เมื่ออายุมากขึ้น เรามักจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นความหย่อนคล้อย ริ้วรอยที่เริ่มปรากฏขึ้นมา ซึ่งอาจเกิดได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือ การเสื่อมสภาพของชั้นผิวได้ค่ะ และอีกอย่างที่กวนใจเรา ก็คือการหย่อนคล้อยก่อนวัย ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็คือผิวขาดคอลลาเจนนั่นเองค่ะ โดยการที่ผิวขาดคอลลาเจนมีผลเสียที่ตามมาได้หลายอย่างเลยทีเดียวค่ะ เช่น ผิวไม่กระชับ ผิวเริ่มแห้งและเกิดริ้วรอยในที่สุด ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้กับคนที่อายุน้อยๆ และหากมีพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียคอลลาเจนแล้วด้วย ซึ่งจะมีพฤติกรรมอะไรยังไงบ้าง ในบทความนี้เรามีคำตอบพร้อมแนะนำวิธีแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยนี้ค่ะ ไปดูกันเลย~~
ผิวหย่อนคล้อย ก่อนวัย เกิดจากอะไร ?
ตามธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น เมื่ออายุมากขึ้นโครงสร้างผิวหนังโดยเฉพาะชั้นหนังแท้เริ่มสูญเสียเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรง ความกระชับ และความยืดหยุ่นของผิวหนัง เมื่อคอลลาเจนลดลง ผิวจึงเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อยขึ้นค่ะ
สำหรับบริเวณชั้นรอยต่อระหว่างผิวชั้นบนกับผิวชั้นหนังแท้จะยุบตัวแบนลง เป็นผลให้ผิวได้รับสารอาหารน้อยลง ทำให้ผิวอ่อนแอลงและเสื่อมได้ง่าย และยังทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวประสิทธิภาพแย่ลงด้วย
ส่วนผิวชั้นใต้ผิวหนัง บริเวณชั้นไขมันจะบางลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากทั้งภายนอกและภายในที่รุมเร้าให้ผิวเสื่อมหย่อนคล้อยเร็วกว่าวัยอันควรอีกด้วย
สาเหตุของความหย่อนคล้อยและริ้วรอย
จริงแล้วผิวหนังหย่อนคล้อยและริ้วรอยไม่ได้เกิดขึ้นตามอายุที่มากขึ้นเพียงอย่างเดียวนะคะ ยังปัจจัยเหล่านี้ที่ส่งผลให้เกิดพวกริ้วรอยก่อนวัยได้ นั่นก็คือ
- แสงแดดและมลภาวะ แสงแดดมีรังสียูวีที่จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและเกิดปัญหาความหย่อนคล้อยตามมา และนอกจากนี้อาจจะไม่ใช่แค่ปัญหาความหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่เกิด แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องผิวคล้ำเสีย ฝ้ากระตามมาอีกด้วย และหากผิวได้รับเป็นจำนวนมากแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อสภาพผิวของเราได้เช่นกัน
- การพักผ่อนและความเครียด ทั้งสองอย่างนี้ส่งผลต่อฮอร์โมน อย่างเช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโกรทฮอร์โมน ที่ช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนเยาว์และช่วยซ่อมแซ่มเซลล์ผิวต่างๆ นั่นเองค่ะ ดังนั้นถ้าเราพักผ่อนน้อยและมีความเครียดด้วย ทำให้สองฮอร์โมนนี้ลดลง แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อผิว ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและก่อให้เกิดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้นะคะ
- การแสดงอารมณ์ หลายคนยังไม่รู้การแสดงอารมณ์บนใบหน้าไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม หัวเราะ หรือ การโกรธ ก็สามารถทำให้เกิดริ้วรอยได้เช่นกัน เช่น บริเวณรอยตีนกา หน้าผาก หรือ มุมปาก ใครที่ชอบยิ้มบ่อยๆ หรือใช้หน้าตาแบบมีเอนเนอร์จี้มากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดริ้วรอยตามมาได้ค่ะ
- อายุ ข้อนี้ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้วเนอะ ว่าอายุมากขึ้นร่างกายจะมีประสิทธิภาพการผลิตเซลล์ผิวใหม่ลดลง ทำให้การผลิตคอลลาจนและอิลาสตินลดลง ส่งผลให้เกิดความหย่อนคล้อยตรงโครงสร้างผิว จนเกิดเป็นผิวที่เหี่ยวย่นและริ้วรอย ซึ่งเรื่องของอายุกับความหย่อนคล้อยจึงเป็นสิ่งที่มักหลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ
ปัญหาความหย่อนคล้อยแต่ละช่วงวัย
ถ้าย้อนไปในวัยเด็กแรกแย้ม ผิวพรรณนุ่มเด้งเนียนใสไร้ที่ติ แต่พอเราโตขึ้นเราก็อยากจะกลับไปเป็นผิวเด็กอีกครั้ง เพราะผิวเริ่มเสื่อมลง ผิวขาดความยืดหยุ่นไปตามวัย จริงๆ แล้วผิวของเราในแต่ละช่วงวัยมีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบแตกต่างกัน เช่น เมื่อวัยเด็ก ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เม็ดสีน้อย แต่การป้องกันยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ผิวจึงไวต่อแสงแดดและรังสี UV มาก แต่เมื่อเป็นวัยรุ่น เป็นช่วงวัยที่ผิวพรรณของเราได้พัฒนาอย่างเต็มที่ แต่ก็มักจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จึงเป็นสิวและผิวมีความมันได้ง่าย ดังนั้นแล้วเนี่ย ปัญหาของผิวแต่ละช่วงวัยจึงแตกต่างกัน การดูแลผิวจึงต้องให้เหมาะสมต่อสภาพผิวแต่ละช่วงวัยด้วยนั่นเองค่ะ
ช่วงอายุ 20 – 29 ปี ถึงแม้จะเป็นช่วงที่เรียกได้ว่ายังเป็นวัยรุ่น เซลล์ผิวยังมีการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเป็นจำนวนมาก แต่อย่าลืมนะคะว่ายังมีปัจจัยภายนอกอีก เช่น แสงแดด พฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่วัยนี้อาจละเลยไป จนก่อให้เกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อย ซึ่งอาจเกิดริ้วรอยแบบจางๆให้ได้เห็น และอาจยิ่งเห็นชัดเมื่ออายุมากขึ้น
สำหรับวัย 25 ปีขึ้นไป บางครั้งปัญหาเหล่านี้อาจจะเริ่มเข้ามาให้เห็นชัดขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของริ้วรอย อาจเกิดให้เห็นชัดเวลาแสดงอารมณ์เช่นขมวดคิ้ว และอาจจะเริ่มมีถุงใต้ตาที่เห็นชัดเจนขึ้น และใต้ตาคล้ำขึ้น
ส่วนวิธีการดูแลผิวของคนช่วงอายุนี้ ก็คือ การหมั่นทาสกินแคร์หรือทำทรีทเม้นท์ผิวหน้าที่ช่วยเกี่ยวกับริ้วรอย เพื่อไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับเซลล์ผิว และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความหย่อนคล้อย เช่น การพักผ่อนน้อย การขยี้ตาก็สามารถทำให้เกิดคามหย่อนคล้อยได้ แต่หากมีริ้วรอยที่เห็นชัดเจน อาจจะใช้การฉีด Botox เพื่อลดริ้วรอย หรือการฉีด Filler เพื่อให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
ช่วงอายุ 30 – 39 ปี ช่วงอายุนี้อาจจะเป็นช่วงวัยทำงานที่มีความเครียดที่มากขึ้น รวมถึงการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ยิ่งร่วมกับอายุที่มากขึ้นแล้ว ประสิทธิภาพของการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินก็เริ่มเสื่อมสภาพลง อาจก่อให้เกิดริ้วรอยที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น ร่องแก้ม หน้าผาก หรือ บริเวณรอบดวงตา และความหย่อนคล้อยบริเวณคอ แก้ม แม้การแสดงอารมณ์เพียงเล็กน้อย ก็ยังเห็นริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นมา ดังนั้น การบำรุงแค่สกินแคร์อย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอกับช่วงอายุนี้ค่ะ
ส่วนวิธีการดูแลผิวของคนช่วงอายุนี้ เหมาะกับการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยในการฟื้นฟูโครงสร้างผิว เช่น Ulthera และ Thermage FLX เป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับ และมีงานวิจัยว่าเห็นผลจริง โดยจะส่งคลื่นเข้าไปจนถึงโครงสร้างชั้นผิว เพื่อไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ถ้าทำควบคู่กันไปด้วยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูโครงสร้างที่ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ผิวที่มีความหย่อนคล้อยกลับมากระชับ และคลอบคลุมปัญหาที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคลได้
