ส่องกระจกแล้วพบว่าใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยปรากฏขึ้นมา ถือว่าเป็นสัญญาณแห่งวัย ที่บ่งบอกถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อพ้นช่วงอายุ 25 ปีไปแล้ว หลายคนมักจะมีปัญหาผิวตามมา เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิว เซลล์ต่าง ๆ เริ่มเสื่อมสภาพลง เช่น การผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวแห้งกร้าน นานวันเข้าก็กลายเป็นความหย่อนคล้อย และ ริ้วรอยแห่งวัย
ซึ่งริ้วรอย ความหย่อนคล้อยสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนบนใบหน้าและลำคอ แต่จะมีอยู่ 5 จุดที่สามารถเกิดริ้วรอยได้ง่ายมาก เรียกได้ว่าเป็น 5 ริ้วรอยแห่งวัย ที่ทำให้ใบหน้าดูแก่ขึ้น ดังนั้นถ้าอยากต่อเวลาให้ผิวหน้าดูเด็กอยู่ตลอด ต้องรีบแก้ไขทั้ง 5 จุดนี้ด่วน ได้แก่
1.รอยย่นหน้าผาก
หน้าผากเป็นอีกหนึ่งบริเวณบนใบหน้าที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เพราะเวลาเราตกใจ ดีใจ หรือสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่หลายคนมักจะเลิกคิ้วขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว เมื่อทำแบบนี้เป็นประจำ กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากจะหดตัวกลายเป็นรอยย่น นานวันเข้าริ้วรอยเหล่านี้จะลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งหน้าผากยังเป็นส่วนที่โดนแสงแดดได้ง่ายมากที่สุดบนใบหน้า ทำให้ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวแห้งกร้าน คล้ำเสีย และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
2. ริ้วรอยระหว่างคิ้ว
2. ริ้วรอยระหว่างคิ้วมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราแสดงออกทางสีหน้าตอนมีอาการเครียด หรือจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน หลายคนจะเริ่มขมวดคิ้ว ซึ่งถ้าใครทำพฤติกรรมแบบนี้เป็นประจำจะทำให้เกิดเป็นรอยพับของผิวหนังบริเวณระหว่างคิ้ว กลายเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นได้เร็วขึ้น และยิ่งนานวันริ้วรอยเหล่านี้ก็จะมีความลึก เห็นได้ชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ
3. ตีนกา
บริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบาง อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่ผิวค่อนข้างแห้ง ทำให้ง่ายต่อการเกิดริ้วรอย เมื่อเราแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น การหรี่ตา ยิ้ม หัวเราะ จะทำให้กล้ามเนื้อบริเณรอบดวงตาหดตัวกลายเป็นริ้วรอย หรือที่เรามักเรียกว่า ตีนกา ได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนั้นการขยี้ตา เช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาแรง ๆ ก็สามารถทำให้เกิดริ้วรอยได้เช่นกัน เพราะผิวได้รับการเสียดสี ส่งผลให้รอบดวงตายิ่งแห้ง และบอบบาง จนเกิดปัญหาริ้วรอยได้เร็วขึ้นอีกด้วย
4. ริ้วรอยรอบปาก
4. ริ้วรอยรอบปากบริเวณรอบ ๆ ริมฝีปากก็สามารถเกิดริ้วรอยได้เช่นกัน เพราะเป็นส่วนที่มีการขยับและเคลื่อนไหวบ่อยที่สุด ทั้งทานอาหาร พูดคุย ยิ้ม หัวเราะ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานหนัก จนหดตัวกลายเป็นริ้วรอยเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดริ้วรอยรอบปากได้ง่าย เช่น การสูบบุหรี่
5. รอยย่นที่คอ
เดี๋ยวนี้เรียกได้ว่าเป็นสังคมก้มหน้า ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน แทบทุกคนต้องต้องก้มลงเล่นมือถือ ซึ่งการก้มหน้านานแบบนี้เองที่ทำให้เกิดรอยพับที่คอได้ง่าย เมื่อทำพฤติกรรมแบบนี้ทุกวันเป็นเวลาก็จะกลายเป็นรอยย่นที่คอที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งบริเวณลำคอเป็นจุดที่หลายคนมักละเลยที่จะทาครีมกันแดด และคริมบำรุง ทำให้เป็นส่วนที่ขาดการบำรุง ริ้วรอยจึงตามมาได้ง่ายขึ้น
แก้ปัญหาริ้วรอย – หย่อนคล้อย ด้วยโบท็อกซ์ Botox
สำหรับใครที่มีปัญหาริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะปัจจุบันมีวิธีแก้ปัญหาริ้วรอยให้ลดเลือนลงไปได้แบบง่าย ๆ แถมยังเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และ รวดเร็วอีกด้วย นั่นก็คือ การฉีดโบท็อกลดริ้วรอย (Botox) ซึ่งถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ปัญหาริ้วรอยเป็นอย่างมาก ช่วยให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึง ดูเด็กลงได้อีกครั้ง
