ลดเหนียงใต้คาง ควบคุมอาหารอย่างไรให้เหนียงหาย ?

ลดเหนียงใต้คาง
เหนียงใต้คาง คือไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่บริเวณใต้คาง และทำให้ดูเหมือนมีคางสองชั้นติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอด จนทำให้ขาดความมั่นใจในการถ่ายรูป เพราะกลัวว่าใครต่อใครจะเห็นเจ้าก้อนไขมันนี้ แต่จะ ลดเหนียงใต้คาง ก็ยากเหลือเกิน

คางสองชั้น หรือที่เราเรียกว่าเหนียงนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะของกล้ามเนื้อบริเวณใต้คาง ความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณดังกล่าว หรือแม้แต่พันธุกรรม บวกกับการที่ร่างกายของเรามีสะสมไขมันส่วนเกินที่ต่างกัน บางคนเมื่อเกิดไขมันสะสมก็อาจไปสะสมที่บริเวณอื่น ๆ ก่อน แต่บางคนแม้มีไขมันเพียงนิดเดียวก็ไปสะสมที่บริเวณใต้คางก่อน จนทำให้ดูมีคางสองชั้นได้ 

ทั้งนี้ คางสองชั้นเกิดขึ้นได้กับคนที่มีรูปร่างทุกแบบ ไม่ว่าจะอ้วน หรือผอม ก็สามารถมีไขมันสะสมบริเวณใต้คางได้ แถมบริเวณนี้ยังเป็นบริเวณที่กำจัดไขมันออกได้ยาก อย่างไรก็ตามการควบคุมอาหารก็สามารถช่วยลดการไปสะสมของไขมันส่วนเกินได้ในระดับหนึ่ง และสำหรับคนที่อยาก ลดเหนียงใต้คาง เรามี 7 เคล็ดลับง่าย ๆ ในการควบคุมอาหารเพื่อลดเหนียงใต้คางมาฝากกันค่ะ 

  • รับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากแป้งที่ผ่านการขัดสี
  • รับประทานอาหารจำพวกธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีให้มากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน หรืออาหารทอด
  • ลดการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง 
  • ลด ละ เลิกการบริโภคน้ำตาล
  • รับประทานอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาทะเล หรือถั่วเปลือกแข็งบางชนิด

นอกจากนี้การออกกำลังกายใบหน้าเป็นประจำก็สามารถช่วยลดเหนียงใต้คางได้ อีกทั้งช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระชับมากขึ้น แถมยังได้ใบหน้าเรียวและดูเด็กลงได้อีกด้วยค่ะ 

6 วิธีออกกำลังกาย ลดเหนียงใต้คาง

ท่าจูบอากาศ

ท่าจูบอากาศ เป็นท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อบริเวณคอและใต้คางที่ดี อีกทั้งยังสามารถช่วยให้เหนียงลดลงได้อีกด้วยค่ะ ซึ่งถ้าใครที่อยากลดเหนียงใต้คอ ก็ควรฝึกท่านี้ค่ะ 

วิธีฝึก 

  1. เริ่มจากการเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน แล้วทำปากจู๋เหมือนกำลังพยายามจะจูบเพดาน 
  2. เกร็งกล้ามเนื้อบริเวรใต้คางและกรอบหน้า ติดต่อกัน 15 ครั้ง จากนั้นกลับสูงท่าเดิม

ท่าดันกราม

ท่าดันกรามเป็นท่าออกกำลังกายที่คล้ายกับท่าจูบอากาศ โดยความแตกต่างของท่านี้คือจะใช้การดันกรามขึ้นด้านบนแทนการจูบค่ะ

วิธีฝึก

  1. เริ่มจากการเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อน แล้วเริ่มดันกรามและคางของเราขึ้นไปด้านหน้าให้รู้สึกตึงและเกร็ง 
  2. ค้างท่านี้ไว้ประมาณ 10 วินาที โดยในช่วงระยะเวลา 10 วินาทีนี้ ควรออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อใต้คางให้มากที่สุดค่ะ
  3. ครบ 10 วินาทีแล้วกลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง

ท่าแลบลิ้น

การแลบลิ้นสามารถช่วยลดเหนียงได้ ซึ่งท่านี้จะช่วยให้เราเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอมากขึ้น ผลที่ได้ก็คือไขมันส่วนเกินจะค่อย ๆ ลดลงค่ะ 

วิธีฝึก 

  1. มองตรงไปด้านหน้าแล้วอ้าปากกว้างให้สุด จากนั้นแลบลิ้นออกมาให้ยาวที่สุด
  2. พยายามยืดลิ้นลงไปแตะคางให้ได้ ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ค่อยเก็บลิ้นแล้วปิดปากกลับมาในท่าเริ่มต้น 
  3. ทำซ้ำ 10 ครั้ง

ท่าหมุนคอติดอก

โดยปกติแล้วเราอาจจะหมุนคอเพื่อคลายความเมื่อยล้ากันอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้เรารองเพิ่มการบริหารกล้ามเนื้อใต้คางเข้าไปก็สามารถช่วยให้คุณลดเหนียงใต้คางได้อีกด้วยค่ะ 

วิธีฝึก

  1. ก้มหน้าลงให้คางติดอกแล้วเริ่มหมุนคอไปทางขวาช้า ๆ ค้างไว้ 5 วินาที
  2. เปลี่ยนข้างเป็นหมุนไปด้านซ้ายต่อแล้วค้างไว้ 5 วินาที
  3. กลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำ 30 ครั้ง

ท่าดันลิ้นแตะฟัน

การดันลิ้นแตะฟัน เป็นอีกท่าที่ช่วยลดเหนียงได้ เพราะระหว่างที่เราใช้ลิ้นดันที่ฟันล่าง บริเวณกล้ามเนื้อใต้คางของเราจะได้รับการบริหารกล้ามเนื้อไปด้วย ช่วยให้ไขมันใต้คางลดลงได้ค่ะ

วิธีฝึก

  1. มองตรงไปด้านหน้าอ้าปากกว้าง ๆ 
  2. เอาลิ้นดันด้านในของฟันล่างพร้อมกับหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นหายใจออกแล้วออกเสียง ‘อาาาาาา’ 
  3. ทำจนครบ 1 นาที ทั้งหมด 2 เซต 

ท่าตบใต้คาง

ท่านี้เป็นท่าง่าย ๆ ที่ช่วยบริหารกล้ามเนื้อ และลดเหนียงได้โดยที่ไม่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อ หรือบริหารใบหน้าเลยล่ะค่ะ แค่เพียงตบเบา ๆ เท่านั้นเองค่ะ 

วิธีฝึก

  1. มองตรงไปด้านหน้า ใช้หลังมือตีใต้คางเบา ๆ โดยควรใช้น้ำหนักมือพอดี ๆ
  2. ทำต่อเนื่องไปประมาณ 30 วินาที ทำซ้ำจนครบ 30 ครั้ง เป็นอันเสร็จ

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยยับยั้งไม่ให้เหนียงใหญ่ขึ้นเท่านั้น หากต้องการวิธีช่วยลดเหนียงลดอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลเร็วก็อาจจำเป็นต้องทำทรีตเม้นต์เพื่อยกกระชับ หรือสลายไขมัน ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีให้เลือก ได้แก่

