หยุดความเชื่อแบบผิด ๆ ว่า “การอดอาหาร” จะสามารถลดน้ำหนักได้แล้วค่ะทุกคน การอดอาหารด้วยวิธีการแบบผิด ๆ นอกจากจะไม่ทำให้น้ำหนักลดลงแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ และอาจทำให้เกิดการ “โยโย่ เอฟเฟคต์” น้ำหนักเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงจนไม่น้ำหนักไม่สามารถลดลงได้อีกนะคะ ดังนั้น เมื่อเราจะลดน้ำหนักทั้งที ต้องลดแบบไม่ทรมาน ไม่ต้องทนหิว และไม่ต้องเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะ ด้วย 5 เทคนิค พร้อมวิธีลดน้ำหนักได้หุ่นสวย ไม่จำเป็นต้องอดอาหารค่ะ
- เป้าหมายต้องชัดเจน
“ปีใหม่นี้ ฉันจะลดน้ำหนักให้ได้เลย!” เป้าหมายของคนอยากมีหุ่นดีที่เรามักได้ยินกันบ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีน้ำหนักก็ไม่ลดลงสักที เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยตกอยู่ในสถานการณ์นี้กันมาไม่มากก็น้อย ทั้งจากความคิดและการลงมือลดน้ำหนักจริง ๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเกิดจากเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนนั่นเอง
การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนจะทำให้เรามีกำลังใจในการลดน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้เป้าหมายการลดน้ำหนักประสบความสำเร็จ หรือชัดเจนเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เรากำหนดการวางแผนลดน้ำหนักได้ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเองอีกด้วย
ซึ่งการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนนั้นไม่ใช่เพียงแค่พูดว่า “จะลดน้ำหนักให้ได้ภายในปีนี้” แต่ต้องตั้งเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนักเพื่ออะไร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสุขภาพ หรือ เพื่อรูปร่างที่ดี และจำนวนน้ำหนักที่ต้องการให้ลดลงนั้นคือเท่าไหร่ ภายในกี่เดือน ด้วยวิธีการลดน้ำหนักแบบไหนนั่นเอง หากเราทำตามเป้าหมายที่เราวางไว้ได้ ถึงแม้ไม่เสี่ยงต่อการอดอาหาร ก็สามารถลดน้ำหนักได้เร็วเช่นกัน
- สำรวจตัวเอง
เมื่อเราตั้งเป้าหมายว่าต้องการลดน้ำหนักเพื่ออะไรแล้ว สำรวจตัวเองว่าน้ำหนักของเราอยู่ในเกณฑ์ไหน เพื่อช่วยให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จ โดยไม่เสียสุขภาพ ซึ่งสามารถวัดได้จาก BMI ดัชนีมวลร่างกาย
BMI ดัชนีมวลร่างกาย (Body Mass Index) หรือการวัดดัชนีมวลร่างกาย ซึ่งเป็นเกณฑ์สากลที่สามารถประเมินความอ้วน หรือผอม สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป สามารถวัดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จากสูตรคำนวณ BMI = kg/m2
สูตรคำนวณหาดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร)2
ยกตัวอย่าง นางสาว A มีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม และสูง 158 ซม.
