ปัญหาขาเบียด หรือต้นขาใหญ่ มักสร้างความกังวลให้ใครหลายคนอยู่ไม่น้อย เพราะการที่มีไขมันสะสมบริเวณต้นขามากเกินไป ก็ทำให้ดูสะโพกใหญ่ ก้นใหญ่ตามด้วย แถมจะใส่กางเกงขาสั้น หรือกางเกงรัดรูปก็ดูไม่มั่นใจ ด้วยเหตุนี้เองการออกกำลังกายต้นขาจึงเป็นทางออกที่สาว ๆ หลายคนใช้เพื่อช่วย ลดต้นขา ใหญ่ ๆ ให้เล็กลง แต่จะพึงการออกกำลังกายด้วยท่าออกกำลังกายต่าง ๆ อย่างเดียวก็อาจไม่ได้ผลที่ชัดเจนนัก วันนี้เราก็เลยขอหยิบเอาวิธีออกกำลังกายง่าย ๆ ที่คุณทำได้ในชีวิตประจำวัน แค่เพียงคุณเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไปก็จะช่วยให้ต้นขาเล็กลงได้อย่างน่าอัศจรรย์เลยล่ะค่ะ
1. เดินให้มากขึ้น
หลายคนอาจมีปัญหาในการต้นขาใหญ่เนื่องมาจากการนั่งทำงานนาน ๆ จนเกินไป ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญที่ไม่ดี บวกกับร่างกายมีการส่งไขมันไปสะสมที่บริเวณต้นขามากกว่าบริเวณอื่น เมื่อรวม ๆ กันแล้วก็จะทำให้ต้นขาใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งถ้าหากคุณมีปัญหามาจากการที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวันมากนัก ทางแก้ไขก็คือ คุณอาจจะเริ่มเดินให้มากขึ้น โดยเปลี่ยนการขึ้นลิฟต์ เป็นขึ้นบันได ซึ่งขอบอกเลยค่ะว่าการเดินขึ้นบันไดน่ะ ช่วยเผาผลาญพลังงานได้อย่างมากเลยเชียวล่ะ ถ้าทำบ่อย ๆ ก็จะทำให้คุณต้นขาเล็กลงได้เลยเชียวนะ
2. ยืนให้มากขึ้น
แค่ยืนก็เท่ากับการออกกำลังกายแล้วล่ะค่ะ โดยเฉพาะการลดต้นขา การยืน 1 ชั่วโมงสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 140 กิโลแคลอรี แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะต้องยืนเป็นชั่วโมงเพื่อ ลดต้นขา นะคะ เพราะถ้าอยากจะลดต้นขาให้ได้ผลดีแล้วล่ะก็ แค่เพียงยืนให้มากขึ้น นั่งให้น้อยลง ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ไขมันบริเวณต้นขาค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้วล่ะค่ะ
3. ยืดเหยียดขาบ่อย ๆ
การยืดเหยียดขา ไม่เพียงให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้สะดวกขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยในเรื่องของเส้นเอ็น และหลอดเลือดบริเวณขา ซึ่งส่งผลดีกับการลดต้นขาทางอ้อม เพราะเมื่อระบบเลือดที่ขาไหลเวียนได้ดี ก็จะส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญโดยรวมด้วย ดังนั้นถ้าหากคุณสาว ๆ อยากมีขาที่เรียวสวย นอกจากออกกำลังกาย ลดไขมันแล้ว ก็ต้องหมั่นยืดเหยียดกล้ามเนื้อด้วยนะคะ จะได้ผลดีไปพร้อม ๆ กันค่ะ
4. กระโดดเชือกก็ช่วยได้
การกระโดดเชือกเป็นการออกกำลังกายแบบง่าย ๆ ที่หลายคนอาจคิดว่าสามารถช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักตัวเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การกระโดดเชือกนั้นสามารถช่วยลดต้นขาได้เป็นอย่างดี โดยการกระโดดเชือกแบบลงปลายเท้าเป็นท่าออกกำลังกายที่สามารถลดต้นขาและน่องได้อย่างมาก ซึ่ง 1 ชั่วโมงสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 500 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าอยากขาเรียวสวย ลองหันมาลดต้นขาด้วยการกระโดดเชือกก็ดีเหมือนกันนะคะ
และนี่คือ 4 วิธีง่าย ๆ ในการลดต้นขา ที่คุณสาว ๆ สามารถนำไปประยุกต์กับการใช้ชีวิตประจำวันได้ สาว ๆ คนไหนที่อยากมีต้นขาที่เรียวสวย แน่นเปรี๊ยะ ไม่มีไขมันย้วย ๆ มาทำให้ขาเบียดแล้วล่ะก็ ต้องลองทำตามดูค่ะ ยิ่งถ้าทำคู่ไปกับการควบคุมอาหาร ลดอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล แป้ง และโซเดียม แล้วออกกำลังกายที่เน้นเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อไปด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้ต้นขาเล็กลงเร็วขึ้นมากเลยล่ะค่ะ
อย่างไรก็ตาม การลดต้นขาด้วยตัวเองนั้นก็จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะเริ่มเห็นผล เนื่องจากการออกกำลังกายนั้นไม่ใช่ว่าเน้นออกกำลังกายตรงส่วนไหนก็จะเล็กลงได้ทันที แต่ต้องเป็นไปตามกลไกของร่างกายในการดึงไขมันส่วนเกินในร่างกายมาเผาผลาญ ดังนั้นคุณสาว ๆ อาจต้องมีวินัยกับตัวเองนิดหนึ่งถึงจะเห็นผลค่ะ