ช่วงอายุ 40 – 49 ปี ช่วงที่วัย 40 ขึ้นไป ไขมันที่ผิวเริ่มมีความหย่อนคล้อย ผิวหนังชั้น SMAS เริ่มหย่อนคล้อยเยอะมาก ขาดความกระชับ ไม่มีความยืดหยุ่น โดยเฉพาะผิวบริเวณใต้ตา แก้ม และ กราม จนทำให้เห็นความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าอย่างชัดเจน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นมักจัดการได้ยากขึ้น
ส่วนวิธีการดูแลผิวของคนช่วงอายุนี้ ในช่วงวัยนี้อาจะต้องพึ่งแพทย์ในการดูแลรักษาและหัตการต่างๆ ที่มากกว่าหนึ่ง เพราะไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาความหย่อนคล้อยอย่างเดียว แต่ผิวเกิดการขาดความชุ่นชื้นใต้ผิวได้ด้วย อย่างที่บอกไปแล้วว่าอาจจะต้องใช้หัตการที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เช่นการทำ Ulthera อาจทำร่วมกับ Thermage FLX ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพลดความหย่อนคล้อยให้ผิวกระชับขึ้นได้
ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ในช่วงอายุวัย 50 ปีขึ้นไป โครงสร้างผิวที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากและเสื่อมสภาพลง รวมไปถึงฮอร์โมนต่างๆ ที่ลดลงทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ด้วยมันตัวเอง ทำให้ใบหน้าอาจดูซูบตอบอย่างเห็นได้ชัด ผิวไม่อิ่มฟู และริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจน แม้การใช้นวัตกรรมต่างๆ จะช่วยได้ในระดับนึง แต่อาจจะมีบางจุดที่ต้องใช้การผ่าตัดเข้าร่วมด้วย
ส่วนวิธีการดูแลผิวของคนช่วงอายุนี้ แนะนำทำ Ulthera และ Thermage FLX ทั่วหน้าร่วมกับหัตถการอื่นๆ เพื่อเข้าไปกระตุ้นโครงสร้างผิวที่มีความหย่อนคล้อย รวมถึงการฉีดสารเติมเต็มต่างๆเข้าไป เพื่อให้ผิวดูอิ่มฟู ไม่ซูบตอบ หรือการทำหัตการอื่นๆ อีกนอกเหนือการทำอัลเทอร่าและเทอมาจแล้ว ยังมีนวัตกรรมหนึ่งที่เรียกว่า RF-Needle บอกเลยว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดและยังช่วยกระตุ่นการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ซึ่งจะดียังไงนั้นไปอ่านต่อกันได้เลยค่า~~
ทางเลือกใหม่! ไม่ต้องผ่าตัดก็ลดผิวหนังหย่อนคล้อยได้ด้วย RF Needle
RF Needle คืออะไร ?
RF-Needle เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าและลำตัวหนึ่งเดียวที่สามารถหดชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยให้ผิวที่เสื่อมตามกาลเวลา (Aging skin) แลดูอ่อนเยาว์ โอกาสการเกิดจุดด่างดำจากการอักเสบของผิวหลังทำน้อย (PIH – Post Inflammatory Hyperpigmentation)
โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF (Radio Frequency) ที่สามารถปล่อยพลังงานคลื่นได้ลึกถึงชั้นผิว SMAS สามารถช่วยยกกกระชับผิวจากผิวหนังที่เหี่ยวๆ ย้อยๆ ให้กลับมากระชับได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งรอยแผล และยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา(Deepest FDA Approved Fractional Technology) ปลอดภัย ไม่อันตรายต่อผิว สามารถเข้าสู่ผิวได้ลึกสุด
RF Needle หนึ่งเดียวเรื่องยกกระชับ
การทำ RF Needle จะแตกต่างกับการยกกระชับอื่นๆ ด้วยที่หัวเครื่องที่มีเฉพาะเจาะจง เป็นการใช้นวัตกรรม Fractional Microneedle RF ซึ่งตัวหัวของเครื่อง RF Needle จะมีลักษณะเป็นเข็มเล็กๆ เรียงตัวกัน เมื่อวางลงบนผิวจะส่งพลังงานผ่านหัวเครื่องเข้าไปกระตุ้นกล้ามเนื้อด้านในส่วนของชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งหัวเครื่องมอร์เฟียสเอทจะใช้แค่ครั้งเดียวแล้วก็ทิ้ง จะไม่น้ำกลับมาใช้ซ้ำ แต่ตัวหัวเครื่องจะบรรจุในซองที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยระบบแกมมา (Gamma Sterilized) มั่นใจได้เลยว่า สะอาดและปลอดภัยแน่นอนค่าา
RF Needle ทำจุดไหนได้บ้าง ?