ดัชนีมวลกาย (BMI) = 55 ÷ (1.58)2 = 22.03
เกณฑ์มาตรฐานค่าดัชนีมวลร่างกาย
ผอมเกินไป = น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักน้อยกว่าปกติ สามารถเสี่ยงเป็นโรคได้เช่นกัน เนื่องจากการรับสารอาหารอาจไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย ควรกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน และออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
น้ำหนักปกติ = 18.5 – 22.9 น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับคนไทย จะมีค่า BMI ระหว่าง 18.5-24 ซึ่งสามารถห่างไกลโรคที่เกิดจากความอ้วน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ น้อยที่สุด
ท้วม = 23.0 – 24.90 อ้วนในระดับหนึ่ง 1 เป็นกลุ่มผู้ที่มีความอ้วนอยู่บ้าง แต่หากประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ก็ถือว่ายังมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติ
อ้วน = 30.0 ขึ้นไป อ้วนระดับ 2 ถึงแม้จะไม่ถึงเกณฑ์ที่ถือว่าอ้วนมาก ๆ แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนได้เช่นกัน ทั้งโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ควรปรับพฤติกรรมการทานอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพ
อ้วนมาก = 30.0 ขึ้นไป อ้วนระดับ 3 ค่อนข้างอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดโรคที่แฝงมากับความอ้วน ควรปรับพฤติกรรมการทานอาหาร และควรเริ่มออกกำลังกาย
- วางแผนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
- กินอาหารครบ 3 มื้อ การไม่กินอาหารเช้าทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนและไขมันไม่เพียงพอ ซึ่งโปรตีนและไขมันนี่เองเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและช่วยสร้างความอบอุ่น นอกจากนี้โปรตีนยังทำให้อิ่มท้องนาน และไขมันไขมันมีส่วนช่วยชะลอการย่อยอาหารและเพิ่มการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มนั่นเอง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้อ้วน เช่น อาหารฟาสฟู้ด ของมัน ของทอด ของเค็ม เนื้อสัตว์ส่วนที่ติดมันหรือส่วนหนัง รวมไปถึงจำกัดปริมาณการกินอาหารที่อุดมด้วยแป้ง ไขมัน และน้ำตาลด้วย เพราะน้ำตาลหากถูกเผาผลาญเป็นพลังงานได้ไม่หมดก็จะเปลี่ยนจากน้ำตาลไปเป็นไขมันและ
- กินข้าวเท่ากับเนื้อ กินผักมากกว่าข้าว เป็นการกินแบบอัตราส่วน 2:1:1:1 ใน 1 มื้อ (ผัก 2 ส่วน / คาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน / โปรตีน 1 ส่วน / ผลไม้ 1 ส่วน) ซึ่งจะให้พลังงาน 400 กิโลแคลอรี่ ช่วยลดพลังงานลงในแต่ละวันได้ 500 กิโลแคลอรี่ ใน 1 สัปดาห์สามารถลดน้ำหนักได้ครึ่งกิโลกรัม
- งดกินจุกจิก แม้จะควบคุมปริมาณอาหารเพียงใด แต่หากกินของว่างที่มีปริมาณแคลอรี่สูงและบ่อยครั้งโดยเฉพาะขนม ของทอด เค้ก ก็อาจทำให้อ้วนได้เช่นกัน
วิธีแก้
วิธีการง่ายที่สุดคือการไม่ตุนขนม เมื่อไม่มี ไม่เห็น เราก็จะไม่สามารถหยิบมากินได้ แต่หากเกิดอาการหิวและทนไม่ไหวจริง ๆ สามารถกินอาหารว่างที่มีประโยชน์ได้เหมือนกัน เช่น ไข่ต้ม แหล่งโปรตีนที่เป็นประโยชน์ แคลอรี่น้อย แถมอยู่ท้องอีกต่างหาก นอกจากนี้ไข่ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ที่มีส่วนช่วยในเรื่องการเผาผลาญพลังงานได้อีกด้วย
- ดื่มนมสูตรพร่องไขมัน แม้นมจืดจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ยิ่งเป็นนมที่ให้พลังงานมากเท่าไหร่ ไขมันก็จะมากตามไปด้วย โดยนมจืดที่นำไขมันออกบางส่วนนั้นจะมีปริมาณไขมันอยู่ถึง 8% เมื่อเทียบกับพร่องไขมันที่มีปริมาณ 0% และอย่าลืมหลีกเลี่ยงนมที่มีรสหวาน เช่น รสช็อกโกแลต รสสตอเบอร์รี่ เป็นต้น
