะกับตัวเองค่ะ สามารถแก้ไขปัญหาใบหน้าให้ออกมาสวยละมุน มีความเป็นธรรมชาติ

    ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคลและขึ้นอยู่กับเทคนิคการฉีดของแพทย์ด้วยเช่นกัน  สำหรับใครที่ไม่อยากเสี่ยงลองฉีดฟิลเลอร์ไปเรื่อย ๆ ที่ APEX อันดับหนึ่งด้านการฉีดฟิลเลอร์ สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจกับทุกท่านได้ค่า~ 

    • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ : APEX เลือกใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เป็นยี่ห้อที่เมื่อฉีดเข้าผิวแล้วจะออกมาสวยเป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ
    • มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ : ทีมแพทย์ APEX Medical Institute (AMI) ของ APEX ได้รับการเทรนเทคนิค ความรู้ใหม่ ๆ จากอาจารย์แพทย์ด้านผิวหนังระดับประเทศ เป็นผู้บุกเบิกการฉีดเป็นกลุ่มแรกของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกหรือฟิลเลอร์  มากว่า 30 ปี อย่างคุณหมอนัน “พญ. นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ” ผู้ก่อตั้งเอเพ็กซ์นั่นเองค่ะ ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าฉีดฟิลเลอร์ที่ APEX จะได้ผลลัพธ์ที่ออกมาสวยเพอร์เฟ็คเทียบเท่าอาจารย์แพทย์เป็นผู้ฉีดให้เลยทีเดียว
    • ชื่อเสียง : เสียงตอบรับจากผู้เข้าใช้บริการทุกท่านทำให้คลินิกของเราได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องการันตีถึงความสามารถด้านการฉีดของเอเพ็กซ์ได้เป็นอย่างมาก

     

    ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนดี ?

    จริงๆ แล้วฟิลเลอร์สามารถฉีดได้ทั้งเติมเต็มและยกกระชับผิวหน้าเลยค่ะ เรามาแบ่งตามจุดที่คนนิยมฉีดกันดังนี้

     

     

    1.ฉีดฟิลเลอร์คาง

    2.ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

    3.ฉีดฟิลเลอร์จมูก

    4.ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

    5.ฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า

    6.ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

    7.ฉีดฟิลเลอร์ขมับ

    8.ฉีดฟิลเลอร์เสริมหน้าผาก

    9.ฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า

    10.ฉีดฟิลเลอร์ปาก

     

    ก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ?

    • ควรหยุดการทานยาแก้ปวด ยาแอสไพริน กลุ่มยาต้านการอับเสบ NSAIDS ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อป้องกันอาการฟกซ้ำ
    • งดทานวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น Vitamin E , น้ำมันปลา , น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส , สารสกัดจากโสม ขิง กระเทียม ใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 สัปดาห์
    • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน ก่อนฉีดฟิลเลอร์
    • ทำตัวเองให้แข็งแรงอยู่ในสภาพปกติดี ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง ไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
    • ก่อนฉีดควรทำความสะอาดผิวหน้าเช็คเครื่องสำอางก่อนพบแพทย์

     

    ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์

    สำหรับผลข้างเคียงนะสาว ถึงแม้เราจะเลือกคลินิกที่ไว้ใจแล้วตรงมาตรฐานทุกอย่าง เลือกยี่ห้อที่จะฉีดเอยใดๆ เอยแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าคุณจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นแล้วคนที่ฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกอาจจะไม่รู้เลยว่าจะมีผลข้างเคียงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผลข้างเคียงที่พบบ่อยๆ ก็มีดังนี้เลยค่า

    • เกิดรอยนูน ขรุขระ เป็นคลื่น ผิวไม่เรียบเนียน สาเหตุเกิดจากการฉีดที่ผิวชั้นตื้นเกินไป หรือ การเลือกใช้ชนิดของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณจุดฉีด
    • ฟิลเลอร์ไหลเคลื่อนออกจากตำแหน่งจุดฉีดไปยังบริเวณที่เราไม่ต้องการ อาจจะส่งผลทำให้ใบหน้าผิดรูปได้
    • เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ คันเป็นผื่นแดงและอาจจะมีลมพิษขึ้นตามมา หากใครเจอปัญหานี้ควรที่จะรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
    • อาการปวดบวม แดง มีตุ่มหรือมีก้อนหนองบริเวณจุดฉีด ลักษณะนี้บ่งบอกว่าคุณกำลังติดเชื้อหลังการฉีดฟิลเลอร์ ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือ ฉีดกับหมอเถื่อนค่ะ
    • ฉีดฟิลเลอร์ แล้วตัวยาเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่นำมาเลี้ยงผิวหนังและรวมถึงจอประสาทตา อาจส่งผลให้ผิวบริเวณรอบๆ จุดฉีดตาย หรือ ถึงขั้นตาบอดได้

     

     

    ดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

    • งดออกกำลังกายหนักๆ รวมถึงการให้ใบหน้าโดนความร้อนโดยตรง เช่น การอบซาวน่า , แช่น้ำอุ่น รวมถึงการนวดหน้าด้วยความร้อน
    • งดการบีบ นวด กด บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ไปผิดรูปได้ 
    • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่เป็นเวลา 3-7 วัน
    • ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูยิ่งขึ้นและอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น เป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังฉีด

     

    ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์

    • คนที่แพ้สาร Hyaluronic Acid
    • คนที่มีโรคประจำตัวต้องรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    • คุณแม่ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
    • คนที่มีอาการแพ้ยาชา
    • คนที่มีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ง่าย

     

    สาเหตุฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน

    ฟิลเลอร์ถึงจะได้เป็นที่ยอมรับจากวงการความสวยความงาม แต่ฟิลเลอร์ก็สามารถกลายมาเป็นภัยร้ายได้มากกว่าการเป็นเครื่องมือที่จะเสกความสวยให้เราได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น

    ฟิลเลอร์ปลอม ส่วนใหญ่มักเจอจากการฉีดกับหมอกระเป๋าหรือหมอที่ไม่มีความเชี่ยวชาญชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์มากพอและไม่รู็วิธีการตรวจสอบฟิลเลอร์ของปลอม ผลของกระฉีดฟิลเลอร์ปลอมก็คือ หลังจากฉีดแรกๆ จะเหมือนปกติมากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีเวลาผ่านไปจะพบว่าฟิลเลอร์ไม่สลายและจะจับเป็นก้อน กลายเป็นซิลิโคนเหลวที่เกาะแน่นกับกระดูก ทำให้ใบหน้าเสียรูปไปเลยก็ได้ค่ะ 

