5 เคล็ดลับ ลดน้ำหนักหลังผ่าคลอด แบบปลอดภัย

อย่าปล่อยให้หุ่นพัง ๆ หลังคลอดลูกน้อยมาสร้างความกังวลใจให้กับคุณแม่ ลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดสามารถทำได้ แต่ควรระมัดระวัง และรู้เวลาการลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้แผลผ่าตัดนั้นฉีกขาด เราจึงมี 5 เคล็ดลับ ลดน้ำหนักหลังผ่าคลอด แบบปลอดภัย มาฝากกัน หากคุณแม่ไม่อยากมานั่งกังวลในวันที่น้ำหนักขึ้นจนลดลงได้ยากแล้ว ต้องลดเลย!!  

 

โดยปกติแล้วน้ำหนักของคุณแม่จะลดลงทันทีหลังคลอดประมาณ 4-5 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักที่ลดลงนั้นมาจากน้ำหนักของลูกน้อย รก และน้ำคร่ำ นั่นเอง หลังจากนั้นน้ำหนักของคุณแม่จะค่อย ๆ ลดลง จากการขับน้ำที่เคยสะสมอยู่ออกไปออกจากร่างกายในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดลูกน้อย แล้วน้ำหนักจะลดลงตามพฤติกรรมการกินและการลดน้ำหนักของเรา

 

เริ่มลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดควรทำเมื่อไหร่

การควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักคุณแม่หลังคลอดสามารถเริ่มทำได้เลย แต่การเริ่มบริหารร่างกายเพื่อลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดนั้น คุณแม่สามารถเริ่มทำได้ตอนที่แผลผ่าตัดแห้งสนิทแล้วประมาณ 1-2 เดือน ตามดุลพินิจของแพทย์ เนื่องจากการผ่าคลอดเป็นกาารผ่าตัดใหญ่ หากลดน้ำหนักด้วยการขยับร่างกายมากเกินไป อาจทำให้แผลฉีกขาดและเกิดการติดเชื้อได้ 

 

5 เคล็ดลับ ลดน้ำหนักหลังผ่าคลอด แบบปลอดภัย

  1. ห้ามอดอาหาร 

อยากลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดแบบปลอดภัย ต้องไม่ลดน้ำหนักแบบผิดวิธีด้วย “การอดอาหาร” เพราะถึงแม้ว่าการอดอาหารจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ก็จริง แต่น้ำหนักที่ลดนั้นคือ “น้ำ” ไม่ใช่ “ไขมัน” ทำให้น้ำหนักจะลดลงได้เพียงชั่วคราวและจะกลับขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้การอดอาหารยังทำให้ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องใช้เพื่อให้น้ำนมในการเลี้ยงลูกน้อย และยังทำให้เกิดการ “โยโย่เอฟเฟกต์” เหวี่ยงขึ้น ๆ ลง ๆ ของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ได้อีกด้วย

 

การอดอาหารจะทำให้คุณแม่เกิดความเครียดหรือการวิตกกังวลได้ ซึ่งจะส่งผลให้การเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และความเครียดจะทำให้ร่างกายยับยั้งการหลั่งเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทการควบคุมความหิวในร่างกาย จะส่งผลให้อยากอาหารเพิ่มมากขึ้น  

 

หากคุณแม่หลังผ่าคลอดเกิดความรู้สึกหิวในระหว่างวัน แล้วกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงก็อาจทำให้อ้วนได้ แต่ถ้าอดอาหารจนปล่อยให้ท้องว่างก็คงไม่ดี ดังนั้น ให้คุณแม่ควรเลือกกกินอาหารที่มีประโยชน์ เป็นของว่างแทนได้ เช่น โยเกิร์ต หรือผลไม้น้ำตาลน้อย 

 

โยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ หากกินในปริมาณที่พอดีจะทำให้ไม่อ้วน และในโยเกิร์ตยังมีส่วนประกอบของโปรตีนช่วยทำให้อิ่มท้อง ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันได้นั่นเอง นอกจากนี้ ในโยเกิร์ตยังมีโพรไบโอติกส์ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถสลายน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตได้ ทำให้ร่างกายไม่สะสมพวกแป้งและน้ำตาลไว้ในรูปของไขมัน สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ และกระตุ้นการขับถ่าย จึงช่วยให้ลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดและทำหน้าท้องลดลงอีกด้วย