  • เมโสแฟต (Meso fat) คือ การฉีดสารบางชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยสลายไขมันลงในชั้นไขมัน ใต้คาง ซึ่งเป็นลดเหนียงใต้คางแบบไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งสารที่นำมาใช้ฉีดนั้นจะมีตัวยาที่ช่วยให้ไขมันแตกตัว หรือสลายตัวสลายตัวไป จากนั้นซากของเซลล์ไขมันก็จะถูกขับออกมาตามกระบวนการขับของเสียของร่างกาย และทำให้บริเวณที่ฉีดเมโสแฟตค่อย ๆ เล็กลงค่ะ 
  • อัลเทอรา (Ulthera) คือนวัตกรรมการยกกระชับผิว และลดริ้วรอย ด้วยพลังงานในรูปแบบ Microfocus Ultrasound with Visualization (MFU-V) ยิงลงลึกสู่ชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ที่เป็นชั้นผิวเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า โดยในการทำอัลเทอรา จะส่งคลื่นเสียงอัลตราซาวด์เข้มข้นความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง ยิงลงบริเวณผิวที่ต้องการ จนทำให้ชั้นผิวหนัง SMAS เกิดการหด ส่งผลให้ชั้นผิวที่หย่อนคล้อย ถูกยกกระชับ เต่งตึงขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก อีกทั้งยังช่วยให้ไขมันส่วนเกินใต้คาง ทั้งนี้ทำอัลเทอร่าเพียง 1 ครั้ง ผลลัพธ์จะอยู่นาน 1-2 ปี 
  • เทอร์มาจ (Thermage) คือนวัตกรรมการยกกระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุ (RF : Radio Frequency) ความถี่สูงเพื่อลดเลือนริ้วรอย ปรับผิวพรรณให้ยกกระชับ โดยความร้อนที่ออกจากคลื่นวิทยุมีความสม่ำเสมอ และจะถูกส่งลงสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ของไขมันและคอลลาเจน กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และสลายไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คาง ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการทำเทอร์มาจจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปีค่ะ

นอกเหนือจากวิธีข้างต้นที่แนะนำแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งทรีตเม้นต์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีการสลายไขมันที่ปลอดภัย และมีผลงานวิจัยรับรองว่าเป็นวิธีที่ได้ผลจริง วิธีที่ว่าก็คือ เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ค่ะ

CoolSculpting เทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็นที่มีจุดเริ่มต้นจากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard จากนั้นก็ได้ถูกพัฒนาต่อมาจนกลายเป็น CoolSculpting ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยกระบวนการกำจัดไขมันด้วยความเย็นของ CoolSculpting จะมีการส่งความเย็นในอุณหภูมิ -11 ถึง -13 องศาเซลเซียสลงไปที่ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และใช้เวลา 35- 45 นาที จากนั้นซากของเซลล์ไขมันที่อยู่บริเวณใต้คางจะตายลง และถูกขับออกมาผ่านกระบวนการขับของเสียงของร่างกาย และใช้เวลาประมาณ 1 – 3 เดือนก็สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่มีแผล หลังทำก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้นแต่อย่างใดค่ะ

ใครทำ CoolSculpting ได้บ้าง ?

CoolSculpting เป็นวิธีการสลายไขมันด้วยความเย็นที่เกือบทุกคนสามารถทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะส่วนต้องการลดอย่างเช่น ลดหน้าท้อง ลดสะโพก ลดต้นขา ลดต้นแขน ปีกหลังหรือแม้แต่บริเวณเล็กๆ อย่างเช่นใต้คางก็สามารถทำ CoolSculpting ได้และไม่เพียงเท่านั้นเพราะคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรที่ ต้องการกลับมามีรูปร่างที่ดี โดยไม่ต้องการเสียเวลาออกกำลังกายหนักหรือควบคุมอาหาร สามารถลดไขมันด้วยวิธีนี้ได้เช่นกัน เรียกได้ว่าแค่คุณมีไขมันสะสมคุณก็สามารถทำ CoolSculpting ได้แล้ว

แต่การทำ CoolSculpting มีข้อจำกัดอยู่เพียงเล็กน้อย ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำ CoolSculpting คือผู้ที่มีอาการแพ้ความเย็นอย่างรุนแรง มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด สตรีที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรหรือผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดบริเวณที่จะทำ CoolSculpting ควรหลีกเลี่ยงการทำไปก่อนอย่างน้อย 8 เดือนจะดีที่สุด

CoolSculpting ได้ผลไหม ?

ปัจจุบันการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting นับว่าเป็นการกำจัดไขมันที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพอย่างมากที่สุด เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการลดสัดส่วนแบบอื่นๆ ที่มีในท้องตลาด โดยในการทำแต่ละครั้ง ไขมันส่วนเกินบริเวณที่ทำจะถูกกำจัดไปประมาณ 20% จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลังจากทำไปแล้ว 2-3 เดือน เนื่องจากในสลายไขมันด้วยความเย็น เมื่อเซลล์ไขมันได้รับความเย็นในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งเป็นเวลา 35-75 นาที ก็จะทำให้เซลล์ไขมันตายลง จากนั้นบรรดาเซลล์ไขมันที่ตายจากการถูกความเย็นจะถูกกำจัดออกมาทางระบบกำจัดของเสียของร่างกาย โดยไม่ส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งยังไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหย่อนยานจากการลดสัดส่วนอีกด้วย เพราะขณะที่ร่างกายกำลังขับซากของเซลล์ไขมัน ออกมาจากร่างกาย ผิวหนังก็จะค่อยๆ ปรับสภาพตามไปด้วย 

อีกทั้งการลดสัดส่วนโดยการสลายไขมันด้วยความเย็นอย่าง CoolSculpting ยังเป็นวิธีที่ทำแล้วสามารถกลับบ้านได้เลย ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องพักฟื้นหลังจากการทำ เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บขณะทำและไม่มีบาดแผล ต่างจากการกำจัดไขมันด้วยวิธีเดิมๆ ที่อาจต้องพักฟื้นให้แผลหาย หรือต้องใส่ชุดยกกระชับเพื่อให้รูปร่างเข้าที่ ซึ่งอาจสร้างความกังวลและความรู้สึกไม่สบายใจตามมาได้เรียกได้ว่านอกจากได้ผลลัพธ์ที่ดีแล้วก็ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้ารับการรักษาได้มากขึ้นอีกด้วย

CoolSculpting กำจัดไขมันได้อย่างไร ?

CoolSculpting คือเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็น โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัย Harvard Medical School และ Massachusetts General Hospital โดย Dr. Rox Anderson และ Dr. Dieter Manstein นายแพทย์จาก Wellman Center of Photomedicine ผู้ที่มีความคุ้นเคยกับการนำพลังงานแสงมาใช้ในทางการแพทย์และภาวะ Popsicle Panniculitis ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกิดกับไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกกำจัดไปด้วยความเย็น จากการสังเกตพบว่าเด็กที่รับประทานไอศครีมแท่งและมีการอมไอศครีมไว้ที่แก้มเป็นระยะเวลานานจะทำให้แก้มของเด็กหายไป เมื่อนำมาศึกษาร่วมกับรายงานชิ้นอื่นจึงทำให้พบว่าเซลล์ไขมันเป็นเซลล์ที่ไวต่อความเย็นมากกว่าเซลล์ชนิดอื่นๆ ในร่างกาย ทำให้เมื่อได้รับความเย็นในระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็งเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง เซลล์ไขมันจะเข้าสู่ภาวะ Apoptosis ซึ่งเป็นภาวะเซลล์ที่ตายลงเอง โดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์อื่น ที่อยู่ในร่างกายและจากการศึกษาดังกล่าวทำให้เกิดแนวคิดในการนำเอาความเย็นมาใช้ในการกำจัดไขมันส่วนเกิน และได้มีการนำเอาแนวคิดเรื่องการดูดไอศครีมแท่งมาใช้ในการกำจัดไขมัน และพัฒนาจนไปสู่เทคโนโลยี CoolSculpting เหมือนในปัจจุบันนั่นเอง

โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ได้รับการรับรองจาก US FDA ว่าเป็นวิธีการใช้ความเย็นในการฆ่าเซลล์ไขมันใต้ผิวหนังด้วยการแช่แข็งและทำให้เซลล์ไขมันตายได้ โดยการทำจะมีการนำ Applicator ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษวางลงบนบริเวณที่ต้องการลดสัดส่วนและปล่อยความเย็น ในการทำแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 35–75 นาที ขึ้นอยู่กับชนิดของหัวที่ใช้ ซึ่งจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน ขณะที่เซลล์ไขมันที่ได้รับความเย็นจากการทำ CoolSculpting จะแข็งตัวและตายลง จากนั้นจะถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติและเซลล์ไขมันจะไม่กลับมายังบริเวณที่ทำอีก จึงสามารถทำให้หมดปัญหาไขมันส่วนเกินยังบริเวณที่กังวลใจได้ในระยะยาว

CoolSculpting เจ็บไหม ?