    คลินิกฉีดฟิลเลอร์ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีใบอนุญาตตามหลังประกอบกิจการ

    เทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ เพราะการฉีดฟิลเลอร์จะต้องมีความชำนาญสูง ต้องรู้เกี่ยวกับชนิดของฟิลเลอร์ที่จะฉีดในแต่ละจุดได้ดี รวมถึงการดีไซน์รูปหน้าการวางตำแหน่งจุดฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกต้องเพื่อให้เหมาะสมกับรูปหน้าของแต่ละคน การลงเข็มต้องมีความแม่นยำ ซึ่งหากแพทย์ไม่มีความชำนาญมากพอมีโอกาสสูงมากที่ทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนได้ค่ะ

     

    ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์

    สำหรับผลข้างเคียงนะสาว ถึงแม้เราจะเลือกคลินิกที่ไว้ใจแล้วตรงมาตรฐานทุกอย่าง เลือกยี่ห้อที่จะฉีดเอยใดๆ เอยแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าคุณจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นแล้วคนที่ฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรกอาจจะไม่รู้เลยว่าจะมีผลข้างเคียงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผลข้างเคียงที่พบบ่อยๆ ก็มีดังนี้เลยค่า

    • เกิดรอยนูน ขรุขระ เป็นคลื่น ผิวไม่เรียบเนียน สาเหตุเกิดจากการฉีดที่ผิวชั้นตื้นเกินไป หรือ การเลือกใช้ชนิดของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับบริเวณจุดฉีด
    • ฟิลเลอร์ไหลเคลื่อนออกจากตำแหน่งจุดฉีดไปยังบริเวณที่เราไม่ต้องการ อาจจะส่งผลทำให้ใบหน้าผิดรูปได้
    • เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ คันเป็นผื่นแดงและอาจจะมีลมพิษขึ้นตามมา หากใครเจอปัญหานี้ควรที่จะรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
    • อาการปวดบวม แดง มีตุ่มหรือมีก้อนหนองบริเวณจุดฉีด ลักษณะนี้บ่งบอกว่าคุณกำลังติดเชื้อหลังการฉีดฟิลเลอร์ ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือ ฉีดกับหมอเถื่อนค่ะ
    • ฉีดฟิลเลอร์ แล้วตัวยาเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่นำมาเลี้ยงผิวหนังและรวมถึงจอประสาทตา อาจส่งผลให้ผิวบริเวณรอบๆ จุดฉีดตาย หรือ ถึงขั้นตาบอดได้

     

    Q&A ฉีดฟิลเลอร์ 2022

     

     

     

     

     

     

    ทำไมที่ Apex Medical Center ถึงเลือกฟิลเลอร์ Juvederm

    • เป็นฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีประสบการณ์ด้านการผลิตมากกว่า 36 ปี ด้วยมาตรฐานคุณภาพที่สูงและพัฒนารุ่นใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง
    • เป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูง มีจุดเด่นเรื่องของความยืดหยุ่นและโดดเด่นในเรื่องของการฉีดแล้วผิวกระชับขึ้น
    • มีส่วนผสมของยาชา ที่ชื่อว่า Lidocaine เพื่อลดความเจ็บและเพิ่มความผ่อนคลายขณะฉีด
    • สาร Hyaluronic Acid เป็นลักษณะเนื้อเจลฟิลเลอร์เรียบเนียน ให้ผลลัพธ์สวยดูเป็นธรรมชาติ
    • เทคโนโลยีเฉพาะทำให้ตัวฟิลเลอร์ Juvederm แต่ละรุ่นถูกออกแบบให้สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี

     

    รีวิวฉีดฟิลเลอร์

     

     

     

     

     

     

     

    Before

     

    After

     

    Hifu

     

    Hifu คืออะไร?

    Hifu เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมความงานเลยนะคะ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และเหมาะกับคนใกล้ 30 เอามากๆ เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด หลังทำไม่ต้องพักฟื้นอีกด้วย เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีตั้งแต่ครั้งแรก ไม่มีอันตรายต่อผิว

    Hifu ถือเป็นตัวเลือกที่ง่ายในการยกกระชับ ทั้งบริเวณใบหน้า เหนียง คอ แม้แต่ต้นแขนและต้นขา ยิ่งสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด จึงเป็นตัวเลือกที่ดีเลยค่ะ

    Hifu ก็คือ High Intensity Focus Ultrasound เป็นเครื่องมือยกกระชับผิว ใช้ได้บริเวณใบหน้า เหนียง คอ ต้นแขนและต้นขา ช่วยคืนความสดใส เพิ่มความกระชับให้ผิวหน้าและสัดส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวหน้ายืดหยุ่นมากขึ้น จึงช่วยลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ผิวเนียนนุ่ม หน้าเรียบเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ 

     

    Hifu ช่วยเรื่องอะไร ?

    Hifu สามารถช่วยยกกระชับและลดริ้วรอยได้ทั้งใบหน้า เหนียง ลำคอ ได้ค่ะ

    • สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว
    • แก้ไขปัญหาริ้วรอยบนผิวหน้า และรอบดวงตา
    • แก้ปัญหาหนังตาตก ทำให้คิ้วยกขึ้น ดวงตาโต
    • ช่วยลดปัญหาชั้นไขมันใต้คาง ลดเหนียง ลดคาง 2 ชั้น
    • ช่วยยกกระชับผิว โดยทำได้ทั้งบริเวณเอว, หน้าท้อง, สะโพก, ต้นแขน, ท้องแขน, ต้นขา รวมถึงบริเวณที่ยากจะเข้าถึง Hifu จึงเหมาะกับทุกคนที่มีปัญหาเรื่องรูปร่าง

     

    Hifu ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

    Hifu สามารถยิงได้ทุกบริเวณที่เราอยากให้ผิวยกกระชับ ซึ่งเครื่อง Hifu มีหัวยิงที่สามารถยิงลึกถึงชั้นผิวได้หลายระดับ

    • หัวยิงความลึก 1.5-2.0 mm ใช้กับผิวชั้นลน ช่วยเรื่องริ้วรอย
    • หัวยิงความลึก 3.0 mm ใช้กับผิวชั้นกลาง ช่วยลดไขมันและเซลลูไลท์ กระชับใบหน้า
    • หัวยิงความลึก 4.5 mm ใช้กับผิวชั้น SMAS ที่ปกติแล้วจะเป็นชั้นที่ใช้ผ่าตัดดึงหน้าให้กระชับ
    • หัวยิงความลึก 2 mm ใช้ยกกระชับ แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องแก้ม ยกคิ้ว ยกหนังตาตก

