รอยสิว หลุมสิว แผลเป็นทิ้งรอยจากสิว ที่ควรรู้ !!

ปัญหาเรื่องสิว ที่ใครคงไม่อยากเจอ แม้พยายามหลีกเลี่ยงเท่าไหร่ก็ตาม เพราะสิวเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจากฮอร์โมน แสงแดด มลภาวะ ความเครียด กรรมพันธ์ ความสะอาดหรือการแพ้ต่างๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน COVID-19 ทำให้หลายๆ คนเกิดอาการระคายเคือง แพ้หน้ากากอนามัยจนเกิดเป็นสิวได้

นอกจากนี้ปัญหาที่ตามมาคือ ปัญหารอยสิวและหลุมสิว ที่หลายคนพากันกุมขมับกับปัญหาที่แก้ยากนี้หากเราเอาใจใส่ และรักษาสิวอย่างดี แผลเป็นจากสิวหรือหลุมสิวก็มีโอกาสลดลงได้ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงวิธีการรักษา เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับลักษณะของแผลเป็นจากสิว

แผลเป็นจากสิว

เกิดจากผิวหนังชั้นนอกสุดหรือชั้นหนังกำพร้าได้รับความเสียหายแล้วส่งผลไปถึงชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป ทำให้เกิดการฟื้นฟูสภาพผิวด้วยการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวขึ้นมาใหม่ จึงเกิดแผลเป็นในลักษณะหลุมสิว และรอยแผลเป็น ซึ่งแผลเป็นจากสิว มี 4 ประเภทด้วยกัน

  1. รอยแดง (post-inflammatory erythema) เกิดจากอาการอักเสบของผิว ทำให้เกิดการกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้นจนเกิดเป็นรอยแดง 
  2. รอยดำ (post-inflammatory hyperpigmentation) เกิดหลังจากรอยแดง ถ้าหากแกะหรือบีบสิวจะทำให้เกิดการอักเสบและเป็นรอยดำ โดยส่วนใหญ่จะเกิดกับคนที่มีผิวสีเข้ม
  3. แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) คือเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ยกนูนขึ้น เมื่อสิวเกิดการอักเสบผิวจะผลิตเนื้อเยื่อขึ้นภายในบาดแผล จึงทำให้เกิดความหนานูนขึ้นบนผิวหนัง
  4. หลุมสิว (atrophic scar) เกิดขึ้นหลังจากการเกิดสิวอักเสบที่ชั้นผิวหนังแท้ ทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย จึงเกิดการยุบตัวของผิวหนัง หากมีการอักเสบรุนแรงและเป็นเวลานาน จะเพิ่มโอกาสให้เกิดการยุบตัวของผิวหนังและกลายเป็นหลุมได้มากขึ้น

ประเภทของหลุมสิว

  1. Icepick scar เป็นรอยหลุมลึกมาก เป็นหลุมแคบประมาณ 2 มิลลิเมตร
  2. Boxcar scar ลักษณะคล้ายกล่อง เป็นหลุมกว้างประมาณ 4–5 มิลลิเมตร มีความลึกอยู่ในระดับปานกลาง กินความลึกแค่ชั้นผิวเท่านั้น ยังไม่ลึกถึงรูขุมขน 
  3. Rolling Scar เป็นหลุมตื้น มีความกว้างของปากหลุมประมาณ 1–4 มิลลิเมตรไม่มีขอบ

วิธีรักษาหลุมสิว                            

ในปัจจุบันการรักษาหลุมสิวนิยมการใช้เลเซอร์ เพราะเป็นวิธีที่ได้มาตรฐานและเห็นผลชัดเจน เลเซอร์จะทำให้เกิดการบาดเจ็บในระดับที่พอดี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่เกิดขึ้น 

  1. เลเซอร์ชนิดมีแผล (ablative laser) หลังทำเลเซอร์มักมีสะเก็ดแผลอยู่นานประมาณ 1 อาทิตย์ หลังจากนั้นผิวหนังจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นสู่ภ­าวะปกติ แต่ควรควรหลีกเลี่ยงแสงแดด การดูแลค่อนข้างยุ่งยาก มีโอกาสเกิดรอยดำหรือฝ้าค่อนข้างมาก เช่น กลุ่ม carbondioxide laser, Fraxel
  2. เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (non ablative laser) สามารถกระตุ้นการสร้างคลอลาเจนได้ หลังการรักษาสามารถทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนปกติในทันที แต่ยังไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร เช่น Yag laser
  3. semiablative หรือ fractional laser การทำลายผิวส่วนบนด้วยลำแส­งที่ลงไปเป็น column ขนาดเล็ก ทำให้การหายของแผลเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน โอกาสเกิดรอยดำและแผลเปิดบนผิวน้อยกว่าเลเซอร์แบบ Ablative Laser แต่ผิวหน้าจะต้องใช้เวลาในการพักฟื้น 1-2 เดือน เช่น กลุ่ม Fractional RF (E-matrix, Dermatrix)

การรักษาสิวที่ดีต้องเอาใจใส่ตั้งแต่การรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้เกิดสิวเพิ่ม เมื่อเป็นสิวแล้วควรรีบทำการรักษาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นแผลเรื้อรัง แต่หากใครที่เป็นแผลเป็นจากสิวแล้วต้องการรักษาแบบให้ได้ผลชัดเจน ไม่ต้องกังวลไปที่ APEXClear เรามีเลเซอร์ หลุมสิวที่ช่วยรักษาหลุมสิว และเลเซอร์ รอยสิวที่ช่วยรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรักษาที่หลากหลายรูปแบบที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับโลก

☞ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

Line@ https://lin.ee/wB4l0p0

Inbox: m.me/apexclear