เครื่องยกกระชับ RF Needle สามารถยกกระชับใบหน้าได้แล้วยังทำได้หลายจุดทั่วร่างกาย จุดไหนเหี่ยว จุดไหนคล้อยก็สามารถทำ RF Needle ได้ค่ะ
- บริเวณทั่วทั้งใบหน้า
- หน้าผาก
- ใต้ตา
- คิ้ว
- แก้ม
- เหนียง
- ลำคอ
- ท้อง
- หัวเข่า
- หน้าท้องหย่อนคล้อย
นอกจากนี้ส่วนที่ไม่หย่อนคล้อยก็สามารถทำ RF Needle ได้ค่ะ เช่น ลดรอยแผล (ได้ทั้งรอยแผลเป็นธรรมดาและแผลเป็นแบบนูน) ผิวไม่เรียบนเนียนไม่สม่ำเสมอ พวกจุดด่างดำฝ้ากระก็สามารถทำให้จางลงได้
RF-Needle เหมาะกับใคร ?
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเส้นลึก (Fine lines and wrinkles)
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยต่างๆ ทำได้ทั้งหน้า ชั้นไขมันใต้คาง คอ และผิวกาย เช่น หน้าท้อง ท้องแขน หัวเข่า
- ผู้ที่มีรอยแผลเป็นและผิวที่ไม่เรียบเนียน
- ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง และผิวหมองคล้ำสามารถปรับเฉดสีของผิว (Skin tone)
- ผู้ที่มีจุดด่างดำ ฝ้า กระ
ทำ RF Needle เสร็จแล้วผลลัพธ์เป็นยังไง ?
ผลลัพธ์หลังทำเสร็จทันที อาจเกิดอาการแดงทั่วบริเวณที่ทำ หลังทำเสร็จประมาณ 1-2 ชั่วโมง รอยแดงจะค่อยๆ หายไปกลับสู่สภาพปกติ และหลังทำเสร็จประมาณ 2-3 วัน จะเป็นสะเก็ดบางๆ (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะคะ) และจะค่อยๆ หลุดออกไปในที่สุด หากตกสะเก็ดแล้วห้ามไปแกะไปแงะสะเก็ดนะคะ เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นและลดการอักเสบของผิวค่ะ
RF Needle จะเริ่มเห็นผลเมื่อไหร่ ?
หลังทำจะรู้สึกได้ทันทีว่าผิวกระชับขึ้นระดับหนึ่ง โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ใน 2-3 วัน ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเริ่มเห็นผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาผิวของแต่ละคนด้วย ซึ่งผลลัพธ์จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงประมาณ 3 สัปดาห์ขึ้นไป จะเห็นชัดเจนที่สุดประมาณ 3 เดือนและผลนั้นจะคงอยู่ไปอีกประมาณ 8-12 เดือน
วิธีการจัดการริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
นอกเหนือการทำหัตการที่เรานำเสนอกันไปแล้วเรายังต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ ซึ่งวิธีดังต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อดูแลสุขภาพและชะลอการเกิดริ้วรอยค่ะ
- พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด พื้นฐานของการดูแลผิว ซึ่งสามารถใช้ได้กับทุกเพศและทุกวัยเพราะเป็นการบำรุงและฟื้นฟูจากภายใน หากจัดการเรื่องนี้ได้ก็สามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้
- พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เริ่มต้นจากการรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และ ช่วยบำรุงผิว หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานสูง เพราะก่อให้เกิดไขมันบริเวณผิวหน้าได้ และทำให้ผิวเหี่ยวและมีความหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร
- ปรับเปลี่ยนท่านอน การนอนหงายเป็นท่าทางการนอนที่ช่วยป้องกันริ้วรอยได้ดีที่สุด เพราะใบหน้าของเราจะไม่เสียดสีกับหมอนซึ่งเป็นสาเหตุนึงของการเกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อย
- การออกกำลังกายหรือโยคะกระชับใบหน้า จะช่วยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งแรงขึ้นและช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ป้องกันการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ยากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องของหน้าใสอีกด้วย
- ครีมกันแดดและสกินแคร์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย เพื่อเป็นการบำรุงผิวและป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด
หลังทำโปรแกรม RF Needle ดูแลผิวยังไง ?