    ทุกหัวยิงที่บอกมานี้ใช่ว่าจะยิงได้ทุกหัวนะคะ เพราะปัญหาผิวความหย่อนคล้อยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะต้องให้แพทย์ช่วยประเมิน และแนะนำหัวยิงที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคะ

    ตำแหน่งที่สามารถทำ Hifu สามารถยิงได้ทุกบริเวณที่ต้องการให้กระชับเลยค่ะ โดยจะมีหัวที่ยิงหลากหลายตามระดับความลึกของผิวในบริเวณนั้นๆ มีดังนี้

    ใต้ตา – ช่วยลดริ้วรอยใต้ตา และรอบด้วยตา ทำให้ผิวตึงกระชับและเรียบเนียนขึ้น

    ลดแก้ม – สามารถยกแก้ม ลดไขมันแก้ม ยกแก้มหย่อน เก็บกรอบหน้าให้หน้าเรียววีเชฟ พร้อมกับกระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรง

    ลดเหนียง – ใครที่มีปัญหาเหนียงเพราะมีไขมันส่วนเกินใบบริเวณใต้คางและไขมันส่วนเกินบนใบหน้าเยอะเกินไป hifu จะใช้ได้ผลดี ในการลดเหนียงที่เกิดจากการหย่อนคล้อยของผิวครับ ช่วยให้เหนียงกระชับขึ้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว

    ใบหน้าเหนียง คอ ร่องมุมปาก หนาผาก ร่องแก้ม พวงแก้ม ใต้ตา หน้าผาก เปลือกตาบน และกรอบหน้า

    ร่างกาย – ต้นแขน ต้นขา เอว หน้าท้อง และสะโพก

     

     

    Hifu เห็นผลทันที จริงเหรอ ?

    Hifu ถือเป็นตัวเลือกที่ง่ายในการยกกระชับผิว Hifu กรอบหน้า เห็นผลลัพธ์หลังทำทันทีตั้งแต่ครั้งแรกเลยค่ะ โดยจะเริ่มเห็นผลทันทีหลังจากการทำ 20% จะรู้สึกได้เลยว่าผิวยกกระชับขึ้น หลังจากนั้นภายใน 1-2 เดือน จะเห็นผลชัดเจนขึ้นอีก เห็นผลเต็มที่ตอน 3-4เดือน และหากต้องการให้ผิวกระชับขึ้นอีก ก็สามารถทำ Hifu เพิ่มได้ทุก ๆ 3 เดือน

     

    ทำไมต้องทำ Hifu ก่อนอายุ 30

    เมื่ออายุเกิน 20 ปีใบหน้าทุกคน 90% จะเริ่มหย่อนลง อิลาสติน เริ่มหย่อนทำให้เริ่มมีร่องใต้ตา ร่องแก้ม และถ้าปล่อยให้ยืดออกเรื่อยๆ ผิวหน้าจะเริ่มหย่อนลงแบบทวีคูณ ดังนั้นเราควรทำให้ใบหน้าของเรากระชับอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่อายุน้อยๆ เลยจะดีมาก

    ส่วนในคนที่เริ่มทำ Hifu Macrofocus ตั้งแต่อายุน้อย จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดร่องใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ซึ่งถ้ามีร่องพวกนี้เกิดขึ้น จะทำให้ดูโทรม ดูแก่ และมีอายุครับ โดยอายุ 20 กว่า ๆ ก็สามารถเริ่มทำได้ โดยไม่ส่งผลเสียอะไรเลยค่ะ อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวยโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด รวมถึงการยกกระชับใบหน้าหรือยกแนวคิ้วให้ยกขึ้น และผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย ลดปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ลดเหนียงใต้คางหรือลดคางสองชั้น

     

    การเตรียมตัวยกกระชับผิวหน้าด้วย HIFU 

    เมื่อศึกษาข้อมูลแล้ว การเตรียมตัวทำ Hifu ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ

    • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
    • งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
    • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะจะช่วยในการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ใหม่ให้เป็นไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น
    • ก่อนทำควรงดแต่งหน้า ทารองพื้น ทาแป้ง หรือครีมบำรุงผิวหน้าอื่น ๆ 

     

    ขั้นตอนการทำ Hifu

    ก่อนทำ Hifu จะมีการทายาชาค่ะ ทิ้งไว้ประมาณ 30  นาที ช่วยให้ขณะทำลดความเจ็บลง คนที่เข้ารับบริการจะรู้สึกอุ่นๆ ปวดๆ ใต้ผิวบริเวณที่ทำ นั้นแสดงถึงการยิงคลื่นเสียงเข้าถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (SMAS) เพื่อความยกกระชับผิว ใช้ระยะเวลาในการทำ 30-50 นาที 

     

    Hifu ควรทำกี่โลน์ ? กี่ครั้ง?

    การทำ Hifu ที่ Apex Medical Center จะนับเป็น Line โดยจะยิงออกมา Line ละประมาณ 15-25 จุด ถ้าถามว่าควรทำกี่ Line ถึงจะเห็นผล ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละคนค่ะ ปริมาณไขมัน ความหย่อนคล้อยและสภาพผิว ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกับการทำ Hifu ค่ะ

    สำหรับใครที่มีข้อสงสัยว่าไลน์ กับ shot ต่างกันยังไงบ้าง ถ้านับ Hifu เป็นไลน์ จำนวนการยิงต่อครั้ง 1 ไลน์ = 15-25 จุด แต่บางคลินิกจะนับเป็นจุด เช่น ยิง 1 ครั้ง = 1 shot การนับ Hifu เป็น shot จะทำให้คนไข้รู้สึกว่าได้จำนวน shot เยอะและคุ้ม แต่ถ้าเทียบ shot ต่อ shot กับการยิงแบบไลน์ เป็นจุดเรียงกัน 15-25 ซึ่งออกมาเยอะกว่า จะคุ้มกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ะ

     

    Hifu ทำแล้วเจ็บไหม ?

