ออกกำลังกายลดน้ำหนักอย่างไร ให้เหมาะกับวัย แถมลดน้ำหนักได้เร็ว 

ออกกำลังกายลดน้ำหนัก ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงการออกกำลังกายอย่างไรถึงจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ควรจะต้องคำนึงถึงช่วงอายุว่าเหมาะกับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักนั้น ๆ หรือไม่ เพื่อที่จะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ให้ส่งกระทบกับสุขภาพสำหรับช่วงอายุนั้น ๆ ด้วย

 

ช่วงอายุมีความสำคัญกับการออกกำลังกายลดน้ำหนักอย่างไร

การลดน้ำหนักแต่ละช่วงอายุมีข้อจำกัดทั้งการเผาผลาญพลังงาน และความแข็งแรงของร่างกายที่แตกต่างกัน โดยเมื่ออายุมากขึ้นกล้ามเนื้อจะลดลงส่งผลให้ประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญทำงานได้ต่ำลง และความแข็งแรง ความอึดในการออกกำลังกายก็จะน้อยลงเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่ ดังนั้น การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย ควรจะมีประเภทและปริมาณในการออกกำลังกายที่เหมาะกับช่วงอายุนั้น ๆ 

 

การออกกำลังกายสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญษของร่างกาย โดยก่อนที่เราจะไปรู้ว่าเราต้องออกกำลังกายประเภทไหน เรามาดู “อัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกาย (BMR)” ของอายุเรากันก่อนดีกว่าค่ะ 

 

อัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกาย (Basal Metabolic Rate : BMR) 

เป็นอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน ในขณะที่พักผ่อน โดยร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เป็นอัตราการเผาผลาญพลังงานขั้นต่ำ ซึ่งเป็นพลังงานที่ถูกใช้ไปเพื่อรักษาระดับการมีชีวิต ใช้ควบคุมระบบอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานปกติหรืออยู่ในภาวะคงที่ เช่น การเต้นหัวใจ การย่อยอาหาร การหายใจ เป็นต้น 

 

อัตราความต้องการเผาผลาญของร่างกายนี้ คิดเป็นร้อยละ 50-80 โดยผู้ชายจะมีอัตราการเผาผลาญวันละประมาณ 1,700 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิงมีอัตราการเผาผลาญวันละประมาณ 1,400 กิโลแคลอรี่ โดยจะมีความแตกต่างกันไปจากหลายปัจจัย เช่น เพศ น้ำหนัก อายุ เป็นต้น

 

ผู้ชาย BMR = (10 × น้ำหนักเป็น kg) + (6.25 × ความสูงเป็น cm) − (5 × อายุ) + 5

ผู้หญิง BMR = (10 × น้ำหนักเป็น kg) + (6.25 × ความสูงเป็น cm) − (5 × อายุ) − 161

 

วัย 20 ปี

วัย 20 ปี มีความพร้อมทั้งด้านความแข็งแรงของร่างกายและอัตราการเผาผลาญที่ปกติ แต่อุปสรรคของการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักของวัย 20+ คือความรู้สึกที่ไม่อยากออกกำลังกาย รูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะกับช่วงวัยนี้จึงเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้รู้สึกสนุกสนาน เช่น การเต้น กีฬารักบี้ กิจกรรมพายเรือ 

 

วัย 30 ปี

วัย 30 ปี เป็นช่วงที่ต้องทำงานอย่างหนัก และไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักมากนัก การออกกำลังกายที่เหมาะกับช่วงนี้จึงเป็นการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง 80% เช่น การวิ่งเร็วและการปั่นจักรยาน การออกกำลังกายประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา เพราะสามารถทำได้ภายใน 20 นาที

 

วัย 40 ปี

คนส่วนใหญ่เริ่มลดน้ำหนักในวัย 40 ปี การออกกำลังกายแบบใช้แรงต้านเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญแคลอรี่เพื่อต่อต้านการสะสมไขมันและย้อนกลับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ 3-8 % การฝึกความต้านทาน 10 สัปดาห์ สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญขณะพัก 7% และลดน้ำหนักไขมันได้ 1.8 กก.

