“ลดแป้ง ลดคาร์บ ผอมแน่” คำพูดที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ และเป็นวิธีการที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ โดยการลดแป้งเป็นวิธีการที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง เนื่องจากแป้งจะให้พลังงานสูง หากกินในปริมาณมากก็จะทำให้อ้วนได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กินแป้งเลย เพราะจะทำให้เราขาดพลังงาน แต่เราเพียงแค่เลือกว่าแป้งแบบไหนควรลด แป้งแบบไหนควรกิน เท่านั้น
แป้งทำให้อ้วนอย่างไร
แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า “คาร์บ” ซึ่งจะให้พลังงานสูง โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเมื่อเรากินอาหารประเภทแป้งเข้าไปแป้งนั้นจะถูกย่อยเป็นน้ำตาลและส่งไปเป็นพลังงานตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่หากเรากินมากเกินความต้องการของร่างกายต่อวัน น้ำตาลส่วนที่เหลือก็จะถูกแปรสภาพกักเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองในรูปแบบของไขมัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราอ้วนขึ้นนั่นเอง
พลังงานคาร์โบไฮเดรตที่ต้องการต่อวัน
ในแต่ละวันเราต้องการคาร์โบไฮเดรต 3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อย เช่น หากเราน้ำหนัก 50 กิโลกรัม เราจะต้องการคาร์โบไฮเดรตต่อวัน 150 กรัม
โดยการจะควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย เราจะต้องมีวิธีการเลือกอาหารประเภทแป้ง ว่าแป้งแบบไหนควรลด แป้งแบบไหนควรกิน
แป้งแบบไหนควรลด
แป้งที่เป็น “คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว” หรืออาหารประเภทแป้งที่ผ่านกระบวนการขัดสี หรือผ่านกระบวนการแปรรูป ทำให้มีน้ำตาลและพลังงานสูง แต่ใยอาหารน้อย ส่งผลให้ร่างกายจะเร่งการผลิตอินซูลิน ทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้น นอกจากนี้ พลังงานและน้ำตาลที่ได้มากเกินไปจนร่างกายเผาผลาญได้ไม่หมด จะถูกนำไปเก็บเป็นพลังงานสำรองในรูปแบบไขมันส่วนเกิน
มีอยู่ในแป้งและน้ำตาลที่ผ่านการขัดสี เช่น น้ำตาลทรายขาว ข้าวขาว ขนมปังขาว และขนมที่ทำจากแป้งแพนเค้ก ขนมเค้ก พาสต้าขัดสี คุกกี้ ซีเรียล พาย วาฟเฟิล น้ำผลไม้อน้ำหวาน ลูกอม ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม นม เป็นต้น
แป้งแบบไหนควรกิน
แป้งที่เป็น “คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน” หรืออาหารประเภทแป้งที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสี จึงทำร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ โดยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะให้พลังงานสูง แต่ให้แคลอรี่น้อย มีไฟเบอร์สูง ทำให้รู้สึกอิ่มอยู่ท้อง ไม่รู้สึกหิวบ่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกายได้ดีระดับน้ำตาลในเลือดน้อย
มีอยู่ในแป้งและน้ำตาลไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ถั่วถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ธัญพืช ผักใบเขียว พืชที่มีฝัก เผือก มัน ฟักทอง โฮลวีท โฮลเกรน เรียลและพาสต้า เป็นต้น
ตัวช่วยลดน้ำหนัก
ปากกาลดน้ำหนัก Slim Shape
เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุด “เปปไทด์ลดหิว” Liraglutide สารโปรตีนสกัดเลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกจากลำไส้หลังการทานอาหาร เพื่อส่งสัญญาณความอิ่มไปที่สมองประมาณ 3-5 นาที
กลไกการออกฤทธิ์ของ Slim Shape
สมองส่วนกลาง : ทำให้รู้สึกไม่หิว อิ่มนาน ทนน้อย
กระเพาะอาหาร : ย่อยและดูดซึมได้นานขึ้น เพราะหลังทานอาหาร ลำไส้เล็กจะหลั่ง GLP-1 ออกมา เพื่อส่งสัญญาณความอิ่มไปที่สมอง โดยจะออกฤทธิ์ 24 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน สามารถลดความหิวและความอยากอาหาร ทำให้ทานได้น้อยลง
ตับอ่อน : ผลิตฮอร์โมนอินซูลินดึงน้ำตาลเข้าเซลล์ Slim Shape ช่วยการหลั่งฮอร์โมนนี้มีคุณภาพดีขึ้น
ผลลัพธ์หลังการใช้ Slim Shape
สามารถเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ลดความอยากอาหาร ทำให้ไม่รู้สึกหิวน้อยลง สามารถควบคุมอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักถึง 80% เมื่อใช้ต่อเนื่องเพียง 4 เดือน น้ำหนักลดลง 5-10% นอกจากนี้ ยังสามารถลดไขมันในช่องท้อง (Visแeral Fat) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคแทรกซ้อนและอันตรายจากความอ้วน
Slim Shape เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีทวลกาย BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 30
- ผู้ที่พยายามจะลดน้ำหนักด้วยยาลดน้ำหนักแล้วไม่เห็นผล
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ๆ หรือการทาน IF และต้องการลดพฤติกรรมการกินจุบจิบ
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง
- ผู้ที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป
โยโย่ เอฟเฟค
เมื่อลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย สามารถหยุดใช้ยาได้ทันที โดยจะไม่ทำให้เกิดอาการ “โยโย่ เอฟเฟค” เหมือนกับยาลดน้ำหนักแบบเดิม เพียงแต่เมื่อหยุดใช้ยาแล้วจะมีความรู้สึกหิวเหมือนช่วงก่อนการเริ่มใช้ยา
ความปลอดภัย
ยาได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาทั้งไทยและต่างประเทศ จึงมีความปลอดภัย ไม่มีอันตรายเหมือนยาและอาหารเสริมลดน้ำหนักตัวอื่น ๆ ตัวยาไม่ได้มีกลไกออกฤทธิ์รบกวนสารสื่อประสาท จึงไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางจิตประสาท เช่น ใจสั่น ก้าวร้าว ฝันร้าย ประสาทหลอน ตามมา