    การทำ Hifu ขณะทำจะรู้สึกเจ็บนิดๆ แต่อยู่ในระดับที่ทนได้  “Hifu ยิ่งเจ็บ ยิ่งสวย ถ้าไม่เจ็บคือไม่ได้ผลค่ะ” 

    ในกรณีที่เห็นโฆษณาหลาย ๆ ที่บอกว่า การทำ Hifu/Ulthera เห็นผลทันทีและไม่เจ็บ ไม่เป็นความจริงเลยค่ะ การทำ Hifu ที่ได้ประสิทธิภาพนั้น ขณะทำต้องมีความรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ บริเวณใต้ชั้นผิว เพื่อความยกกระชับ และสร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ แต่ก่อนทำจะมีการทายาชาให้ทุกครั้งค่ะ

     

    ทำ Hifu หน้าบวมกี่วัน ?

    หลังทำ Hifu จะมีอาการบวมเล็กน้อย แต่จะสามารถหายไปได้เอง ถ้าใช้เครื่องแท้เกรดดีพลังงานสูงและยิงเน้นบริเวณแก้มส่วนล่าง จะบวม 1-2 สัปดาห์เป็นเรื่องปกติค่ะ

     

    Hifu มีข้อดี ข้อควรระวังยังไงบ้าง ?

    • ข้อดี 

    เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยเล็กน้อย สามารถทำได้บ่อยครั้ง หลังการทำ Hifu สามารถทำการรักษาอย่างอื่นอีกได้ ผู้ที่เข้ารับการทำจะมีสภาพผิวดีขึ้น ลดปัญหาผิวเหี่ยวย่นและหย่อนคล้อย เนื่องจากคอลลาเจนที่สร้างใหม่ มีความยืดหยุ่นและเพิ่มจำนวนมากขึ้น

    • ข้อควรระวัง

    บางรายอาจมีผลข้างเคียงทั่วไป เช่น ผิวหนังมีผื่นแดง มีรอยบวมแดงบ้าง แต่จะหายไปได้เองภายใน 1-2 ชั่วโมง หรือมีอาการเมื่อยหรือตึงที่หน้า สามารถรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาได้

     

    ดูแลตัวเองหลังทำ Hifu

    • หลังการทำ Hifu สามารถกลับไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ตามปกติได้ทันที แต่ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้าแรงๆ
    • คนที่ทำ Hifu ควรดูแลบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาผิวที่กระชับให้คงอยู่ยาวนาน และหมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำ 
    • พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด รวมถึงไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำลายการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เช่น ความเครียด การพักผ่อนน้อยค่ะ

     

    รีวิวจากผู้ใช้จริง

     

     

    Ulthera

     

     

    Ulthera คืออะไร

    Ulthera หรือ Ultherapy คือ พลังงานคลื่นเสียงในรูปแบบ Focused Ultrasound ซึ่งทำงานโดยส่งผ่านพลังงานขนาดเล็กจำนวนมาก ตรงเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึก (Selective delivery of acoustic energy) เป็นเครื่องมือแพทย์หนึ่งเดียวที่นำมาใช้ในการยกกระชับผิว (Tissue lifting) เพื่อลดริ้วรอย โดยระหว่างที่ทำการยกกระชับผิวด้วยอัลเทอร่า แพทย์สามารถมองเห็นภาพของผิวหนังผ่านหน้าจอของเครื่องขณะทำการรักษาได้ โดยสามารถยกกระชับผิวไปพร้อมกับการปรับคลื่นเสียงที่พอเหมาะให้เหมาะสมกับสภาพผิวหนังของลูกค้าแต่ละบุคคลได้ จึงทำให้เกิดความแม่นยำอย่างมากใน การยกกระชับหน้า และให้ผลการรักษาที่ดีกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ

     

    หลักการทำงานของ Ulthera 

    ช้เทคโนโลยีการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงที่มีความเฉพาะเจาะจงไปยังผิวหนัง แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็กๆ ลงลึกสู่ใต้ชั้นผิวหนัง มุ่งเป้าหมายไปยังรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน ( SMAS ) ซึ่งเทคโนโลยีอื่น ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ยกเว้นการทำศัลยกรรม อัลเทอร่าจะส่งผ่านความร้อนนี้เป็นจุดเล็กๆ มีระยะห่างระหว่างจุดเท่าๆ กันประมาณ 1 มม.

    จึงมีความสม่ำเสมอของพลังงานที่ลงสู่ใต้ผิวและยังสามารถลงลึกได้ถึงตำแหน่งที่ต้องการ โดยแพทย์สามารถมองเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา นำมาซึ่งการรักษาที่แม่นยำสูง และได้ผลการรักษาที่แน่นอนกว่า ขบวนการรักษาทั้งหมดนี้จะไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผิวค่อยๆ ตึงขึ้นและ เรียบเนียนขึ้นทีละน้อย ดูเป็นธรรมชาติ

    Ulthera อันตรายไหม?

    เครื่อง Ulthera ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลทั้งจาก U.S. FDC ของสหรัฐอเมริกา และ อย.ของไทย ซึ่งมีความปลอดภัยแน่นอนค่ะ แต่เพื่อให้ความมั่นใจว่าผลลัพธ์จะออกมาดีและปลอดภัยกับผู้ที่รับการบริการ การทำอัลเทอร่าจึงต้องอาศัยประสบการณ์ของแทพย์ในการใช้เครื่องเป็นสำคัญ รวมทั้งเครื่อง Ulthera ที่ใช้จะต้องเป็นเครื่องแท้เท่านั้น ถึงจะปล่อยพลังงานคงที่สม่ำเสมอ แม่นย้ำและตรงจุดค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นนะคะเพื่อความปลอดภัยกับตัวเราควรเลือกคลินิกดีๆ ที่มีมาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือค่ะ

     

    Ulthera เหมาะกับใคร

    การเริ่มต้นดูแลตัวเองและผิวพรรณตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เมื่ออายุยังน้อยควรหาวิธียืดอายุความอ่อนเยาว์ของผิวให้ได้นานที่สุด ดังนั้นอายุประมาณ 25 ปี สามารถเริ่มทำ Ulthera ได้แล้ว เนื่องจากวัยนี้ผิวเริ่มบางลง และเริ่มจะส่งสัญญาณความเสื่อมสภาพ และความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเริ่มลดลงเรื่อยๆ รวมถึงคอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิวลดลงประมาณปีละ 1% ซึ่งการทำ Ulthera จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ยิ่งทำต่อเนื่องเป็นประจำทุก 1-2 ปี ผิวจะอ่อนเยาว์กว่าอายุนานนับ 10 ปีทีเดียว

    • ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับหน้าและมีริ้วรอยปานกลาง 
    • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียว ยกกระชับกรอบหน้าให้ชัดขึ้น
    • ผู้ที่มีปัญหาร่องแก้ม มีร่องมุมปาก และแก้มหย่อนคล้อย
    • ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ยกคิ้ว หางตา และลดถุงใต้ตา
    • ผู้ที่ต้องการกระชับเหนียง คางสองชั้น และลำคอ 
    • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับ รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียน

     

    Ulthera ดียังไง ?

