ไขมันมีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร จะมีวิธีกำจัดอย่างไร?

ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เริ่มมองว่าไขมันป็นอวัยวะ และมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง มีผลต่อขบวนการเผาผลาญและสะสมไขมันในร่างกาย

ไขมันมีหน้าที่หลักๆ อยู่ 2 ประการ คือ สะสมพลังงานส่วนเกินเพื่อที่ร่างกายจะสามารถนำมาใช้เมื่อหิว และอีกหน้าที่คือผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญพลังงาน พูดง่ายๆ ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไขมันแบบไหนมีประโยชน์ และแบบไหนเป็นโทษ? เราจะจัดการกับไขมันที่เป็นศัตรูร้ายได้อย่างไร? ไปดูกันเลยค่ะ

Brown Fat : ไขมันสีน้ำตาล ไขมันที่ช่วยให้ผอม

เมื่อไม่นานมานี้ไขมันสีน้ำตาลเริ่มเป็นที่สนใจของนักวิจัย และมองว่านี่เองอาจเป็นคำตอบของการช่วยลดไขมันสะสมให้กับคนที่เป็นโรคอ้วน ไขมันสีน้ำตาลจะทำหน้าที่ในการเผาผลาญพลังงาน และให้ความร้อนกับร่างกาย คนที่มีสัดส่วนไขมันชนิดนี้สูงมีแนวโน้มจะอ้วนได้ยากกว่าคนที่มีไขมันชนิดนี้ต่ำ

White Fat : ไขมันสีขาว

ไขมันสีขาวมีหน้าที่ในการกักเก็บพลังงาน และผลิตฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือด มีจำนวนมากกว่าไขมันสีน้ำตาลอย่างมาก มันจะสร้างฮอร์โมนที่ดีที่ชื่อว่า adiponectin ซึ่งทำให้ตับและกล้ามเนื้อ ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นขบวนการในการปกป้องร่างกายตามธรรมชาติจากการมีน้ำตาลมากเกินในกระแสเลือด

Subcutaneous Fat : ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง

ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous Fat) คือไขมันที่อยู่บริเวณใต้ชั้นผิวหนัง เป็นไขมันที่เราสามารถจับขึ้นมาแล้วเป็นก้อนๆ ตามผิวหนังนั่นเอง สามารถใช้เครื่องวัดไขมันบีบที่ผิวหนังเพื่อบอกปริมาณไขมันที่มี (total body fat) ของร่างกายได้

ในทางสุขภาพแล้วไขมันใต้ผิวหนังในบริเวณต้นขาและสะโพกไม่ได้มีอันตราย หรือสร้างปัญหาให้กับสุขภาพเท่ากับไขมันในบริเวณหน้าท้อง และไขมันที่อยู่ลึกกว่าที่เรียกว่า Visceral fat

Visceral-diagram-660x400

 

Visceral Fat : ไขมันรอบอวัยวะ

Visceral Fat คือ ไขมันที่อยู่ลึกลงไป จะหุ้มห่ออยู่รอบอวัยวะและสร้างปัญหาให้กับสุขภาพอย่างมาก เป็นจุดเริ่มต้นของความผิดปกติของฮอร์โมนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญในร่างกาย และโรคเรื้อรังต่างๆ ไม่จำเป็นว่าต้องอ้วนแล้วถึงจะมีไขมันชนิดนี้ แต่คนอ้วนโดยเฉพาะคนที่อ้วนลงพุง รูปร่างแบบแอปเปิ้ลจะมีไขมันชนิดนี้แน่นอน

Visceral Fat นั้นจะลดได้ยากกว่าไขมันใต้ชั้นผิวหนัง การอดอาหารนั้นไม่ได้เป็นการช่วยลดไขมัน แต่กลับจะทำให้มีโอกาสอ้วนมากขึ้นด้วยซ้ำ

ทำความรู้จักกับวิธีทางการแพทย์ที่ได้รับ U.S. FDA Approved ในการกำจัดไขมันแต่ละแบบ

  1. Zerona

ทำลายไขมันชั้นลึกบริเวณในและรอบอวัยวะ (Visceral Fat)

จะใช้พลังงานเลเซอร์ฉายผ่านผิวหนัง เพื่อทำลายผนังเซลล์ไขมัน และทำให้ไขมันกลายเป็นของเหลว ซึ่งจะถูกดูดซึมและขับออกจากร่างกายในรูปของของเสีย ได้รับ U.S. FDA Approved

  1. Venus Legacy

หรือ 4D RF เทคโนโลยีล่าสุดในการกำจัดเซลลูไลท์

เซลลูไลท์ Cellulite เป็น เซลล์ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ที่อยู่ในชั้นผิวหนังแท้ และแทรกขึ้นในผิวด้านบนจับตัวกันเป็นก้อน ไม่เรียบเนียน มีลักษณะขรุขระคล้ายผิวเปลือกส้ม

Venus Legacy เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีการผสมผสานหลากหลายเทคโนโลยี ส่งพลังงานความร้อนผ่านผิวหนังได้ลึกถึง 3.75 เซนติเมตร และยังคงอุณหภูมิไว้ที่ชั้นใต้ผิวได้เป็นระยะเวลานาน เนื่องจากการเก็บรักษาอุณหภูมิชั้นผิวให้อยู่ในระดับที่ 39 – 42 องศาเซลเซียส ได้นานกว่า 5 นาที ทำให้เซลล์ไขมันเกิดการสลายตัวและเผาผลาญได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ในบริเวณที่ทำการรักษามีการไหลเวียนและเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดเซลลูไลท์ แก้ไขปัญหารอยแตกลาย และช่วยยกกระชับผิวให้ผิวเรียบเนียน

  1. Body Tite

by Apex ครั้งแรกที่การดูดไขมันทำให้ผิวเรียบตึง

Body Tite หรือ RF assisted liposuction ใช้พลังงาน RF แบบเดียวกับที่ใช้ในการยกกระชับหน้า พลังงาน RF ไม่เพียงแต่ลงไปสลายผนังเซลล์ไขมันทำให้เอาไขมันออกได้ง่ายและนุ่มนวล ไม่ทิ้งรอยช้ำหรือทำให้ผิวเป็นคลื่น แต่ยังลงไปเปลี่ยนโครงสร้างและปัจจัยทางชีวเคมีในบริเวณนั้น ทำให้ขณะที่กำลังสลายไขมันก็จะได้ผลเป็นการกระชับผิวไปพร้อมๆ กัน รวมถึงขจัด Cellulite ไปด้วย

BodyTite สามารถจัดการกับไขมันได้ทุกส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เกิดการห้อยย้อยของผิวเมื่อไขมันลดลง เช่น หน้าท้อง ใต้ท้องแขน คาง ต้นขาด้านใน นับเป็นครั้งแรกที่การดูดไขมันทำให้ผิวเรียบตึงกับลดสัดส่วนที่ต้องการไปพร้อมๆ กัน

Body Tite ยังเป็นเครื่องมือเดียวในการดูดไขมัน ที่สามารถฟื้นฟูคอลลาเจนส่วนลึกได้ ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น ทำให้โอกาสที่ไขมันจะกลับมาสะสมใหม่ยากกว่าการดูดไขมันแบบเดิมๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

LINE : http://line.me/ti/p/%40apexbeauty