ผลไม้

ผลไม้มีคุณประโยชน์มากมายและสามารถช่วยลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดได้ แนะนำให้กินก่อนอาหารโดยเน้นกินผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงเนื่องจากช่วยทำให้อิ่มท้อง และหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสชาติหวานมาก เนื่องจากผลไม้ที่มีความหวานจะมีน้ำตาลในปริมาณมาก หากกินเข้าไปและเผาผลาญเป็นพลังงานได้ไม่หมด ร่างกายก็จะเปลี่ยนน้ำตาลนั้นเป็นไขมันแล้วไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนั่นเอง

 

  1. อยู่ไฟหลังคลอด

การอยู่ไฟเป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนไทย โดยเน้นการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการคลอดลูกเป็นหลัก สามารถช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน ทำให้ร่างกายฟื้นตัวและแข็งแรงเร็วยิ่งขึ้น จึงสามารถช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่มีแรงได้ นอกจากนี้ ยังสามารถควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย และช่วยทำให้น้ำนมไหลมากขึ้น การอยู่ไฟยังช่วยทำให้ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น ลดคราบไคล รอยด่างดำ จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และสามารถช่วยลดน้ำหนักหลังผ่าคลอด สามารถลดการบวม ลดหน้าท้อง จากการขยายตัวให้ลดลงและช่วยทำให้กระชับมากขึ้น 

 

การอยู่ไฟมีวิธีการมากมาย ทั้งแบบดั้งเดิม แบบสมัยใหม่ และแบบร่วมสมัย ซึ่งเป็นแบบที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งหลัก ๆ จะประกอบไปด้วย การอาบน้ำสมุนไพร การประคบอิฐและหม้อเกลือ ประคบท่าเข้าตะเกียบ เข้ากระโจม 

 

เริ่มอยู่ไฟได้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ลดน้ำหนักหลังผ่าคลอด สามารถเริ่มอยู่ไฟหลังจากผ่าคลอดแล้ว 30-45 วัน เนื่องจากต้องรอให้แผลผ่าตัดแห้งสนิทเสียก่อน

 

ต้องอยู่ไฟนานเท่าไหร่

โดยปกติแล้วระยะเวลาในการอยู่ไฟที่ช่วยให้การลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดเห็นผลลัพ์ได้ชัดเจนมากที่สุดคือ 7-15 วัน แต่หากคุณแม่หลังคลอดมีความจำเป็น หรือเกิดอาการป่วยจนต้องหยุดก่อนถึง 15 วัน แนะนำให้ทำโดยใช้เวลาประมาณ 5-10 วัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นฟูให้เข้าสู่สภาวะปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

 

ข้อห้ามสำหรับการอยู่ไฟมีดังนี้

ห้ามกินดื่มเย็นอย่างน้อยเป็นเวลาประมาณ 3 เดือนเพื่อให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นให้มากเพื่อบำรุงน้ำนม และห้ามกินของหมักดอง หรืออาหารที่ทานแล้วแสลงแผล นอกจากนี้ ควรอาบน้ำอุ่นถึงอุ่นจัดเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนดี

 

  1. ให้นมลูก

ช่วงการให้นมลูกร่างกายจะผลิตฮอร์โมน “ออกซิโตซิน” (Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้แม่หลั่งน้ำนม และสามารถช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้นและหิวน้อยลงอีกด้วย

 

จากงานวิจัย ได้วิเคราะห์ข้อมูลของแม่ตั้งครรภ์ประมาณ 740,000 คน พบว่า การให้นมลูกจะสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน โดยการให้นมลูกจะใช้แคลอรี่ประมาณ 500 ต่อวัน หรือเทียบเท่ากับการออกกำลังกาย 1 คอร์ส เมื่อร่างกายเกิดการเผาผลาญมากขึ้น ก็จะลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดได้

 

การให้นมลูกจะทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนเพลีย เนื่องจากลูกน้อยมีความหิวและต้องการนมแม่บ่อยครั้งต่อวัน หรือวันละ 8-10 ครั้ง แม้แต่เวลากลางดึกก็ตาม ดังนั้น แม่หลังผ่าคลอดที่ให้นมลูกต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ และหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อไม่ทำให้ร่างกายไม่เกิดอาการอ่อนเพลีย 