    ออกแบบเฉพาะบุคคล เพราะผิวของแต่ละคนต่างกัน ด้วยโปรแกรมยกกระชับใบหน้าที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล ทำให้แพทย์สามารถวิเคราะห์ปัญหาแต่ละขั้นผิวได้ตรงจุด แม่นยำ 

    ลงลึก แม่นยำ  เจ็บน้อย ด้วยเทคโนโลยี MFU-V ทำให้มองเห็นได้ถึงผิวชั้นลึก ก่อนยกกระชับใบหน้า ทำให้แพทย์วางแผนยิงพลังงานได้แม่นยำ เจ็บน้อย 

    ยกกระชับผิว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ด้วยพลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ ที่โฟกัสลงลึกถึงชั้นผิว เป็นเส้นตรงเรียงกัน ช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์ ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด และยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งการผ่าตัดศัลยกรรมทำไม่ได้ จึงช่วยชะลออายุผิว และลดโอกาสเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ 

    หน้าจอแสดงผลแบบ Real time มีหน้าจอแสดงระดับความลึกของชั้นผิว และจุดที่โฟกัสแบบ Real time ทำให้แพทย์สามารถปรับระดับพลังงานได้เหมาะสม  มีความปลอดภัยสูง คุณแม่ให้นมบุตรสามารถทำได้ 

    เห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที  30% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น ตามคอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้น ผิวยกกระชับขึ้นใน 1-2 เดือน และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 1 ปี 

     

    ข้อเสียของการทำอัลเทอร่า ?

    1. หลายคนคงได้ยินมาว่าการทำอัลเทอร่านั้นขึ้นชื่อเรื่อง ความเจ็บ ซึ่งความเจ็บที่พูดถึงนี้คือการปล่อยพลังงานออกมาจากตัวเครื่องเพื่อทำการรักษา โดยคนไข้จะมีความรู้สึกอุ่นๆ ใต้ผิวหนังและรู้สึกจี๊ดๆ บริเวณกระดูก เหมือนมีหนามเล็กๆ จิ้มลงบนผิว แต่จริงๆ แล้วแต่ละคนมีระดับความเจ็บปวดที่ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ บางคนอาจจะเจ็บแบบทนได้หรือบางคนอาจจะเจ็บมาก ทั้งนี้ก่อนเริ่มทำอัลเทอร่าแพทย์จะมีวิธีการบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น แปะยาชาให้คนไข้ก่อนเสมอ ซึ่งสามารถช่วยลดระดับความเจ็บปวดลงได้และในระหว่าการทำ ถ้าหากคนไข้รู้สึกทนไม่ไหวก็สามารถแจ้งแพทย์ให้หยุดพักก่อนได้เช่นกัน
    2. หลังจากทำอัลเทอร่าเสร็จแล้วในคนไข้บางรายอาจจะมีรอยแดงเกิดขึ้นได้บ้าง แต่ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะรอยแดงเหล่านี้สามารถหายเป็นปกติได้เองภายใน 1 ชั่วโมงหรือในคนไข้บางรายอาจมีอาการบวม แต่สามารถหายเองได้เช่นกัน โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้อาจจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย
    3. อัลเทอร่าเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงได้มีการผลิตเครื่องอัลเทอร่าปลอมออกมาเยอะมากในท้องตลาดเพื่อให้มีราคาที่ถูกลง จึงทำให้ในบางครั้งผู้บริโภคไม่สามารถแยกเครื่องจริง เครื่องปลอมออกได้ ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์ในการทำอัลเทอร่าโดยตรงไม่ว่าจะเป็นทำแล้วไม่เห็นผลหรือทำแล้วหน้าพัง ดังนั้นก่อนจะเลือกทำอัลเทอร่าที่ไหนต้องตรวจเช็กให้มั่นใจก่อนว่า “เป็นเครื่องแท้ได้มาตรฐาน”
    4. ในบางคลินิก แพทย์ไม่มีความชำนาญในการใช้เครื่องมืออัลเทอร่า, ไม่มีความเชี่ยวชาญในการประเมิน ออกแบบใบหน้าของคนไข้ จึงอาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเท่าที่ควร หรือที่แย่ไปกว่านั้นอาจจะให้ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์มาเป็นคนทำอัลเทอร่าให้เรา ดังนั้นจึงต้องเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด

     

    Ulthera ทำจุดไหนได้บ้าง ?

    • ผิวหน้า แก้ม ช่วยยกกระชับผิวหน้า ยกแก้มที่หย่อนคล้อย 
    • กรอบหน้า ช่วยปรับรูปหน้าเรียว กรอบหน้าชัด 
    • ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปาก  
    • คาง ลำคอ ช่วยลดเหนียง เก็บคางสองชั้น กระชับผิวบริเวณลำคอ
    • รอบดวงตา ใต้ตา ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดถุงใต้ตา
    • คิ้ว หางตา ช่วยยกคิ้ว ยกหางตา หนังตาตก 

     

    Ulthera SPT คืออะไร ?

    Ulthera SPT เทคนิคการทำอัลเทอร่าแบบ Hyper Personal Lift เพื่อการแก้ไขปรับรูปหน้าเฉพาะรายบุคคล เนื่องจากปัญหาของคนไข้แต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งเกิดได้จากปัจจัยหลาย อย่างเช่น อายุ น้ำหนัก เพศ ความลึกของชั้นผิว ดังนั้นการรักษาจึงต้องออกแบบให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล (Customized) นอกจากนั้นเทคนิคของ SPT ยังให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะในระหว่างทำหัตถการ แพทย์สามารถมองเห็นภาพของชั้นผิวแบบ Real time จึงวางแผนการรักษาได้ง่ายและมีความแม่นยำในการใช้เครื่องมือ ยิงพลังงานได้ตรงจุด ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างทำลงได้อีกด้วย

     