แต่ถ้าสาว ๆ ไม่มีเวลามากพอที่จะรอให้การลดต้นขาด้วยตัวเองเห็นผล ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถช่วยลดต้นขาได้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดดูดไขมัน หรือการทำทรีตเมนต์ที่ในปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ถ้าพูดถึงว่าทรีตเมนต์ไหนที่ครองใจคนอยากลดสัดส่วน แบบไม่ต้องเจ็บตัวแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าการสลายไขมันด้วยความเย็นอย่าง CoolSculpting ต้องเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ถูกเลือกขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ อย่างแน่นอนค่ะ
CoolSculpting เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการลดสัดส่วน และกำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ด้วยการส่งพลังงานความเย็นอุณหภูมิ -11 ถึง – 13 องศาเซลเซียสเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้เซลล์ไขมัน ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไวต่อความเย็นตายลง โดยใช้เวลาในการทำและครั้งเพียง 35 – 75 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ และ Applicator ที่ใช้ จากนั้นเซลล์ไขมันที่ตายลงเนื่องจากความเย็นจะค่อย ๆ ถูกกำจัดออกจากร่างกายผ่านกลไกทางธรรมชาติ ใช้เวลาเพียง 1 – 3 เดือนก็สามารถเห็นรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างชัดเจน โดยไม่มีปัญหาผิวย้วยตามมาหลังจากการทำ CoolSculpting อีกทั้งหากในอนาคตต้องการกลับมาทำซ้ำในบริเวณก็สามารถทำได้จนกว่าไขมันส่วนเกินบริเวณนั้น ๆ จะหมดไป และผู้เข้ารับบริการมีรูปร่างตามอย่างที่ต้องการค่ะ
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะ CoolSculpting เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง U.S.FDA (Food and Drug Administration) และมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด เมื่อเทียบกับการกำจัดไขมันวิธีอื่น ๆ ที่มักมีผลข้างเคียง หรือมีระยะเวลาการพักฟื้นที่ค่อนข้างนาน และต้องสวมใส่ชุดรัดรูปเพื่อพยุงให้รูปร่างเข้าที่
ได้ทราบแบบนี้แล้วคุณอาจจะรู้สึกสนใจในการทำ CoolSculpting มากขึ้น ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าการทำ CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีที่ต้องให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะแม้จะเป็นเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นเหมือนกัน แต่ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการคือตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญจะสามารถประเมินจุดการทำ และออกแบบรูปร่างให้มีส่วนโค้งเว้าที่สวยงามได้แม่นยำมากกว่า แต่ถ้าหากผู้ที่ให้บริการไม่มีประสบการณ์ในการทำมากพอ สิ่งที่ตามมาก็คือแม้จะช่วยสลายไขมัน ลดต้นขาได้ แต่ก็อาจมีปัญหาเรื่องแหว่งเว้า หรือรูปร่างไม่สวยอย่างที่คิดค่ะ ฉะนั้นก่อนคิดจะทำ ต้องศึกษา และตัดสินใจให้ดี เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังค่ะ
ผลลัพธ์ของการทำ CoolSculpting เมื่อเทียบกับวิธีการลดสัดส่วนแบบอื่น
Coolsculpting vs ยาลดน้ำหนัก
ยาลดน้ำหนัก หรือยาลดความอ้วน อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ แต่ต้องขอบอกว่ายาลดน้ำหนักที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดในปัจจุบันนั้นแทบทั้งหมดเป็นยาที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง ที่หากใช้มากเกินไป อาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย หากใช้ในปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดภาวการณ์ทำงานของอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้ในที่สุด