การทำ RF-Needle ต่างจากการทำยกกระชับผิวแบบอื่นๆ ที่ไม่สามารถทำเสร็จปุ๊บสามารถใช้ชีวิตลั้ลลาได้ปกติ จะมีข้อหลีกเลี่ยงและควรทำดังนี้เลย
- หลังทำให้ทำการประคบเย็น เพื่อให้รู้สึกสบายผิวมากขึ้น อย่างน้อย 15-20 นาทีขึ้นไป
- ห้ามโดนน้ำในบริเวณที่ทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ห้ามล้างหน้าหรือใช้ทิชชู่เปียกเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่ทำ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นสามารถล้างหน้าได้ตามปกติ
- หลังล้างหน้าจะต้องทายาฆ่าเชื้อก่อนทุกครั้งก่อนแต่งหน้า
- ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ สม่ำเสมอหลังทำ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ 2 สัปดาห์
- งดกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น ออกกำลังกาย การซาวน่า ว่ายน้ำ เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- หลังจากผิวเกิดสะเก็ดบางๆ สามารถทามอยเจอร์ไรเซอร์บางๆ เพื่อบำรุงผิวได้
การฟื้นฟู ดูแลผิวที่หย่อนคล้อยและมีริ้วรอยที่ Apex Medical Center ดียังไง
เพราะที่ Apex Medical Center มีแพทย์ผู้เชี่ยวด้านผิวหนังและโครงสร้างผิวที่สามารถวิเคราะห์จุดที่มีปัญหาและต้นเหตุของปัญหาได้อย่างเชี่ยวชาญ และช่วยแก้ไขให้ได้อย่างตรงจุด รวมถึงมีนวัตกรรมยกกระชับทั้ง Ulthera และ Thermage FLX ที่สามารถมั่นใจได้ว่าเป็นของแท้ รวมถึงหัตการการฟื้นฟูความหย่อนคล้อยและริ้วรอยต่างๆ ที่เราได้คัดสรรมาแล้วว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุด เรียกได้ว่ามาที่ Apex Medical Center จบทุกปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยและริ้วรอย
อย่างไรก็ดี วิธีที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นวิธีที่ไม่รุนแรง ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดี ไม่ต้องพักฟื้นเหมือนกับการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า ผลลัพธ์แลดูเป็นธรรมชาติ ส่วนการเลือกวิธีการรักษาผิวหน้าหย่อนคล้อยให้ยกกระชับแลดูอ่อนเยาว์ในแต่ละวิธีจะเหมาะสมกับปัญหาและสภาพผิวที่แตกต่างกันตามแต่บุคคล โดยการพิจารณาเลือกการรักษาควรอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ และในบางกรณีอาจต้องเลือกใช้หลายวิธีเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเองค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะกับบทความ “ความหย่อนคล้อยก่อนวัย เกิดขึ้นได้อย่างไร” หวังว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านจะได้รับประโยชน์และสาระสำคัญไปเนอะ สำหรับใครนะคะที่กำลังเจอปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย เหี่ยวย่นเป็นรอยยับ ผิวไม่กระชับและไม่เรียบเนียน หรือสนใจทำ RF Needle สามารถเข้ามาปรึกษาปัญหาผิวได้ที่ Apex Medical Center ได้ทุกสาขาเลยค่ะ