 

  1. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นวิธีลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดที่ค่อนข้างเร็ว หากออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยช่วงเวลาที่ออกกำลังกายแล้วเห็นผลลัพธ์มากที่สุด คือการออกกำลังกายต่อเนื่อง (หยุดพักเป็นระยะ ๆ) อย่างน้อย 30 นาที โดยเริ่มแรกหลังจากคลอดลูกและแพทย์อนุญาตให้ออกกำลังกาย แนะนำว่าให้ออกกำลังกายแบบความเข้มข้นต่ำก่อน เช่น การเดิน หรือ การเล่นโยคะ เป็นต้น

 

การเดิน เป็นการออกกำลังกายประเภทหนึ่งของคาร์ดิโอ โดยเหมาะกับลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดอย่างมาก เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ได้รับแรงกระแทกมากนักเหมือนกับการวิ่ง โดยเมื่อร่างกายเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติก็ให้คุณแม่ลองเปลี่ยนจากการเดินธรรมดาเป็นการเดินเร็วเพื่อให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น โดยเริ่มแรกอาจจะเริ่มประมาณ 15 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

 

โยคะ เป็นการออกกำลังกายโดยไม่ได้รับแรงกระแทก จึงเหมาะกับลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดเหมือนกับการเดิน สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน และมีหลากหลายท่าให้เลือกทำ โดยเริ่มแรกให้ทำท่าเดียวกันก่อน แล้วค่อยเพิ่มท่าอื่น ๆ เพื่อไม่ให้ดูว่าเยอะเกินไปจนท้อได้ ซึ่งมีท่าที่เหมาะกับการลดน้ำหนักหลังผ่าคลอดดังนี้ 

  • ท่าดันพื้น 

เป็นท่าที่สามารถช่วยให้คุณแม่สามารถอุ้มลูกน้อยได้ดีขึ้น ด้วยการบริหารกล้ามเนื้อลำตัวส่วนบนไม่ว่าจะเป็น ไหล่ แขน หรือหน้าอก โดยเริ่มต้นด้วยการคุกเข่าและใช้มือวางบนพื้นกว้างกว่าช่วงไหล่เล็กน้อย เหยียดหลังให้ตรงและเกร็งหน้าท้องเล็กน้อยเพื่อให้ลำตัวขนานกันกับพื้น จากนั้น ค่อย ๆ งอข้อศอกลง และดันขึ้นกลับมาเป็นท่าเริ่มต้น โดยไม่ต้องเกร็งแขนและข้อศอก ทำจนครบ 12 ครั้ง นับเป็น 1 รอบและทำทั้งหมด 3 รอบท่า Leg Slide

ช่วยกระชับช่องคลอดและหน้าท้อง, ช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของหน้าท้องด้านในให้แข็งแรง

วิธีการจัดท่าก่อนเริ่มฝึก นอนหงายในท่าชันเข่า ให้เท้าทั้งสองข้างขนานกัน ความกว้างของเท้าทั้งสองประมาณเท่าช่วงสะโพก วางแขนทั้งสองข้างราบลงข้างลำตัว ศีรษะตรง และไม่ควรมีหมอนหนุนศีรษะ หรือ หมอนรองคอ หายใจเข้าทางจมูก เพื่อเตรียมตัว เป่าลมหายใจออกปากอย่างช้าๆ พร้อมกับเหยียดขาขวาลงไปทางสุดปลายเท้าอย่างช้าๆ ขณะที่เหยียดขาขวาออกไป ให้จินตนาการว่า กำลังใช้บริเวณส้นเท้าด้านขวาเขียนเส้นตรงอยู่เหนือพื้นเพียงเล็กน้อย หายใจเข้าทางจมูกอีกครั้ง หายใจออกทางปากอย่างช้าๆ แล้วงอเข่าขวากลับมาที่จุดเริ่มต้นที่ท่าชันเข่าอีกครั้ง

