5 ข้อควรรู้ เมื่อต้องใส่หน้ากากอนามัยออกกำลังกาย

สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เราต้องใช้ชีวิตแบบ New Normal ด้วยการเว้นระยะห่างและสวมใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะอยู่ตลอดเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลานี้ ส่งผลกับการใช้ชีวิตประจำวันพอสมควร โดยเฉพาะการลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย ที่ทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่เหมือนก่อน

 

จากการทดลองสวมหน้ากากอนามัย แบบที่เป็นทรง 3D mask วิ่งบนลู่วิ่ง ของแพทย์หญิง นิษฐา เอิ้ออารีมิตร แพทย์ชำนาญพิเศษด้านอายุรศาสตร์ โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเอกชัย 

 

หน้ากากมีผลกับการออกกำลังกายอย่างไร

  1. รู้สึกอึดอัด

โดยปกติแล้วการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาก็สร้างความอึดอัด หายใจลำบากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าใส่หน้ากากอนามัยออกกำลังกายแล้ว ก็จะทำให้อึดอัด หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายแต่ไม่มาก อาจทำให้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ปอดและหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับแต่ละบุคคลและชนิดของหน้ากากที่สวมใส่ ทำให้หายใจได้ยากขึ้น 

 

  1. ป้องกันเชื้อโรคได้น้อยลง

นายแพทย์ลูวิส ฟิลิปเป้ บูเลต ศาสตราจารย์ด้านโรคปอดและหัวใจ มหาวิทยาลัยลาวาว แคนาดา เผยว่า การสวมใส่หน้ากากอนามัยขณะออกกำลังกาย จะทำให้เหงื่อไหลออกมาสะสมที่หน้ากากอนามัยจนเกิดการเปียกชื้นและไปกระตุ้นการสร้างสารคัดหลั่งในโพรงจมูกได้ ซึ่งหน้ากากอนามัยที่เปียกชื้นจะส่งผลให้การป้องกันเชื้อโรคมีประสิททธิภาพลดลงได้ 

 

  1. ออกซิเจนในเลือดต่ำลง

การใส่หน้ากากอนามัยขณะออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายไม่สามารถรับออกซิเจนเข้าปอดได้เต็มที่ ส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือด (PaO2) ลดต่ำลงเรื่อย ๆ โดยการออกกำลังกายในช่วง Zone 2 ควรพักเปิดหน้ากากอนามัยหายใจและกินน้ำ เพื่อไม่ให้ออกซิเจนในเลือดต่ำลง ส่วนการออกกำลังกายในช่วง Zone 3​ ใส่หน้าากากอนามัยออกกำลังกายแล้ว เนื่องจาก มีโอกาสทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจ

 

  1. หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ

พบว่าอัตราการเต้นของหัวใจ สูงกว่าปกติ ประมาณ 5-10 ครั้งต่อนาที ในแต่ละช่วงเวลา ไม่แนะนำให้คนที่มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงสูงต่อโรคปอด โรคหัวใจ ผู้สูงอายุ มาใส่หน้ากากออกกำลังกายแบบนี้ หรือแม้แต่คนหนุ่มสาวที่ร่างกายแข็งแรงแต่อาจมีอาการโรคหัวใจซ่อนอยู่ โดยจะส่งผลให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน

 

  1. เลือกหน้ากากให้เหมาะสม
  • หน้ากากผ้า หายใจสะดวกที่สุด ซึ่งควรเลือกหน้ากากผ้าที่ทำจากวัสดุที่ระบายความชื้นได้เป็นอย่างดี และควรมีความหนาไม่เกิน 2 ชั้น แต่หน้ากากผ้าจะป้องกันฝุ่นและไวรัสได้น้อยที่สุด 
  • หน้ากาก N95 ทำให้รู้สึกอึดอัดมากที่สุด และเหนื่อยง่ายกว่าปกติ  จึงไม่เหมาะสมสำหรับการใส่ออกกำลังกาย
  • หน้ากากอนามัยทางการแพทย์  ส่งผลต่อการหายใจในระหว่างออกกำลังกายได้เช่นกัน นอกจากนี้ เหงื่อที่ออกมานั้นทำให้หน้ากากเปียก จึงลดความสามารถในการป้องกันได้ 

 

Emsculpt เทคโนโลยีหนึ่งเดียวในปัจจุบันที่สามารถกำจัดไขมันควบคู่กับการสร้างกล้ามเนื้อ  ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเฉพาะเจาะจง High-In Tensity Focused Electro-Magnetic (HIFEM) ส่งพลังงานเข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเกิดการหดเกร็งถึง 20,000 ครั้งต่อการทำทรีทเมนท์ 30 นาที เทียบเท่ากับการยกเวทหนัก ๆ แล้วทำ Sit up ไปด้วยพร้อม ๆ กัน 20,000 ครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงเราแทบจะไม่สามารถออกกำลังกายแบบนี้ได้เลย 

ทั้งนี้การหดตัวของกล้ามเนื้อจะสามารถสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่ ทำให้มีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึ้น สามารถสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อให้ทนทานแข็งแรงและอยู่ได้นานขึ้น ส่งผลให้รูปร่างกระชับ มีกล้ามเนื้อหน้าท้องและซิกแพค พร้อม ๆ กับการเผาผลาญไขมันและการทำลายเซลล์ไขมัน 

 

ต้องทำบ่อยแค่ไหน ต้องพักฟื้นหรือไม่

Emsculpt  ควรทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เหมือนกับการออกกำลังกายปกติ และสามารถทำทรีทเมนท์เพียง 4-6 ครั้งเท่านั้น ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว ที่สำคัญไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

*** ผลการวิจัย แสดงถึงความพึงพอใจต่อการรักษามากถึง 96% และโดยเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 16% และไขมันลดลง 19%

 

APEX SLIM ประสบการณ์กว่า 25 ปี โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเครื่อง Emsculpt ได้รับการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัย US FDA Approved ย่อมาจาก Food and Drug Administration ซึ่งเรามีเครื่อง Emsculpt มากที่สุดในประเทศไทย และมีประสบการณ์ทำเคสมากที่สุดเช่นกัน

 

👉ปรึกษาลดน้ำหนักและสัดส่วนทักแชท
𝐂𝐎𝐍𝐓𝐀𝐂𝐓 𝐔𝐒
▪️𝐓𝐞𝐥 : 095-102-8585
▪️𝐋𝐢𝐧𝐞 : https://line.me/ti/p/%40APEXslim
▪️𝐅𝐚𝐜𝐞𝐛𝐨𝐨𝐤: https://www.facebook.com/ApexSlim
▪️𝐖𝐞𝐛𝐬𝐢𝐭𝐞 : https://www.apexslim.com/