    เทคนิค SPT ต่างจากแบบเก่ายังไง

    สิ่งที่แตกต่างกันคือ เมื่อก่อนการทำอัลเทอร่าจะเป็นการยิงพลังงานลงสู่ชั้นผิวของคนไข้แต่ละคนในลักษณะเดียวกัน โดยไม่ได้ประเมินถึงความแตกต่างของแต่บุคคล และคนไข้มักโฟกัสไปที่การยิงจำนวนช็อตเยอะๆ เพื่อให้รู้สึกว่าคุ้มค่าและครอบคลุมทั่วใบหน้า แต่สำหรับเทคนิค SPT นั้นจะเป็นการทำแบบ Customize ซี่งจะเป็นการดีไซน์ หรือมีการออกแบบวางแผนการรักษาให้เหมาะกับปัญหาของคนไข้แต่ละคน โดยความถี่ในการยิงแต่ละชั้นผิวจำนวนช็อตจะไม่เหมือนกัน ก่อนการทำอัลเทอร่าแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการทำ ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาแบบใหม่ที่ให้มีความเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น ซึ่งการทำ Ulthera SPT ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้

     

     

    S : See แพทย์จะสามารถมองเห็นหน้าจอแสดงชั้นผิวของคนไข้ได้แบบ Real time ซึ่งในส่วนนี้เองที่ถือว่าเป็นจุดแข็งของการทำอัลเทอร่า เพราะเมื่อแพทย์มองเห็นชั้นผิวขณะทำ ช่วยให้รักษาได้อย่างตรงจุด มีความแม่นยำมากขึ้น

    P : Plan ชั้นผิวของคนไข้มีความแตกต่างกัน การที่สามารถมองเห็นชั้นผิวได้แบบ Real time จึงสามารถช่วยให้แพทย์วางแผนออกแบบการรักษาได้ง่าย ส่งผลให้ผลลัพธ์ในการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    T : Treat คนไข้ได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตามที่แพทย์ได้ออกแบบและวางแผนการรักษาไว้แบบ Case by Case ทำให้รู้สึกสบายขึ้นในระหว่างที่ทำการรักษาได้อีกด้วย

     

    การเตรียมตัวก่อนทำ Ulthera SPT

    การทำ Ulthera SPT เป็นหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมากค่ะ 

    • คนไข้มาปรึกษาแพทย์ แจ้งข้อกังวลต่าง ๆ ที่อยากแก้ไข  
    • แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับ โรคประจำตัว 
    • แจ้งประวัติการผ่าตัด หรือเคยมีการทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้า

    เมื่อแพทย์ประเมินใบหน้าและปัญหาผิวแล้วจะวิเคราะห์ได้ว่าใครบ้างจะเหมาะกับการทำ Ulthera  SPT หรือไม่ จากนั้นแพทย์ จะวางแผนการปรับรูปหน้า แจ้งจำนวน Line ในการยิงที่เหมาะสมครับ 

     

    ขั้นตอนการทำ Ulthera SPT

    ขั้นแรกแพทย์จะประเมินปัญหาและวางแผนการปรับรูปหน้า ตามสภาพผิวของแต่ละคนแล้ว จะออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยี Micro Focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) ยิงพลังงานคลื่นเสียงลงชั้นผิวในระดับความลึกที่แตกต่างกัน โดยแพทย์สามารถมองเห็นได้ทุกชั้นผิว และจัดการกับปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด เมื่อแพทย์ประเมินปัญหาผิวเสร็จสรรพก็จะแจ้งจำนวน Line ในการยิงที่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาผิวค่ะ 

    หลังจากนั้นจะให้คนที่เข้ารับบริการ เตรียมผิวการทำ Ulthera โดยการทำความสะอาดผิวหน้า แล้วแปะยาชาทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที หลังจากนั้นแพทย์จะใช้เครื่อง Ulthera SPT ยิงกระตุ้น เพื่อยกกระชับผิวบริเวณที่มีปัญหา เครื่อง Ulthera จะมีหน้าจอที่สามารถดูได้แบบ Real time สามารถมองเห็นพลังงานที่โฟกัสลงลึก ตรงจุด ทุกชั้นผิว ใช้ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 45-60 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวน Line และผิวบริเวณที่ทำ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังทำ ประมาณ 30% ผิวหน้ายกกระชับขึ้น ริ้วรอยจางลง   

     

    ทำ Ulthera SPT ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ใช้เวลานานไหม ?

    • หลังทำ Ulthera SPT คนไข้สามารถสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการยกกระชับได้ทันทีหลังทำประมาณ 30% ในครั้งแรก และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ใน 1-2 เดือน และเมื่อผ่านไป 2-3 จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ เเละเรียบเนียนมากขึ้น
    • หลังทำ Ulthera SPT จะคงผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวของแต่ละบุคคล หมอแนะนำให้ทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าอยากรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน สามารถกลับมาทำซ้ำได้เรื่อย ๆ  
    • จำนวน Line ที่ใช้ ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว และบริเวณที่ต้องการยกกระชับ จำนวนที่ทำแล้วเห็นผล เริ่มต้นที่ 300 Line 
    • ใช้เวลาทำประมาณ 45-60 นาที ขึ้นอยู่กับเทคนิคและความถนัดของแพทย์ ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว และระดับริ้วรอย  

     

    วิธีเช็กเครื่อง Ulthera

     

    รีวิวทำอัลเทอร่าจากผู้ใช้จริง

     

     

     

     

     

     

     

     

    Thermage FLX

     

     

    Thermage เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่อยากให้ทำก่อนอายุ 30 เลยค่ะ เพราะเราเมื่ออายุใกล้ 30 ผิวจะเริ่มหย่อนคล้อย ขาดความตึงกระชับ มีไขมันสะสมส่วนเกินบริเวณใบหน้า แก้ม คาง อยากยกกระชับใบหน้าแต่ไม่ต้องการผ่าตัด Thermage เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยได้ค่ะ สามารถยกกระชับผิว และริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยปราศจากบาดแผล

    Thermage คือ ?