- ต้มหรือนึ่ง การประกอบอาหารด้วยวิธีการทอด แม้ว่าจะเป็นอาหารที่มีประโยชน์อย่างปลา อกไก่ หรือ ไข่ ก็ตาม แต่น้ำมันที่ใช้ทอด หรือ แป้งที่ชุบเพื่อทำให้ทอดง่ายขึ้น อาจทำให้เราอ้วนขึ้นได้
- ทำ IF กินอาหารเย็นให้เร็วขึ้น การทำ IF เป็นการกินอาหารแบบจำกัดช่วงเวลา โดยจะกินอาหารเย็นให้เร็วขึ้น หรือไม่ควรเกิน 18.00 น. ไม่ 6 ชั่วโมง และปล่อยให้ท้องว่าง 18 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำเยอะ ๆ โดยปกติแล้ว “น้ำเปล่า” หรือ “น้ำแร่” ที่เราดื่มกันปกตินั้น ไม่มีแคลอรี่ หรือ แคลอรี่เท่ากับ 0 นั่นเอง เมื่อดื่มเป็นจำนวนมากจึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากน้ำยังมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันได้นั่นเอง เนื่องจากน้ำที่ดื่มเข้าไปจะไปช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้ลดลง จากนั้นร่างกายจะช่วยดึงไขมันและพลังงานที่สะสมอยู่ตามร่างกาย และช่วยในการเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น จึงทำให้น้ำหนักลดลงได้ น้ำช่วยให้การเผาผลาญไขมันหน้าท้องเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น
- ลดการกินอาหารบุฟเฟต์ ปัจจุบันอาหารบุฟเฟ่ต์ กลายเป็นอาหารยอดนิยมของกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ นักเรียน นักศึกษา โดยการกินบุฟเฟ่ต์ส่วนใหญ่มักจะคิดถึงความคุ้มทุน และพยายามกินอาหารให้ได้ในปริมาณที่มาก เพื่อจะให้คุ้มค่ากับราคาที่เสียไป แต่ทั้งนี้หากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ ร่างกายจะนำพลังงานส่วนเกินนั้น ไปเก็บสะสมในรูปไขมันเพื่อเป็นพลังงานสำรอง ซึ่งถ้ามีการสะสมของไขมันมากขึ้น ก็จะนำไปสู่โรคอ้วนและนำไปสู่โรคต่างๆ ได้ ดังนั้นการลดอาหารบุฟเฟ่ต์ลงบ้าง จึงเป็นเหมือนตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีมากอีกทางหนึ่งนั่นเอง
- มังสวิรัติ 1 วัน เลือกสัก 1 วันในสัปดาห์มาทานผัก ผลไม้ เพื่อเพิ่มกากใยให้กับร่างกาย และยังช่วยลดปริมาณของไขมันที่คุณทานเข้าไประหว่างสัปดาห์อีกด้วย มากไปกว่านั้น ผัก ผลไม้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อรางกายอีกด้วยนะคะ
- วางแผนออกกำลังกาย
- ออกกำลังกาย 30 นาที ควรออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที โดยผสานการออกกำลังกายทั้ง 3 แบบเข้าด้วยกัน คือ คาร์ดิโอ การใช้แรงต้าน และการยืดเหยียด ซึ่งสำหรับคาร์ดิโอจะเน้นการขยับเขยื้อนร่างกายเป็นหลัก ส่วนแรงต้านจะเป็นการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา หัวไหล่ หน้าท้อง หน้าอก เกร็งโดยใช้น้ำหนัก และแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เช่น บอดี้เวท เวทเทรนนิ่ง เป็นต้น สุดท้ายคือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อลดการบาดเจ็บและทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวดีขึ้นั่นเอง
- การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio Exercise) เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น หายใจถี่ขึ้น สามารถพูดได้เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ แต่ไม่ถึงกับเหนื่อยหอบจนเกินไป สามารถเผาผลาญไขมันได้ดีตามระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกาย ได้แก่ การวิ่ง การว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน การเต้นแอโรบิก และการเดิน
- การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Training) เป็นการออกกำลังกายเพื่อช่วยทำให้ผิวกระชับ สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อสามารถช่วยในการเผาผลาญไขมันได้ โดยจะใช้วิธีออกกำลังกายแบบเดิมหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งอาจมีหรือไม่มีอุปกรณ์ช่วยต่าง ๆ เช่น สปริงยืด ดัมเบล ก็ได้ การออกกำลังกายประเภทนี้ได้แก่ บอดี้เวท (Body Weight) หรือเวทเทรนนิ่ง (Weight Training)
- เลือกออกให้เหมาะสมกับตัวเอง
ความเข้มข้นต่ำ เป็นการออกกำลังกายที่ร่างกายจะเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องขยับร่างกายมาก เช่น การการเดิน เหมาะกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมากกว่าการลดน้ำหนัก เนื่องจากการออกกำลังกายประเภทนี้มีการใช้พลังงานขณะออกกำลังกายไม่มากนัก จึงทำให้การเผาผลาญไขมันน้อยไปด้วย ข้อดี ทำให้ลดความเสี่ยงของอาการบอกตามข้อต่อและการบาดเจ็บต่าง ๆ ได้ ไม่รู้สึกเหนื่อยมากขณะออกกำลังกาย สามารถทำติดต่อกันได้เป็นเวลานาน ทำให้มีออกซิเจนเข้าไปไหลเวียนในร่างกายมากขึ้น เลือดมีการสูบฉีดอัตราการเต้นของหัวใจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงสูบฉีดได้ดี และที่สำคัญการออกกำลังกายแบบนี้ไม่ทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ที่ส่งผลให้การเผาผลาญน้อยลง
ความเข้มข้นกลาง เป็นการออกกำลังกายในระดับที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น หายใจถี่ขึ้น สามารถพูดได้เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ แต่ไม่ถึงกับเหนื่อยหอบจนเกินไป เมื่อทำต่อเนื่องสามารถลดน้ำหนักได้ หรือเรียกว่าช่วง Fat Burn Zone เช่น การปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก วิ่ง ว่ายน้ำ ความเข้มข้นระดับนี้จึงเป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกายลดน้ำหนัก
ความเข้มข้นสูง เป็นการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายมาก ทำให้เหนื่อยสุด ๆ แต่อาจไม่ช่วยลดไขมัน เพราะเมื่อเราเพิ่มความหนักในการออกกำลังกาย ร่างกายจะต้องการน้ำตาลกลูโคสในเลือด และในกล้ามเนื้อมาเป็นแหล่งพลังงานหลัก ทำให้มีการเผาผลาญกลูโคสในเลือดมาใช้แทนที่จะเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย
- ปากกาเสกหุ่นสวย
เป็นการลดน้ำหนักด้วยสาร “ลิรากลูไทด์” ซึ่งเป็นสารเปปไทด์เลียนแบบฮอร์โมนในบริเวณลำไส้ของคนเรา ทำหน้าที่ส่งสัญญาณถึงสมองว่ากระเพาะอาหารตอนนี้เต็มแล้ว หลังจากการที่มีการรับประทานอาหารเข้าไปสารเปปไทด์เลียนแบบฮอร์โม (glucagon-like peptide-1 receptor agonist) นี้จะช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว ลดความรู้สึกหิว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักถึง 80%
ลักษณะตัวยา
ตัวยาเป็นรูปแบบปากกาพร้อมใช้ ใส่หัวเข็มที่มีขนาดเล็กที่สุด (32g หรือเท่าเส้นผม) ฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่ได้ลงลึกถึงเส้นเลือดภายในร่างกาย ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกเจ็บน้อยมาก สามารถนำกลับไปฉีดเองได้ โดยเช็ดทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ก่อนฉีดยา และอยู่ภายใต้การควบคุมโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางเท่านั้น
ระยะเวลาการรักษา
แนะนำให้ใช้ทุกวันต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน โดยจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก รอบเอว ตั้งแต่เดือนแรก แนะนำให้ใช้ร่วมกับการออกกำลังกายและควบคุมอาหารจะยิ่งเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น
จำนวนปากกาที่ต้องใช้
