อยากลีนต้องอ่าน!! 5 วิธีเผาผลาญ ลดไขมันในร่างกาย

นิยามของคำว่า “หุ่นดี” อยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคลและความพึ่งพอใจในตัวเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการมี หุ่นลีน” แต่อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการมีหุ่นลีนคือ “ไขมันส่วนเกิน” ตัวร้ายที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อมีจำนวนมากขึ้นจึงทำให้รูปร่างเปลี่ยนไปจนดูอ้วนลงพุง ลงก้น ดังนั้นการปั้นหุ่นลีน หุ่นปัง ต้องเริ่มจากการลดไขมันในร่างกายออกให้ได้มากที่สุด ด้วยวิธีเร่งการเผาผลาญให้ทำงานดียิ่งขึ้น

หุ่นลีน (Lean) หมายถึง คนที่มีรูปร่างปราศจากไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องจะมีลักษณะแบนราบ หุ่นดูเฟิร์มกระชับ สุขภาพดี เห็นกล้ามเนื้อท้องชัด อาจจะมีซิกแพคหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละบุคคล สำหรับหุ่นลีนแต่ไม่มีซิกแพคจะเป็นหุ่นที่ทำให้อยู่คงเดิมค่อนข้างยาก เพราะหากปล่อยตัวเองกินตามใจปากมากเกินไปจะทำให้ลงพุง และจะต้องมาลดไขมันในร่างกายภายหลัง แต่หากออกกำลังกายที่เน้นหน้าท้องมากเกินไป อาจจะทำให้มีซิกแพคขึ้นได้นั่นเอง 

การเผาผลาญ (Metabolism) 

เป็นระบบในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอาหารที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน เพื่อช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การนั่งอยู่นิ่งๆ ก็ต้องการพลังงานทั้งนั้น เมื่อร่างกายเผาผลาญไขมันจากอาหารเป็นพลังงานจนหมดก็จะสามารถลดไขมันในร่างกายได้

แต่หากระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ (ระบบเผาผลาญเสื่อม) ก็จะทำให้ไขมันที่เหลือจากการเผาผลาญนั้นไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลดไขมันในร่างกายเท่าไหร่ไม่ลดลงสักที

ระบบเผาผลาญที่ดีควรจะเป็นอย่างไร

หากการเผาผลาญทำงานได้อย่างมีสิทธิภาพ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น จะส่งผลเรื่องของน้ำหนักให้ไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วหรือลดลงจนมากเกินไป ส่วนผู้ที่ควบคุมอาหารอยู่ด้วยนั้นก็จะสามารถลดไขมันในร่างกาย ทำให้น้ำหนักตัวจะลดลง หลังมื้ออาหารจะไม่ทำให้มีพุงออกมา และยังทำให้สามารถใช้พลังงานทำกิจกรรมต่างๆ ได้ทั้งวัน โดยไม่ทำให้รู้สึกหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียง่าย นอกจากนี้เมื่อการเผาผลาญดีจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ด้วย

5 วิธีเร่งเผาผลาญไขมัน ปั้นหุ่นลีน

  1. กินอาหารรสเผ็ด

อาหารที่มีรสชาติเผ็ดส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบคือ “พริก” ที่ประกอบด้วยสาร Capsaicin ซึ่งทำหน้าที่เร่งการเผาผลาญให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน จึงช่วยลดไขมันในร่างกายได้ แต่ระวังการกินเผ็ดมากเนื่องจากพริกมีรสชาติเผ็ดร้อน จึงอาจส่งผลต่อกระเพาะอาหารและทำให้ปวดท้องได้

  1. น้ำ 

เมื่อดื่มน้ำเข้าไปร่างกายจะปรับอุณหภูมิให้ลดลง ทำให้ร่างกายจะต้องดึงไขมันและพลังงานที่สะสมอยู่ตามมาเผาผลาญเป็นพลังงานมากขึ้น เพื่อให้อุณห๓ูมิในร่างกายเกิดการสมดุล นอกจากนี้ น้ำยังไม่มีแคลอรี่ เมื่อดื่มเป็นจำนวนมากจึงไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย

สำหรับน้ำอื่นๆ ที่สามารถช่วยการเผาผลาญไขมันและได้รับความนิยมคือ ชาเขียว และกาแฟ เนื่องจากในชาเขียวและกาแฟจะมีสารคาเฟอีนที่สามารถเร่งการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น 29% ในคนที่หุ่นมีไขมันน้อย ส่วนคนที่มีรูปร่างอ้วนจะเผาผลาญมากขึ้น 10% ทำให้การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นตัวช่วยลดไขมันในร่างกายได้

  1. โปรตีน 

ถั่ว ไข่ อกไก่ ล้วนเป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งกล้ามเนื้อนี้เองยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็จะทำให้เพิ่มระบบการเผาผลาญมากเท่านั้น เมื่อระบบเผาผลาญดีก็จะสามารถลดไขมันในร่างกายได้นั่นเอง นอกจากนี้ ในโปรตีนยังช่วยทำให้อิ่มท้องสามารถกินเป็นของว่างได้หลากหลายเมนู เช่น ไข่ต้ม เป็นต้น

  1. การออกกำลังกาย

โดยปกติแล้วการเคลื่อนไหวร่างกายก็จะช่วยทำให้ร่างกายเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าปกติ จะกระตุ้นการเผาผลาญได้ และช่วยลดไขมันในร่างกายได้อีกด้วย ซึ่งการออกกำลังกายที่ได้ผลดีควรใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป

คาร์ดิโอ (Cardio Exercise) เป็นการออกกำลังกายที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากทำได้ง่ายๆ ที่บ้านด้วยตัวเอง เช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน การเต้นแอโรบิก และการเดิน เป็นต้น

สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Training) เป็นการออกกำลังกายที่สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อสามารถช่วยในการลดไขมันในร่างกายได้ โดยจะใช้วิธีออกกำลังกายแบบเดิมหลายๆ ครั้ง ซึ่งอาจมีหรือไม่มีอุปกรณ์ช่วยต่างๆ เช่น สปริงยืด ดัมเบล ก็ได้ การออกกำลังกายประเภทนี้ได้แก่ บอดี้เวท (Body Weight) หรือเวทเทรนนิ่ง (Weight Training)

  1. Emsculpt

เทคโนโลยีหนึ่งเดียวในปัจจุบันที่สามารถกำจัดไขมันควบคู่กับการสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการเผาผลาญพลังงาน เพียงแค่นอน 30 นาที Emsculpt ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเฉพาะเจาะจง High-In Tensity Focused Electro-Magnetic (HIFEM) ส่งพลังงานเข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเกิดการหดเกร็งถึง 20,000 ครั้งต่อการทำทรีทเมนท์ 30 นาที เทียบเท่ากับการยกเวทหนักๆ แล้วทำ Sit up ไปด้วยพร้อมๆ กัน 20,000 ครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงเราแทบจะไม่สามารถออกกำลังกายแบบนี้ได้เลย

ทั้งนี้การหดตัวของกล้ามเนื้อจะสามารถสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่ ทำให้มีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึ้น สามารถสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อให้ทนทานแข็งแรงและอยู่ได้นานขึ้น ส่งผลให้รูปร่างกระชับ มีกล้ามเนื้อหน้าท้องและซิกแพค พร้อมๆ กับการลดไขมันในร่างกาย 

ต้องทำบ่อยแค่ไหน ต้องพักฟื้นหรือไม่

Emsculpt ควรทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เหมือนกับการออกกำลังกายปกติ และสามารถทำทรีตเมนต์เพียง 4-6 ครั้งเท่านั้น จะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว ที่สำคัญไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

***ผลการวิจัย แสดงถึงความพึงพอใจต่อการรักษามากถึง 96% และโดยเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 16% และไขมันลดลง 19%

APEX SLIM ประสบการณ์กว่า 25 ปี โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเครื่อง EmSculpt จากประเทศอังกฤษด้วยเทคโนโลยี HIFEM นวัตกรรมแรกและนวัตกรรมเดียวที่มีงานวิจัยมากที่สุดถึง 20 งานวิจัยว่ารองรับ Build Muscle & Claim Fat

ปรึกษาได้ที่นี่
095-102-8585
LINE: https://line.me/ti/p/%40APEXslim
FB INBOX: http://m.me/apexslim
FB Page: https://www.facebook.com/ApexSlim