    Thermage เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (High Radio Frequency) ชนิดขั้วเดียว (Monopolar) โดยหัวยิงสามารถส่งพลังงานในลักษณะเป็นก้อนใหญ่ๆ ลงลึกได้ถึงชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ชั้นผิว แต่ไม่ถึงชั้นเนื้อเยื่อ SMAS (Superfical Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังที่แพทย์ผ่าตัดยกกระชับผิว

    อธิบายง่ายๆ คือโครงสร้างผิวของคนเราประกอบชั้นผิวต่างๆ 3 ชั้น ก็คือ

    • ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นผิวที่อยู่นอกสุด ทำหน้าที่ในการช่วยปกป้องผิว
    • ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นผิวที่มีองค์ประกอบหลัก คอลลาเจน และ อิลาสติน เปรียบเสมือนเสาหลักที่คอยรักษาความยืนหยุ่นของผิว
    • ชั้นใต้ผิวหนัง หรือ ชั้นไขมัน (Subcutaneous) ประกอบด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ความหนาขึ้นกับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล

    ซึ่งการทำ Thermage จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีไขมันใต้ชั้นผิวค่อนข้างมาก เช่น มีแก้มเยอะ หรือมีเหนียง หรือมีปัญหาเรื่องเซลลูไลท์ (Cellulite) หรือผิวเปลือกส้ม เพราะแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวไม่เท่ากับการทำ Ultherapy หรือ HIFU แต่ Thermage สามารถลดไขมันใต้ชั้นผิวได้ดีกว่ามาก

     

     

    หลักการทำงานของ Thermage ช่วยกระชับผิวและริ้วรอยได้ยังไง ?

    Thermage ทำงานโดยส่งผ่านพลังงานความร้อน (Monopolar RF) หรือคลื่นวิทยุ ที่เป็นแบบขั้วเดียวที่เจาะจงตำเเหน่งความถี่สูง ลงในผิวชั้นบนจนถึงชั้นไขมัน แต่ Thermage รุ่น FLX ที่มีเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ ที่สามารถส่งความร้อนไปยังผิวชั้นลึก สามารถกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ โดยที่มีระบบสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บลง ในระหว่างที่ปล่อยพลังงานออกมา จะมีการปล่อยความเย็นออกมาด้วยเป็นระยะๆ ขณะที่ส่งความร้อนไปยังผิวชั้นลึก เพื่อลดโอกาส Burn รวมทั้งมี Vibration ระบบสั่น ทำให้รู้สึกสบายขณะทำมากขึ้น และช่วยลดความเจ็บลง พลังงานความร้อนจาก Thermage ที่ส่งผ่านเข้าไปจะทำการแยกโมเลกุลของน้ำออกจากเส้นใยคอลลาเจนทำให้คอลลาเจนหดตัวทันที ส่งผลให้ผิวมีความกระชับขึ้น โดยในช่วงเดือนถัดไปหลังทำจะมีการสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้น และทำการจัดเรียงตัวใหม่ช่วยให้ผิวแน่น กระชับขึ้นเรื่อยๆ หลังทำ Thermage ช่วยให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวตึงขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวเรียบเนียนและยกกระชับขึ้นหลังการทำเพียงครั้งเดียว โดยผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง และจะยกกระชับได้ดีที่สุดภายในเดือนที่ 6

    เครื่อง Thermage มีกี่รุ่น ?

    Thermage ถูกผลิตออกมาหลายรุ่น นับตั้งแต่ 2003 และได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ

    • Thermage TC (2003)
    • Thermage NXT (2007)
    • Thermage CPT (2009)
    • Thermage FLX (20018)

    โดยเครื่อง Thermage ที่นิยมใช้ในประเทศไทย คือ Thermage CPT และ Thermage FLX ซึ่งเครื่องที่ถูกพัฒนาล่าสุดคือ Thermage รุ่น FLX ในปี 2018 ค่ะ

    • Thermage CPT เป็นเครื่องรุ่นเก่า ผลิตในปี 2009 ขณะทำจะรู้สึกเจ็บ และเป็นระบบที่ไม่มีการคำนวณพลังงานความร้อนใต้ผิว ดังนั้นในขั้นตอนการทำต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญสูงในการทำ
    • Thermage FLX เป็นเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด (ผลิตปี 2018) ช่วยทำให้เจ็บน้อยกว่ารุ่นเก่า เพราะที่หัวจะมี Integated cooling แบบใหม่ ช่วยปกป้องผิวด้านบนด้วยความเย็น ในระหว่างที่ปล่อยพลังงานออกมา ก็จะมีการปล่อยความเย็นออกมาด้วยเป็นระยะ ๆ ขณะที่ส่งความร้อนไปยังผิวชั้นลึก เพื่อลดโอกาส Burn รวมทั้งมีระบบสั่น ทำให้รู้สึกสบายขณะทำมากขึ้น อีกทั้งยังหัวยิงมีขนาดใหญ่กว่า ใช้เวลาในการทำเร็วกว่ารุ่นเก่าอย่าง Thermage CPT ประมาณ 25%

     

    Thermage FLX ดีกว่าเครื่องเก่ายังไง

    Thermage FLX เป็นเครื่องยกกระชับรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ถูกพัฒนาการใช้งานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยผลิตห่างจากรุ่นเก่าถึง 9 ปี ส่งผลให้ทั้งหัวทิป การปล่อยพลังงานโฟกัสของ Thermage FLX ทำได้อย่างตรงจุด ใช้จำนวน shot น้อยกว่า แต่ประสิทธิภาพดีกว่า ลดความเจ็บขณะทำ รวมทั้งลดระยะเวลาในการทำให้น้อยลงด้วยค่ะ

     

     

    Thermage ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

    Thermage สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า รอบดวงตา และลำตัว โดยจำนวนช็อตที่ใช้จะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์นะคะ แพทย์จะประเมินจาก บริเวณที่ต้องการทำและสภาพผิว

    • ใบหน้าามารถยกกระชับได้ทั่วหน้าและลำคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวใบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีแก้มห้อย มีเหนียง ผิวใต้คางหย่อนคล้อย 
    • รอบดวงตา หรือ Thermage ตา เหมาะกับผู้ที่มีผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย มีริ้วรอย รวมถึงผู้ที่ต้องการยกคิ้วให้ได้รูป แก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และผิวเปลือกตาที่มีรอยย่น
    • ลำตัว สามารถทำได้ทั้งต้นแขน หลังมือ หน้าท้อง สะโพก หรือบริเวณต้นขาที่หย่อนคล้อย ให้กระชับเรียบเนียนขึ้น

     