โดยทั่วไปแล้วการทำ CoolSculpting ผู้เข้ารับบริการอาจมีความรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยในช่วง 10 นาทีแรกของการทำซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัวให้สามารถทนกับความเย็น แต่เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชินกับความเย็นแล้ว ผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกสบายตัวมากขึ้น และอาจรู้สึกชาบริเวณที่ทำ ซึ่งในขณะที่ทำ CoolSculpting คนไข้สามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นนอนหลับพักผ่อน อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ หรือดูโทรทัศน์ โดยผู้เข้ารับบริการควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายชั่วคราว เพราะอาจทำให้หัวเครื่อง Applicator หลุดออกจากผิวได้นั้นเอง

CoolSculpting ทำบริเวณใดได้บ้าง ?

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็นที่สามารถทำได้เกือบทุกบริเวณของร่างกายไม่ว่าจะเป็นบริเวณใต้คาง ใต้ท้องแขน ปีกหลัง หน้าท้อง รอบเอว พุง ต้นขาด้านใน ต้นขาด้านนอก สะโพก และก้น หรือแม้แต่บริเวณแนวขอบชุดชั้นใน โดยหากสามารถบีบจับไขมันขึ้นมาได้ก็แปลว่าสามารถติดเครื่องบริเวณดังกล่าวได้ และสามารถลดได้อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามในการทำนั่นจะต้องทำโดย CoolSculpting Specialist เท่านั้น เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมและมีประสบการณ์ในการสลายไขมันด้วยความเย็นของ CoolSculpting จะสามารถให้คำปรึกษา ประเมินรูปร่าง และออกแบบรูปร่างใหม่ให้กับผู้เข้ารับบริการได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์หลังการทำได้ผลดียิ่งขึ้น และช่วยให้ผู้เข้ารับบริการได้รับความพึงพอใจสูงสุดอีกด้วยค่ะ

CoolSculpting ทำไมต้องที่ APEX ?

  • มีเคสการทำ CoolSculpting สูงที่สุดในเอเชีย
  • เจ้าแรกในประเทศไทยที่มีการทำ CoolSculpting
  • มีเคสการทำ CoolSculpting มากกว่า 10,000 เคสในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • มีการจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับ CoolSculpting มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2017–2018
  • มีผู้เชี่ยวชาญทางด้าน CoolSculpting ที่มีประสบการณ์มามากกว่า 10 ปี

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะที่ APEX เรามี Applicator ของ CoolSculpting ทุกชนิด ทำให้สามารถทำได้ทุกบริเวณที่เป็นปัญหา ซึ่งเป็นจุดเด่นที่เจ้าอื่นไม่มี อีกทั้งเครื่อง CoolSculpting ของเรายังเป็นเครื่องแท้ และเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้คุณสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการจากอุปกรณ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ในการทำ CoolSculpting ที่ APEX ผู้ที่ให้บริการทุกคนต้องผ่านการอบรมและฝึกฝนในด้านการทำ CoolSculpting จากทีมเทรนเนอร์มาอย่างเข้มข้นจนมีความเชี่ยวชาญแล้วเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น APEX ยังเป็นที่เดียวในประเทศไทยที่มีเทรนเนอร์ที่ได้รับการรับรองจาก CoolSculpting ของประเทศสหรัฐอเมริกานำทีมในการฝึกสอนและให้คำแนะนำแก่ทีม CoolSculpting Specialist ทำให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีและน่าพึงพอใจที่สุดค่ะ นอกจากนี้ APEX ยังผ่านการรับรองมาตรฐาน JCI ซึ่งยิ่งทำให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยในการรักษา และการดูแลที่ได้รับมาตรฐานตลอดการเข้ารับการรักษาอย่างแน่นอน กำจัดไขมันที่ไหนไม่ได้ผลต้องที่ APEX ตัวจริงที่หนึ่งในเอเชียค่ะ

 

ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Apex Profound Beauty

  • Bangkok : 066-3310-8000
  • Korat : 0888-7000-43
  • Phuket : 088-000-2100
  • Pattaya: 087-096-1234