ขณะที่การทำ CoolSculpting ผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องรับประทานยาใด ๆ จึงรับรองได้ถึงความปลอดภัย และมั่นใจได้ว่าจะไม่ส่งผลเสียกับร่างกายในภายหลังแน่นอน เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ตายลงจากการทำ CoolSculpting จะถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีการตกค้างให้กังวลใจอย่างแน่นอน
Coolsculpting vs ดูดไขมัน (Liposcution)
การดูดไขมัน เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่ต้องผ่าตัดเพื่อเปิดแผลและสอดท่อและอุปกรณ์สูญญากาศเข้าไปดูดไขมัน โดยแท่งดังกล่าวจะช่วยกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนังออกได้ในปริมาณมาก ๆ ภายในครั้งเดียว แต่ก็มีข้อเสียคือในระหว่างการทำจะต้องมีการใช้ยาสลบซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อผู้เข้ารับบริการได้ในภายหลัง นอกจากนี้การดูดไขมันด้วยวิธีนี้หากแพทย์ผู้ทำไม่เชี่ยวชาญพออาจดูดไขมันออกได้ไม่หมดและทำให้ผิวมีลักษณะเป็นคลื่นดูไม่สวยงาม หรืออาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำบริเวณที่ดูดไขมันได้ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้อีกด้วย และถ้าหากต้องการกลับมาดูดไขมันซ้ำ ก็จะทำได้ยากและอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ได้
ส่วน CoolSculpting คือการกำจัดไขมันด้วยความเย็น ที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องเจ็บ เนื่องจากการทำ CoolSculpting จะเป็นการติดเครื่องมือไว้บนผิวหนังและส่งความเย็นลงไปยังชั้นไขมันเท่านั้น นอกจากนี้ CoolSculpting ยังสามารถกลับมาทำซ้ำได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนใด ๆ อีกด้วย
Coolsculpting vs Thermage FLX
การทำ Thermage FLX สามารถช่วยลดสัดส่วนบริเวณที่กังวลได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำ Thermage FLX เป็นเพียงแค่การยกกระชับผิวไม่ใช่การกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายแต่อย่างใด ดังนั้นแม้จะทำ Thermage FLX บริเวณที่กังวลก็ยังคงมีไขมันส่วนเกินอยู่ ต่างจาก CoolSculpting นั้นสามารถช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้โดยที่ไม่ทำให้ผิวย้วยเนื่องจากการลดน้ำหนักได้ ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถมีรูปร่างที่ดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องผิวที่ย้วยอีกต่อไปค่ะ
Coolsculpting vs HIFU Body
Body HIFU เทคโนโลยีกระชับผิว ด้วยพลังงาน HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อการกระชับผิวกาย ด้วยการส่งพลังงานความร้อนอุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียสไปที่เซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย และขับออกผ่านระบบการไหลเวียนของร่างกายตามธรรมชาติ โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นกับเฉพาะเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น จึงมั่นใจได้ว่าเฉพาะเซลล์ไขมันเท่านั้นที่จะถูกจัดการ และกำจัดออกจากร่างกาย
ฟังแล้ววิธีนี้อาจจะคล้ายกับการทำ CoolSculpting แต่ถ้าเทียบถึงความสะดวกสบายแล้ว CoolSculpting ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเป็นการใช้ความเย็นในการกำจัดไขมัน ต่างจาก HIFU Body ที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อแผลเบิร์นไหม้จากความร้อนได้อีกด้วย แต่ CoolSculpting นั่นความเสี่ยงต่ำ และไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเบิร์นแต่อย่างใด
Coolsculpting vs Sculpsure