โดยการฉีดโบท็อกลดริ้วรอย จะใช้สารโบทูลินัม ท็อกซิน ชนิดเอ (Botulinum Toxin A) เหมือนกับการฉีดโบท็อกลดกราม ฉีดเข้าไปบริเวณที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอย เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อมัดที่หดตัวอยู่ให้เกิดการคลายตัว และทำงานได้ลดลงชั่วคราว ส่งผลให้ริ้วรอยที่เห็นได้ชัด ลดเลือนลง ผิวเรียบตึงมากขึ้น เมื่อผิวไร้ริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าจึงดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย
การฉีดโบท็อก Botox เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ รวดเร็วที่สุด เพราะสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของผิวที่กลับมาเรียบเนียน ไร้ริ้วรอยได้ในช่วงประมาณ 2-3 วันหลังฉีด และผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่นานถึง 6-8 เดือนอีกด้วย ซึ่งเราสามารถกลับมาฉีดโบท็อกซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ยาวนานขึ้นได้ แต่แนะนำว่าให้เว้นระยะห่างจากการฉีดครั้งแรกประมาณ 3-4 เดือน ไม่ฉีดถี่ ติดกันมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดการดื้อสารโบท็อกได้
ซึ่งหลายคนอาจจะมีคำถามว่า การฉีดโบท็อกเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วแบบนี้ ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะอันตรายหรือไม่? ตอบได้เลยว่าถ้าเป็นโบท็อกซ์ที่ผ่านการยอมรับจาก อย. ไม่อันตรายแน่นอน เพราะโบท็อกถือว่าเป็นตัวช่วยแก้ปัญหารูปหน้า และลดริ้วรอย ที่มีความปลอดภัยมาก เนื่องจากตัวยาโบท็อกสามารถสลายตัวไปได้เอง และไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย แต่ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกกับคลินิกไหน ต้องเลือกให้ดีก่อนนะคะ โดยเลือกจากคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ว่าใช้โบท็อกของแท้ พร้อมด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำการฉีดให้กับเราเท่านั้น
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย ฉีดส่วนไหนได้บ้าง
โบท็อกจะออกฤทธิ์ต่อบริเวณที่เป็นกล้ามเนื้อ ซึ่งการฉีดโบท็อกลดริ้วรอยสามารถฉีดได้ทั่วใบหน้าที่มีปัญหารอยย่นเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น
- รอยย่นหน้าผาก
- ริ้วรอยระหว่างคิ้ว
- ริ้วรอยรอบดวงตา – ตีนกา
- รอยย่นสันจมูก
- ริ้วรอยรอบปาก – เส้นร่องแก้ม
- รอยพับบริเวณคาง
- รอยย่นที่คอ
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ ให้ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์ ดูเด็กลง เพิ่มความมั่นใจกับเราได้มากขึ้น
- เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วทันใจ ภายใน 2-3 วัน
- ช่วยป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต เนื่องจากช่วงเวลาที่โบท็อกออกฤทธิ์ กล้ามเนื้อทำงานได้น้อยลง จึงเกิดรอยพับที่จะกลายเป็นริ้วรอยได้น้อยลงตามไปด้วย
- ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว และ ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดเสร็จสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที
- เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โบท็อกหลายยี่ห้อมีงานวิจัยรับรอง เช่น โบท็อกของอเมริกา (Allergan) โบท็อกของเยอรมัน (Xeomin)
- ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ แถมในปัจจุบันยังมีโบท็อกให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ
ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย
- การฉีดโบท็อกไม่สามารถให้ผลลัพธ์แบบถาวรได้ ซึ่งตัวสารโบท็อกจะอยู่ได้ชั่วคราวประมาณ 6-8 เดือนเท่านั้น
- ถ้าฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น หน้าแข็ง ดูไม่เป็นธรรมชาติ เพราะฉีดในปริมาณเยอะเกินไป เป็นต้น
ปัญหาริ้วรอย ที่ทำให้ใบหน้าดูแก่ มีอายุ สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดโบท็อกลดริ้วรอย ถือเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ที่สุด สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด สำหรับใครที่สนใจการฉีดโบท็อก แนะนำว่าให้เลือกฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้อที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และฉีดกับคลินิกที่เชื่อถือได้ ว่าใช้โบท็อกแท้ และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการรักษาให้ เพื่อผลลัพธ์ที่ออกมามีประสิทธิภาพ มีความเป็นธรรมชาติ ใบหน้าไม่แข็งตึง และปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายในระยาวอีกด้วย