เดือนแรกใช้ปากกาจำนวน 3 ด้าม เดือนถัดไปใช้เดือนละ 5 ด้าม ระยะเวลา 3 เดือนใช้ทั้งหมด 13 ด้าม หากต้องการให้น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น แนะนำใช้ต่อเนื่อง 6-12 เดือนค่ะ
จากผลการวิจัย พบว่า ผู้ที่ได้รับสารเปปไทด์เลียนแบบฮอร์โมน glucagon-like peptide-1 นี้เพียงวันละครั้ง ต่อเนื่อง 4 เดือน น้ำหนักลดลงระหว่าง 5-10% และสาารถหยุดการใช้ยาได้เมื่อลดน้ำหนักได้พอใจ โดยไม่มี โยโย่ เอฟเฟกต์ และไม่มีอาการข้างเคียงเหมือนกับยาลดน้ำหนักแบบเดิม
หยุดใช้แล้วจะโยโย่ไหม
เมื่อลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายแล้วสามารถหยุดใช้ยาได้ทันที เพียงแต่เมื่อหยุดใช้ยาแล้วจะมีความรู้สึกหิวเหมือนช่วงก่อนการเริ่มใช้ยา แต่จะไม่ทำให้เกิดอาการโยโย่ เอฟเฟต์
ผลข้างเคียง
ยาได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาทั้งไทยและต่างประเทศ จึงมีความปลอดภัย ไม่มีอันตรายเหมือนยาและอาหารเสริมลดน้ำหนักตัวอื่น ๆ ตัวยาไม่ได้มีกลไกออกฤทธิ์รบกวนสารสื่อประสาท จึงไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางจิตประสาท เช่น ใจสั่น ก้าวร้าว ฝันร้าย ประสาทหลอน ตามมา
แต่อาจจะมีรู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน แก้โดยเมื่อรู้สึกอิ่มให้หยุดกินทันที ขยับตัว ลุกขึ้นเดินไปมาหลังมื้ออาหาร จิบน้ำบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงของมัน ของทอดในช่วงแรกของการใช้ยา
เหมาะกับใคร เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ควบคุมอาหารแต่ก็ยังหิว ออกกำลังกายแต่น้ำหนักก็ไม่ลดลง รวมถึงคนที่มีค่า BMI น้อยกว่า 27 ต้องการลดสัดส่วนก็สามารถใช้ได้ โดยให้คุณหมอช่วยพิจารณาในการใช้ยา
โรคประจำตัวที่ใช้ได้ ไทรอยด์ : แนะนำให้อาการของโรคไทรอยด์อยู่ในภาวะที่ stable ก่อน ความดัน โรคหัวใจ และเบาหวาน : สามารถใช้รักษาร่วมกับยาในกลุ่มโรคเรื้อรังเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยายังช่วยลดความดันเลือด น้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตามมาได้ด้วย
ไม่เหมาะกับใคร คนไข้ที่เป็นมะเร็งต่อมไร้ท่อชนิด MEN II มะเร็งไทรอยด์ คนไข้ที่มีภาวะตับ ไตบกพร่องขั้นรุนแรงค่ะ แต่โดยปกติแล้วคนไข้กลุ่มเหล่านี้จะมีน้ำหนักน้อยอยู่แล้ว
ผลจากผู้ใช้จริง
แซมมี่ ลดจริง!! หุ่นเปลี่ยน 10 กิโล ที่จากเดิมมีปัญหา
“มีส่วนเกินออกทุกส่วนแทบจะทั้งตัวเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหน้า แขนและก็ช่วงไหล่ เลยทำให้ดูตัวใหญ่มาก ๆ”
นี่เป็นปัญหาหนักใจในเรื่องสัดส่วนของคุณ แซมมี่ ซาแมนท่า เมลานี่ โค้ทส์ นักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง ซึ่งเราต่างก็รู้กันดีว่าสัดส่วนนั้นเป็นอะไรที่ลดยากมาก ๆ แถมยังต้องใช้เวลาและความอดทนอีกด้วย แต่คุณแซมมี่ก็สามารถลดได้ 10 กิโลกรัม ภายใน 2 เดือน โดยคุณแซมมี่ได้เข้าร่วมโปรแกรม 1 Week 1 kg และใช้ทรีทเมนต์อื่นร่วมด้วย
Q&A ตอบคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเปปไทด์ลดหิว
- Q: สามารถใช้ร่วมกับการทาน ketogenic/ทำ IF ได้ไหม A: ได้เลยค่ะ ตัวยาจะทำให้รู้สึกอิ่ม เพิ่มประสิทธิภาพการลดน้ำหนักร่วมกับวิธีเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ แนะนำคนไข้รับประทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยนะคะ
- Q: ที่ใช้รักษานี่คือปากกาเสกหุ่นสวย ลดน้ำหนักที่โฆษณาทั่วไปในอินเตอร์เน็ตหรือเปล่าคะ? A: ปากกาเสกหุ่นสวย เป็นตัวยาที่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักโดยตรง ได้รับอนุมัติจากอ.ย ทั้งไทย อเมริกา ยุโรป มีการศึกษาวิจัยรองรับในประสิทธิภาพและความปลอดภัยค่ะ แต่การใช้ต้องดูแลโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ถึงจะมั่นใจได้นะคะ ทางอินเตอร์เน็ตอาจเป็นของปลอม และเป็นอันตรายได้ โดยหากไม่มีการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ อาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีตามที่ลูกค้าคาดหวังค่ะ
- Q: เปปไทด์ลดหิว ต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหน A: แนะนำให้รักษาต่อเนื่อง อย่างน้อยสามเดือน เนื่องจากคนไข้จะสามารถปรับพฤติกรรมการรับประทานให้เปลี่ยนไปจากเดิมได้ ทำให้โอกาสกลับมาน้ำหนักขึ้นน้อยลง โดยจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก รอบเอว ตั้งแต่เดือนแรกคนไข้สามารถรับการดูแล แบบผสมผสาน โดยใช้เครื่องมือในการลดสัดส่วนเฉพาะจุด ให้วิตามินเพิ่มการเผาผลาญ เพื่อช่วยเร่งผลลัพธ์ และสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบไม่เหมือนใครค่ะ
- Q: ปากกาลดน้ำหนักใช้ร่วมการออกกำลังกายหนัก ๆ ได้ไหม มีผลทำให้อ่อนเพลียมั้ย หรือเกี่ยวกับการสร้างกล้ามเนื้อไหม? A: ตัวยาไม่มีผลรบกวนกลไกอื่นๆในร่างกายค่ะ ตัวยามีกลไกคือเลียนแบบฮอร์โมนความอิ่ม ที่มีตามธรรมชาติในร่างกายอยู่แล้ว ชื่อ GLP-1 ทำให้รู้สึกอิ่ม ลดความอยากอาหาร แนะนำให้ใช้ร่วมกับการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร จะยิ่งเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้นค่ะ
- Q: จะมีอันตรายเหมือนยาและอาหารเสริมลดน้ำหนักตัวอื่น ๆ ที่เคยมีมาไหม A: ตัวยาไม่ได้มีกลไกออกฤทธิ์ รบกวนสารสื่อประสาทเหมือนยาลดน้ำหนักแบบเดิมๆ จึงไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางจิตประสาท เช่น ใจสั่น ก้าวร้าว ฝันร้าย ประสาทหลอน ตามมา ยาได้รับ
- Q: วิธีการหลีกเลี่ยง/บรรเทา อาการคลื่นไส้อาเจียน A: หากรู้สึกอิ่มให้หยุดรับประทานทันที อย่าฝืนรับประทานเข้าไป ขยับตัว ลุกขึ้นเดินไปมาหลังมื้ออาหาร จิบน้ำบ่อยๆ หลีกเลี่ยงของมัน ของทอดในช่วงแรกของการใช้ยาอนุมัติจาก อ ย ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนั้นจึงมั่นใจได้เรื่องความปลอดภัย สามารถใช้ต่อเนื่องได้ยาวนาน ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ มีการศึกษาวิจัยใช้ในผู้ป่วยยาวนานถึงสามปี
- Q: คนที่ทานยาลดน้ำหนักตัวอื่นอยู่ สามารถฉีดได้ไหมคะ A: ใช้ได้ค่ะ ปากกาเสกหุ่นสวย เป็นตัวช่วยอีกกลไกการออกฤทธิ์หนึ่ง ในการช่วยทำให้น้ำหนักลงเร็วขึ้น แนะนำให้บันทึกประวัติว่ารับประทานอาหารเสริมตัวไหนอยู่ค่ะ เพราะอาหารเสริมบางชนิดอาจผสมตัวยาช่วยลดน้ำหนักที่เป็นอันตรายได้ค่ะ
- Q: ถ้าต้องฉีดที่หน้าท้องทุกวันจะไม่เกิดการติดเชื้อหรือคะ มีวิธีดูแลอย่างไร A: ยามีวิธีฉีด คือฉีดเข้าใต้ผิวหนังค่ะ ดูดซึมผ่านชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ไม่ได้ลงลึกถึงเส้นเลือดภายในร่างกาย ปกติมีตัวยาในท้องตลาดทั่วไปที่ฉีดด้วยวิธีนี้อยู่แล้ว และคนไข้นำกลับไปฉีดที่บ้านเองตลอดชีวิต เช่น อินซูลินค่ะ แนะนำให้เช็ดทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ก่อนฉีดยาค่ะ
- Q: หยุดใช้ปากกาเสกหุ่นสวยแล้วจะโยโย่ไหม A: ยาไม่ได้ทำให้โยโย่แน่นอนค่ะ เมื่อลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย สามารถหยุดใช้ยาได้ทันที เพียงแต่เมื่อหยุดใช้ยา จะมีความรู้สึกหิวที่เหมือนช่วงก่อนเริ่มใช้ยาเท่านั้นเอง หากคนไข้กลับมารู้สึกหิว หรือยังไม่สามารถปรับพฤติกรรมการรับประทานให้น้อยลงใกล้เคียงกับช่วงที่ใช้ยาเป็นตัวช่วย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ช่วยวางแผนดูแลต่อเนื่องนะคะ