ขอบตาดำ รอยคล้ำรอบดวงตา นอกจากจะมองดูแล้วไม่สวยงาม ยังส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อย โทรม อ่อนล้า ไม่สดใส แถมยังทำให้ดูมีอายุได้อีกด้วย หลายคนจึงพยายามหาตัวช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาให้จางลง
ซึ่งปัญหารอยคล้ำรอบดวงตานี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ ภูมิแพ้ อายุที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรายังส่งผลให้เกิดปัญหาขอบตาดำได้อีกด้วย เช่น การอดนอน การขยี้ตาแรง ๆ ดังนั้นเคล็ดลับในการบอกลาขอบตาดำ จึงไม่ใช่แค่การบำรุงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเองด้วย
1.ห้ามอดนอน
การพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับการซ่อมแซมในขณะที่นอนหลับ จึงทำให้ระบบภายในต่าง ๆ ทำงานได้แย่ลง ส่งผลต่อทั้งร่างกายและผิวพรรณ นอกจากจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้แล้ว ยังทำให้ใบหน้าดูโทรม อ่อนล้า ไม่สดใส รวมถึงขอบตาดำคล้ำขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบที่มาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เราควรนอนให้ครบอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ผิวสวย สดใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว
2. ปรับพฤติกรรม
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณรอบดวงตา เช่น การขยี้ตา หรือการเช็ดเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาแรง ๆ เพราะการสัมผัสผิวรอบดวงตาแรง ๆ แบบนี้ นอกจากจะทำให้ริ้วรอยถามหาแล้ว ยังทำให้เกิดความดำคล้ำได้อีกด้วย เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้มีความบอบบาง เมื่อมีอะไรมากระทบแรง ๆ จะทำให้เส้นเลือดดำขยายตัว ส่งผลให้ขอบตาดำคล้ำขึ้นนั่นเอง ดังนั้นควรสัมผัสผิวบริเวณนี้อย่างเบามือที่สุด
3. ทาอายครีมเป็นประจำ
ผิวบริเวณรอบดวงตามีความบอบาง ดังนั้นจึงสามารเกิดปัญหาได้ง่าย ซึ่งการทาอายครีมเป็นประจำ สามารถช่วยให้ผิวบริเวณรอบดวงตามมีความชุ่มชื้น ผิวแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยรอบดวงตา และสำหรับคนที่มีปัญหาขอบตาดำ การเลือกอายครีมที่มีส่วนผสมในกลุ่มของไวท์เทนนิ่ง เช่น อาร์บูติน วิตามินซี ก็สามารถช่วยให้ผิวรอบดวงตามีความกระจ่างใสได้มากขึ้น
4. มาสก์ผิวรอบดวงตา
4. มาสก์ผิวรอบดวงตาถึงจะทาอายครีมเป็นประจำอยู่แล้ว แต่การมาสก์ผิวรอบดวงตา นอกจากจะช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยปรับสภาพผิวบริเวณนี้ให้กลับมาสุขภาพดีขึ้นได้ ซึ่งสูตรในการมาสก์ใต้ตาก็มีให้เลือกเยอะมาก เราอาจจะใช้ผัก ผลไม้ที่มีอยู่ในบ้านมามาสก์ใต้ตาทิ้งไว้ได้ เช่น แตงกวา มะเขือเทศ ถุงชา ฯลฯ วิธีนี้คนผิวแพ้ง่ายก็สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นของที่มาจากธรรมชาติ ดังนั้นจึงช่วยลดการระคายเคืองผิวลงได้ดีเลยทีเดียว
5. ประคบเย็น
การประคบเย็นสามารถช่วยลดอาการบวมช้ำให้ลดน้อยลงได้ สำหรับใครที่ตื่นนอนแล้วผิวรอบดวงตามักจะมีอาการบวมช้ำ ลองนำช้อนไปแช่เย็น แล้วนำออกมาประคบรอบดวงตาดูนะคะ จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น สดใส อาการบวมช้ำที่ทำให้ผิวบริเวณนี้ดูดำคล้ำลดน้อยลงได้
6. แต่งหน้าช่วยได้
การแต่งหน้าเป็นวิธีที่สามารถกลบจุดบกพร่องบนใบหน้าได้ดีมาก สำหรับคนที่ใต้ตาคล้ำ คอนซีลเลอร์ เป็นไอเทมที่ต้องมีติดตัวไว้เลย โดยเคล็ดลับในการใช้คอนซีลเลอร์กลบความคล้ำใต้ตา ก็คือการทาลิปสติกโทนสีแดงบริเวณใต้ตาบาง ๆ เป็นเบสก่อน เนื่องจากโทนสีนี้สามารถแก้สีคล้ำให้จางลงได้ จากนั้นค่อยทาคอนซีลเลอร์สีที่สว่างกว่าผิว 1 เฉดทับไปอีกหนึ่งรอบ เพียงเท่านี้ใต้ตาก็ดูสว่างขึ้นได้แล้ว
7. ฉีดฟิลเลอร์ครั้งเดียวจบ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการใช้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA ฉีดเข้าไปเติมเต็มบริเวณใต้ตา ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ ร่องน้ำตาลึก ถุงใต้ตา รวมถึงริ้วรอยใต้ตาเล็ก ๆ ให้จางลงได้ ส่งผลให้ใบหน้ากลับมาสดใส ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
โดยผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีดเสร็จ บริเวณใต้ตาจะมีความเรียบเนียนมากขึ้น ริ้วรอย ความหมองคล้ำดูจางลง ผลลัพธ์นี้คงอยู่ได้ถึง 18-24 เดือนเลยทีเดียว ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องของความอันตรายเลย ถ้าได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ประเภทชั่วคราว สามารถสลายตัวไปได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ภายในร่างกายอีกด้วย ถือว่าเป็นวิธีช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างรวดเร็ว และ มีความปลอดภัยอีกด้วย
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- เห็นผลลัพธ์เร็ว : การฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที แถมไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เลย บางรายอาจจะมีอาการบวมได้บ้างเล็กน้อยจากเข็มที่ใช้ฉีด แต่ภายใน 2-3 วันก็จะหายเป็นปกติ
- ร่องใต้ตาตื้นขึ้น : ตาโหล เบ้าตาลึก มีร่องใต้ตา ปัญหาเหล่านี้มาจากกระดูกและไขมันมีการฝ่อตัวลง ซึ่งฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มให้ผิวที่ยุบตัวลงไปกลับมาเรียบเนียน ร่องลึกดูตื้นขึ้นได้
- รอยคล้ำใต้ตาจางลง : เมื่อใต้ตาเป็นร่องลึก จะยิ่งส่งผลให้ใต้ตาดูคล้ำขึ้น ดังนั้นเมื่อร่องใต้ตาถูกเติมเต็มให้ตื้นขึ้น ปัญหาขอบตาดำ รอยคล้ำใต้ตาจึงดูลดน้อยลงตามไปด้วย
- ริ้วรอยใต้ตาลดเลือนลง : อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ ผิวรอบดวงตาจะดูเรียบเนียน และมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ จางลง
- แก้ปัญหาถุงใต้ตา : ฟิลเลอร์สามารถฉีดให้ผิวที่มีความหย่อนคล้อย ถุงใต้ตาเล็ก ๆ ยกกระชับขึ้นได้ ใต้ตาจึงดูเต็มอิ่ม เรียบเนียนมากขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา และ การฉีดไขมันใต้ตา มีขั้นตอนในการรักษา รวมไปถึงผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกัน ดังนี้
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ใช้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ในการฉีดเข้าไปเติมเต็มใต้ตา ซึ่งมีความปลอดภัยต่อร่างกาย และสารนี้สลายเองได้ตามธรรมชาติ
- เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันที ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- หากต้องการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์สามารถฉีดเติม หรือ นำตัวฟิลเลอร์ออกด้วยการฉีดสลายได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
- ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ และสามารถคงอยู่ได้นานกว่า 1-2 ปีเลยทีเดียว
ฉีดไขมันใต้ตา
- เนื่องจากต้องใช้ไขมันของเราเองในการฉีดปรับใต้ตา ดังนั้นอาจจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และเจ็บตัวหลายครั้งในการดูดไขมันออกมา
- มีการผ่าตัดดูดไขมันออกมาก่อนนำไปฉีดใต้ตา ดังนั้นจึงต้องมีการพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์
- การฉีดไขมัน ไม่สามารถฉีดสลายออกได้ ดังนั้นต้องระวังไม่ให้ฉีดเข้าเส้นเลือด
- ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี แต่อาจจะไม่เห็นผลตั้งแต่การทำครั้งแรก จึงต้องกลับมาทำซ้ำหลายครั้ง
- เมื่อมีการดูดไขมัน อาจจะทำให้เกิดปัญหาผิวไม่เรียบขึ้นได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีความปลอดภัยสูงกว่า ไม่ต้องเจ็บตัวหลายครั้ง สามารถเห็นผลลัพธ์ชัดเจนได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมีประสิทธิภาพ เราควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ และใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพ
ปัญหาขอบตาดำ รอยคล้ำรอบดวงตา แม้ว่าจะดูไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่สามารถทำให้ใบหน้าของเราโทรมลง และดูแก่กว่าวัยได้เลยทีเดียว ดังนั้นถ้าใครมีปัญหาใต้ตาอย่าปล่อยไว้ ลองทำตามทั้ง 7 เคล็ดลับที่ได้แนะนำไป รับรองว่าใต้ตาจะดูสดใสขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าใครต้องการเห็นผลลัพธ์แบบรวดเร็วทันใจตั้งแต่ครั้งแรก การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือว่าตอบโจทย์มากที่สุดเลยค่ะ