Sculpture คือ เทคโนโลยีในการกำจัดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) สามารถกำจัดเซลล์ไขมันที่ในบริเวณที่กำจัดได้ยาก เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือเอว ด้วยการใช้คลื่นพลังงานเลเซอร์ ในช่วงคลื่น 1060NM ที่ทำให้เกิดความร้อน ในระดับอุณหภูมิ 42 – 47 องศาเซลเซียส เข้าไปทำให้เซลล์ไขมันตายลง ซึ่งในแต่ละครั้งที่ทำ สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ประมาณ 24 % ของไขมันทั้งหมดบริเวณนั้น ๆ แม้จะดูเหมือนให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็เช่นเดียวกับการใช้ HIFU Body ที่อาจเสี่ยงกับการเบิร์นจากความร้อนได้เช่นกัน นอกจากนี้การทำ Sculpsure ที่เป็นการใช้ความร้อนในการทำลายเซลล์ไขมันยังอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำได้
Coolsculpting vs การนวดด้วยเครื่อง
การลดน้ำหนักและสัดส่วนด้วยการนวดนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก ทว่าในความเป็นจริงแล้วการใช้เครื่องนวดเพื่อลดสัดส่วนนั้นจะช่วยได้เพียงกระชับได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการนวดด้วยเครื่องเพื่อลดสัดส่วนจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่เกิน 7 วันเท่านั้น เนื่องจากเครื่องจะปล่อยคลื่นพลังงานออกมากำจัดน้ำส่วนเกินบริเวณที่นวด เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเซลล์ไขมันไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ต่างจากการทำ CoolSculpting ที่กำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายได้จริง ด้วยการทำให้เซลล์ไขมันตายลงและขับออกจากร่างกายผ่านกลไกตามธรรมชาติ
Coolsculpting vs อดอาหาร
การอดอาหาร ถือเป็นวิธีการลดน้ำหนัก และลดสัดส่วนที่ผิด และไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เมื่อคนเราอดอาหาร สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง และจะส่งผลกระทบต่อสมอง ทำให้ความคิดวิเคราะห์แย่ลง เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องใช้กลูโคสในการทำงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงก็จะทำให้สมองทำงานได้ช้าลงตามไปด้วย นอกจากนี้ระดับน้ำตาลที่ลดลงยังทำให้เกิดอาการมึนงง อ่อนเพลีย ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และกระตุ้นความหิว และนำไปสู่ภาวะอารมณ์ฉุนเฉียวได้
ไม่เพียงเท่านั้น การอดอาหารยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญ ซึ่งถ้าหากถึงเวลารับประทานอาหารอีกครั้งก็จะรับประทานอาหารมากกว่าปกติ และมีแนวโน้มว่าจะรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น นั่นก็เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อทดแทนส่วนที่หายไป จึงต้องรับประทานอาหารมากขึ้น และทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอดอาหารแล้วน้ำหนักยังขึ้น หรือลดน้ำหนักได้ยากไม่ลงนั่นเอง
Coolsculpting vs ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เป็นวิธีที่ให้ผลยั่งยืน และดีกับร่างกาย เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยทำให้ผอมลง และรูปร่างดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้สุขภาพดีอีกด้วย อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก หรือเพื่อลดสัดส่วนก็ต้องอาศัยวินัยอย่างมาก และต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ
ได้ทราบแบบนี้แล้ว และสนใจอยากทำ CoolSculpting ที่ APEX เรามีเทคโนโลยี CoolSculpting พร้อมให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญอย่าง CoolSculpting Specialist ในทุกสาขา ทำให้ผู้เข้ารับบริการสามารถปรึกษาและขอคำแนะนำในการทำ CoolSculpting ตลอดจนถึงการดูแลตัวเองหลังจากทำ เพื่อให้ผลลัพธ์ในการทำคงอยู่ได้อย่างยาวนาน และมีความปลอดภัยสูงสุด ทำให้คุณสามารถกลับมามั่นใจในรูปร่างอีกครั้ง อวดหุ่นสวยได้โดยไม่ต้องอายใครอีกต่อไปค่ะ
ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการ ลดต้นขา ด้วย CoolSculpting
Apex Profound Beauty
- Bangkok : 066-3310-8000
- Korat : 0888-7000-43
- Phuket : 088-000-2100
- Pattaya: 087-096-1234