*ทำข้างละ 10 ครั้ง พักให้หายเหนื่อยสักครู่ แล้วค่อยเปลี่ยนไปทำด้วยขาซ้าย

  • ท่า Forward Lunges

ท่านี้เป็นการก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วย่อตัวลงนะคะ โดยเริ่มจากอุ้มลูกไว้ด้านหน้า ยืนตัวตรง ปลายเท้าแยกจากกันเล็กน้อย ก้าวขาข้างหนึ่งออกไปด้านหน้าระยะ 2 ก้าว แล้วย่อเข่าลง ให้หัวเข่าทำมุม 90 องศา หลังต้องตรงนะคะ ค้างไว้สัก 2 วินาที ก็กลับท่าเตรียมค่ะ จะทำซ้ำข้างเดิม หรือสลับข้างกันทำก็ได้นะคะ

  • ท่า Side Lunges

คราวนี้มาก้าวด้านข้างกันบ้างค่ะ ท่าเริ่มเหมือนเดิม คือยืนตัวตรงแล้วเหยียดขาข้างหนึ่งไปด้านข้าง แล้วย่อตัวลง โดยอุ้มให้ตัวลูกอยู่บริเวณหน้าท้อง วางมือช้อนไว้ใต้ท้องของลูก ส่วนขาข้างที่เหยียดไปด้านข้างจะต้องตึง หลังจะต้องตรงแล้วค้างไว้ ก่อนกลับท่าเดิม

  • ท่างู

เริ่มจากการนอนคว่ำลำตัวนอนราบไปกับพื้น ขาเหยียดตรง แล้วใช้ฝ่ามือดันลำตัวขึ้นมา แขนเหยียดตรง  พยายามดัดตัวไปข้างหลังให้มากที่สุด แต่ส่วนของขานั้นให้นอนราบไว้ที่เดิม จากนั้นค้างไว้ 15-20 วินาที แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้นจะช่วยเผาผลาญไขมันช่วงหน้าท้อง ก้น ต้นแขน ต้นขา ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องส่วนบน 

  • ท่า SQUAT

เป็นท่าที่ได้รับความนิยมอ่างมาก คล้ายกับการนั่งเเก้าอี้อากาศ โดยเริ่มจากยืนตัวตรง ขาสองข้างแยกออก แล้วยืดแขนสองข้างไปข้างหน้า ย่อตัวลงให้สะโพกขนานกับหน้าขา ขณะย่อตัวให้ทิ้งน้ำหนักลงด้านหลัง พร้อมเกร็งหน้าท้อง แล้วกลับสู่ท่ายืนเริ่มต้น ควรทำอย่างน้อย 5 ครั้ง ครั้งละ 15 ครั้ง ทำทั้งหมดสัปดาห์ละ 3 วัน

 

  1. Emsculpt

Emsculpt เทคโนโลยีครั้งแรกในโลก สามารถสร้างกล้ามเนื้อและกำจัดไขมันไปพร้อมกัน และยังเป็นเทคโนโลยีที่แก้ปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกของคุณแม่หลังคลอดได้โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ไม่ต้องเจ็บตัว เพียงนอนสบาย ๆ ในระหว่างการทำทรีทเมนท์

หลักการทำงาน                                                                                                                            Emsculpt ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเฉพาะเจาะจง High-In Tensity Focused Electro-Magnetic (HIFEM) ส่งพลังงานเข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเกิดการหดเกร็งถึง 20,000 ครั้งต่อการทำทรีทเมนท์ 30 นาที เทียบเท่ากับการยกเวทหนัก ๆ แล้วทำ Sit up ไปด้วยพร้อม ๆ กัน 20,000 ครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงเราแทบจะไม่สามารถออกกำลังกายแบบนี้ได้เลย 

ทั้งนี้การหดตัวของกล้ามเนื้อจะสามารถสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่ ทำให้มีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึ้น สามารถสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อให้ทนทานแข็งแรงและอยู่ได้นานขึ้น ส่งผลให้รูปร่างกระชับ มีกล้ามเนื้อหน้าท้องและซิกแพค พร้อม ๆ กับการเผาผลาญไขมันและการทำลายเซลล์ไขมัน

ต้องทำบ่อยแค่ไหน ต้องพักฟื้นหรือไม่

Emsculpt ควรทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เหมือนกับการออกกำลังกายปกติ และสามารถทำทรีทเมนท์เพียง 4-6 ครั้งเท่านั้น ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว ที่สำคัญไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