  • ลองเคตเทิลเบลล์หรือเริ่มโปรแกรมการฝึกด้วยน้ำหนักในยิมของคุณ
  • เริ่มวิ่ง หากคุณยังไม่ได้วิ่ง และอย่ากลัวที่จะเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายที่เข้มข้นกว่านี้ คุณจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากขึ้นด้วยการวิ่งกับการเดิน
  • พิลาทิสมีประโยชน์ในการสร้างความแข็งแกร่งของแกนกลางลำตัวเพื่อป้องกันอาการปวดหลัง ซึ่งมักจะเริ่มในทศวรรษนี้

 

วัย 50 ปี

ในทศวรรษนี้ อาการปวดเมื่อยอาจเกิดขึ้นและอาการเรื้อรังเช่น เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหลอดเลือดหัวใจ อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงในสตรีวัยหมดประจำเดือน ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้น

  • ทำการฝึกความแข็งแรงสัปดาห์ละสองครั้งเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อของคุณ
  • แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแบกน้ำหนัก เช่น การเดิน เดินเร็วพอเพื่อให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นและเหงื่อออก
  • ลองสิ่งที่แตกต่างออกไป ไทเก็กสามารถเป็นเลิศสำหรับความสมดุลและการผ่อนคลาย

 

วัย 60 ปี

ในช่วงวัยนี้หลาย ๆ คน มีโรคเรื้อรังสะสม เช่นที่พวกเขาได้รับเก่าและอายุเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญสำหรับโรคมะเร็ง การออกกำลังกายในระดับสูงสามารถช่วยป้องกันมะเร็งได้ เช่น มะเร็งเต้านมหลังวัยหมดประจำเดือน มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งในมดลูก และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวานชนิดที่ 2

การออกกำลังกายมักจะลดลงตามอายุ ดังนั้นจงกระตือรือร้นและพยายามรับมือกับแนวโน้มนี้

  • ลองเต้นรำบอลรูมหรือการเต้นรำรูปแบบอื่น เป็นวิธีที่สนุกและเข้ากับคนง่ายในการออกกำลังกาย
  • รวมการออกกำลังกายความแข็งแรงและความยืดหยุ่นสองครั้งต่อสัปดาห์ แอโรบิกในน้ำเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาความแข็งแรงโดยใช้น้ำเป็นความต้านทาน
  • รักษาการออกกำลังกายของหัวใจและหลอดเลือดเช่นการเดินเร็ว

 

ตัวช่วยลดน้ำหนัก แบบไม่ต้องออกกำลังกาย

Emsculpt เป็นทคโนโลยีหนึ่งเดียวในปัจจุบันที่สามารถกำจัดไขมันควบคู่กับการสร้างกล้ามเนื้อ ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเฉพาะเจาะจง High-In Tensity Focused Electro-Magnetic (HIFEM) ส่งพลังงานเข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเกิดการหดเกร็งถึง 20,000 ครั้งต่อการทำทรีทเมนท์ 30 นาที เทียบเท่ากับการยกเวทหนัก ๆ แล้วทำ Sit up ไปด้วยพร้อม ๆ กัน 20,000 ครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงเราแทบจะไม่สามารถออกกำลังกายแบบนี้ได้เลย 

ทั้งนี้การหดตัวของกล้ามเนื้อจะสามารถสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่ ทำให้มีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึ้น สามารถสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อให้ทนทานแข็งแรงและทำให้กล้ามเนื้อกลับมาชิดกันมากขึ้น ส่งผลให้รูปร่างกระชับ มีกล้ามเนื้อหน้าท้องและซิกแพค พร้อม ๆ กับการเผาผลาญไขมันและการทำลายเซลล์ไขมัน 

 

ต้องทำบ่อยแค่ไหน ต้องพักฟื้นหรือไม่

Emsculpt  ควรทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เหมือนกับการออกกำลังกายปกติ และสามารถทำทรีทเมนท์เพียง 4-6 ครั้งเท่านั้น ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว ที่สำคัญไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

 

*** ผลการวิจัย แสดงถึงความพึงพอใจต่อการรักษามากถึง 96% และโดยเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 16% และไขมันลดลง 19%

APEX SLIM ประสบการณ์กว่า 25 ปี โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเครื่อง Emsculpt ได้รับการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัย จากองค์กรอาหารและยาของประเทศอมเริกา (US FDA Approved ย่อมาจาก Food and Drug Administration) ซึ่งเรามีเครื่อง Emsculpt มากที่สุดในประเทศไทย และมีประสบการณ์ทำเคสมากที่สุดเช่นกัน

 

👉ปรึกษาลดน้ำหนักและสัดส่วนทักแชท
𝐂𝐎𝐍𝐓𝐀𝐂𝐓 𝐔𝐒
▪️𝐓𝐞𝐥 : 095-102-8585
▪️𝐋𝐢𝐧𝐞 : https://line.me/ti/p/%40APEXslim
▪️𝐅𝐚𝐜𝐞𝐛𝐨𝐨𝐤: https://www.facebook.com/ApexSlim
▪️𝐖𝐞𝐛𝐬𝐢𝐭𝐞 : https://www.apexslim.com/