รอยแผลเป็นจากสิวหรือรอยสิวเป็นปัญหาที่พบบ่อยสำหรับเป็นสิวส่วนใหญ่การรักษามีได้หลากหลายวิธี เช่นเลเซอร์รอยสิว ทายาลดรอยสิว โดยรอยแผลเป็นเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างรักษาสิวหรือหลังการรักษาสิว รวมถึงการรักษาสิวผิดวิธี เช่น บีบสิว แกะสิว โดยพฤติกรรมเหล่านี้จะทิ้งรอยแผลเกิดขึ้นบนใบหน้าหรือร่างกาย โดยอาจมีตั้งแต่รอยแดงหรือดำไปจนถึงรอยแผลเป็นจากสิวที่รุนแรงมากขึ้น สุดท้ายก็ส่งผมต่อความมั่นใจ บุคลลิกภาพของเราอีกด้วย
ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกหลุมสิวประเภทต่าง ๆ รวมถึงสาเหตุ และวิธีการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เพื่อน ๆ หมดกังวลเกี่ยวกับเรื่องสิว ๆ กัน
รอยสิวคืออะไร เกิดจากอะไร
รอยสิวเกิดจากกระบวนการอักเสบของผิวหนังหลังสิวหาย รอยสิวสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ รอยดำ และรอยแดง
-
รอยดำ (Post-inflammatory hyperpigmentation) เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไปในบริเวณที่เกิดการอักเสบของสิว สาเหตุของการเกิดรอยดำอาจมาจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม ฮอร์โมน แสงแดด การบีบสิว การแพ้ยารักษาสิว เป็นต้น
-
รอยแดง (Post-inflammatory erythema) เกิดจากหลอดเลือดฝอยขยายตัวบริเวณที่เกิดการอักเสบของสิว รอยแดงมักเกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหายแล้วไม่นาน มักหายไปเองภายในเวลาประมาณ 3-6 เดือน แต่หากรอยแดงเป็นมากหรือหายช้าอาจต้องรักษาด้วยเลเซอร์หรือการรักษาอื่น ๆ
- รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิวที่รุนแรง ส่งผลให้เนื้อเยื่อผิวบริเวณนั้นถูกทำลายหรือสูญเสียไป ทำให้ผิวหนังไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มรูปแบบ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมบนผิวหนัง สิวที่มีโอกาสทำให้เกิดรอยหลุมสิว ได้แก่ สิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง สิวหัวหนอง สิวชนิดที่ติดเชื้อแบคทีเรียลึกๆ ลงไปในชั้นผิวหนัง
วิธีรักษารอยสิวให้หายขาด ไม่ให้กลับมาเป็นอีก
1. รักษาด้วยยาทาภายนอก
ยาทาภายนอกมีอยู่หลากหลายประเภทด้วยกัน แนะนำให้เลือกใช้ยาทาภายนอกที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยดำ และรอยแดงจากการเกิดสิว ดังนี้
- วิตามินซี ช่วยบรรเทารอยแดง รวมถึงการอักเสบที่เกิดจากสิว
- วิตามินบี 3 ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว ลดรอยแดง และการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเติมเต็มความชุ่มชื้นที่จำเป็นให้กับผิว
- เรตินอยด์ มีส่วนช่วยลดผลิตเม็ดสีในเซลล์ผิว ส่งผลให้จุดด่างดำดูจางลงในที่สุด อย่างไรก็ตาม ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- อาร์บูติน (Arbutin) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ มีประสิทธิภาพในการลดจุดด่างดำที่เกิดจากสิวหรือการอักเสบของผิวหนังได้
2. เลเซอร์รักษาสิว , เลเซอร์รอยสิว
การรักษาด้วยเลเซอร์รอยสิวเป็นทางออกที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนสำหรับการรักษารอยสิว การเลเซอร์รอยสิว สามารถรักษาจุดด่างดำ รอยแดง และการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาด้วยเลเซอร์จะแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังในแต่ละชั้นได้อย่างล้ำลึก แม้ว่าจะต้องทำหลายครั้งและต้องใช้เงินลงทุนก็ตาม แต่รอยดำ รอยแดง และรอยสิวของเราจะหายไปในที่สุด ตัวอย่างการรักษาที่นิยมได้แก่ Plasma Bright , Q-switched เป็นต้น
รีวิวการทำ Plasma Bright
และสำหรับผู้ที่เป็นสิวอยู่แล้ว และไม่ต้องการให้เกิดรอยสิวขึ้นบนใบหน้า แนะนำให้ดูแลสุขภาพผิวของตนเองง่าย ๆ ดังนี้
- ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
- หลีกเลี่ยงการบีบสิว เพราะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รอยสิวหายช้าและเกิดรอยแผลเป็น
- ทาผลิตภัณฑ์รักษาสิวตามคำแนะนำของแพทย์
- หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะแสงแดดทำให้รอยสิวเข้มขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำให้เพียงพอ
สุดท้ายนี้สำหรับเรื่องปัญหารอยสิวอาจแตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล ซึ่งกระบวนการรักษาของแต่ละบุคคลอาจมีความแตกต่างกันค่ะ หากเพื่อน ๆ กำลังเผชิญกับปัญหาสิวบนใบหน้า เราขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือทักมาสอบถามกับ Apex ได้ตลอดเลยค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาผิวหน้าของเพื่อน ๆ ลุกลามบานปลายและส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วยนั่นเอง
บทความแนะนำ
- เป็นสิวที่คอทำอย่างไร รักษาวิธีไหนให้หายขาด
- สิวที่คางเกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษาไม่ให้กลับมาเป็นอีก
- 5 วิธีแก้หลุมสิว เปลี่ยนหน้าปรุ หน้าพัง เป็นผิวเรียบเนียน