    ทำ Thermage ดียังไง

    • ยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลง
    • ลดไขมันสะสมบริเวณแก้ม ใต้คาง และลำคอ
    • ลดริ้วรอยรอบดวงตา ร่องแก้ม รอยย่นบนหน้าผาก และตีนกา
    • แก้ปัญหาคิ้วตก หนังตาตก และผิวเปลือกตาที่มีรอยย่น
    • ลดปัญหาผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย และเพิ่มความเรียบเนียน
    • ลดขนาดรอบเอว รอบขา หรือรอบแขน และเพิ่มความตึงกระชับ
    • ยกกระชับสะโพก ลดปัญหาผิวเปลือกส้มที่สะโพก และต้นขา
    • ฟื้นฟูโครงสร้างผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

     

    การเตรียมตัวก่อนทำ และดูแลตัวเองหลังทำ Thermage

    ก่อนเข้ารับการทำ Thermage ไม่จำเป็นต้องเตรียมเป็นพิเศษ ยกเว้นในกรณีที่เพิ่งเข้ารับการฉีดสารเติมเต็ม หรือร้อยไหม ที่ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เดือน และหลังการทำ Thermage ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น

    ในส่วนของการดูแลผิวหลังทำ Thermage ไม่จำเป็นต้องดูแลส่วนไหนเป็นพิเศษ นอกจากการบำรุงผิวขึ้นพื้นฐาน เช่น ทาครีมที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และทาครีมกันแดดเป็นประจำ

    อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผลลัพธ์ของการทำ Thermage มีประสิทธิภาพมากที่สุด แพทย์อาจแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนที่ผิวหน้าโดยตรง เช่น นวดหน้าด้วยความร้อน การทำเลเซอร์ หรือซาวน่า ในช่วงสัปดาห์แรกหลังทำ Thermage

     

    ผลลัพธ์การทำ Thermage  กี่วันเห็นผล ?

    การทำ Thermage จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังทำเลยค่ะ โดยผิวจะกระชับขึ้น ริ้วรอยลดเลือนลง และผิวเรียบเนียนขึ้น หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง และจะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายในระยะเวลา 3-6 เดือน

    ผลลัพธ์ของการทำ Thermage นั้น จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี แต่เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น ควรมาทำซ้ำปีละ 1 ครั้งหรือทำซ้ำทุกๆ 6 เดือน ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิวดั้งเดิม การใช้ชีวิตประจำวัน และการดูแลผิวหลังทำ

     

    Thermage ทำแล้วเจ็บไหม ?

    ระดับของความเจ็บของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่ทนได้แน่นนอน เพราะก่อนที่ยิงพลังงานลงสู่ผิวคนไข้ จะมีการแปะยาชาไว้ให้ก่อน นอกจากนั้น Thermage FLX ยังมีระบบ Pre and Post Cooling ที่ช่วยให้ความเจ็บน้อยลง ป้องกันผิวผิวไหม้ ช่วยเพิ่มความรู้สึกสบายระหว่าทำได้อีกด้วย ถ้าใครเคยทำ Thermage รุ่นเก่ามา รับรองค่ะว่าเครื่องใหม่ Thermage FLX สบายกว่าเยอะมาก 

     

    ความแตกต่างระหว่าง Thermage , Ulthera และ Hifu

    ทั้ง 3 เทคโนโลยีนี้ จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือที่ช่วยยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่ใช้เทคโนโลยีในการสร้างพลังงานความร้อนใต้ชั้นผิว และลักษณะในการส่งพลังงานที่แตกต่างกัน จึงทำให้ทั้งสามเครื่องมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้

    • Thermage ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงในการสร้างความร้อน ส่งพลังงานในลักษณะก้อนใหญ่ๆ ลงไปถึงชั้นชั้นไขมันใต้ผิวหนัง แต่ไม่ถึงชั้นเนื้อเยื่อ SMAS จึงทำให้ประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวไม่เท่ากับการทำ Ultherapy แต่ช่วยลดไขมันใต้ชั้นผิว หรือลดเซลลูไลท์ (Cellulite) ได้ดีที่สุด
    • Ultherapy หรือเรียกว่า “อัลเทอร่า (Ulthera)” ใช้คลื่นอัลตราซาวด์พลังงานสูง MFU-V ในการสร้างความร้อน ส่งพลังงานในลักษณะจุดไข่ปลาเรียงต่อกันเป็นเส้นๆ ลงลึกได้ถึงชั้นเนื้อเยื่อ SMAS จึงช่วยยกกระชับผิวได้ดีที่สุด แต่ไม่เหมาะกับการลดไขมัน
    • HIFU (High Intensity Focus Ultrasound) เป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดมาจาก Ultherapy มีหลายยี่ห้อ หลายเกรด แม้ว่าจะไม่เห็นผลชัดเจนเท่ากับการทำ Ultherapy แต่มีราคาถูกกว่า และเจ็บน้อยกว่า โดยการทำ HIFU 3 ครั้ง เทียบเท่ากับการทำ Ultherapy 1 ครั้ง

     

    Q&A เรื่องการยกกระชับ

     

     

     

     

     

     

    การฟื้นฟูและดูแลผิวที่หย่อนคล้อยและมีริ้วรอยที่ Apex Medical Center ดียังไง

    เพราะ Apex Medical Center เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและโครงสร้างผิวที่สามารถวิเคราะห์จุดที่มีปัญหาและต้นเหตุของปัญหาได้อย่างเชี่ยวชาญและตรงจุด รวมถึง Apex Medical Center โดดเด่นเรื่องของนวัตกรรมที่ทันสมัย เราเลือกใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลลัพธ์ที่ผู้เข้าใช้บริการทุกท่านต้องพึงพอใจ อย่างเช่น เครื่องมือยกกระชับผิว Thermage ที่เราเป็นคลินิกแรก ๆ ในการนำเข้าเครื่องมือมาใช้ตั้งแต่รุ่นแรก ถึงตอนนี้รุ่นใหม่ล่าสุด Thermage FLX จนได้รับรางวัลการันตีเรื่องการใช้เครื่องมือยกกระชับผิวตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจได้เลยว่าเป็นของแท้เพื่อให้บริการ รวมถึงหัตถการการฟื้นฟูความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่างๆ ที่เราได้คัดสรรมาแล้วว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุด เรียกได้ว่ามาที่ Apex Medical Center จบทุกปัญหาความหย่อนคล้อยและริ้วรอยเลยค่ะ

     

    #เอเพ็กซ์อันดับหนึ่งเรื่องการยกกระชับ 

    📍 ปรึกษาเรื่องยกกระชับและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

    Facebook : Apex Profound Beauty 

    Line : @apexlifting 

    APEX ของเรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งมีเครื่องมือที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน คอยให้บริการทุกท่านอยู่นะคะ