ความรู้สึกระหว่างทำและหลังทำทรีทเมนท์

สิ่งที่ดีมาก ๆ ในการทำ Emsculpt คือในระหว่างทำจะไม่ความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ไม่มีรอยช้ำ หรือเสี่ยงต่อผิวไหม้ หลังทำในวันรุ่งขึ้นอาจจะรู้สึกเหมือนออกกำลังกายอย่างหนัก (intensive workout) เช่น Sit up หรือทำควอชอย่างหนัก ซึ่งนั่นหมายถึงร่างกายจะมีการเผาผลาญ ทำให้ขมันถูกสลายไปใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 

หลังการทำทรีทเมนท์ Emsculpt ยังทำให้การกลับไปยิมอีกครั้งง่ายขึ้น ร่างกายแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถทำสควอทซ์ ทำแพลงค์ ได้หลายนาที ซึ่งการทำ weight training หลังจากทำทรีทเมนท์เพื่อรักษากล้ามเนื้อสวย ๆ ให้อยู่ยาวนานขึ้น ง่ายกว่าการที่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

แตกต่างจากเทคโนโลยีกำจัดไขมันอื่น ๆ อย่างไร

  1. ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มขนาดและทำให้กล้ามเนื้อท้อง แขน และน่อง แข็งแรงขึ้น ยกกระชับ ก้นสวยกลมเด้ง ควบคู่การเผาผลาญไขมันไปพร้อม ๆ กัน โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการออกกำลังกาย ไม่ต้องผ่าตัด ที่ไม่เคยมีเครื่องมือใด ๆ ทำได้มาก่อน
  2. เป็นทรีทเมนท์ที่ไม่มีการบาดเจ็บใด ๆ พักฟื้น ไม่ต้องผ่า ไม่ต้องใช้ยาชา 
  3. ใช้เวลาทำเพียง 20-30 นาที ต่อครั้ง 
  4. สามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังการทำ และผลจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลายสัปดาห์หลังการทำ
  5. ผลการวิจัย แสดงถึงความพึงพอใจต่อการรักษามากถึง 96%
  6. ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่าโดยเฉลี่ยมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 16% และไขมันลดลง 19%

EMSCULPT ทำบริเวณใดได้บ้าง

ต้นแขน (ไบเซ็ปส์ / ไตรเซ็ปส์), หน้าท้อง, บั้นท้าย, ต้นขา, และ น่อง

 

ผลลัพธ์จากผู้ใช้จริง

คุณดวง จบปัญหาแม่หลังคลอดด้วย Emsculpt

คุณดวง วรรณพร โปษยานนท์ บก. Harper’s BAZAAR Thailand วางใจให้ Apex ดูแลเรื่องการลดน้ำหนักหลังคลอด พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า 

“ดวงพึ่งคลอดลูก น้องลูน่า มาค่ะ หลังจากที่คลอดแล้วสิ่งที่ดวงกังวลคือเรื่องของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และเนื่องจากเรามีงานที่ต้องถ่ายรูปสวย ๆ มากมาย ดวงจึงเริ่มอยากกลับมาดูแลตัวเองให้ Fit & Firm เหมือนเดิมค่ะ”

วันนี้จึงมาทำ Emsculpt เนื่องจากดวงได้ยินมาว่าที่ Apex เขามีนวัตกรรมชื่อว่า Emsculpt ที่ช่วยในเรื่องการยกกระชับกล้ามเนื้อ ทำให้เหมือนพวกเราสามารถมีกล้ามเนื้อที่เฟิร์ม ประหนึ่ง Sip-Up หรือ Squat 20,000 ครั้ง ใช้เวลาเพียง 30 นาที ทำเพียง 4 ครั้ง สามารถสร้างกล้ามเนื้อ 16% และกำจัดไขมัน 19%”

 

APEX SLIM ประสบการณ์กว่า 25 ปี โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเครื่อง Emsculpt ได้รับการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัย จากองค์กรอาหารและยาของประเทศอมเริกา (US FDA Approved ย่อมาจาก Food and Drug Administration) ซึ่งเรามีเครื่อง Emsculpt มากที่สุดในประเทศไทย และมีประสบการณ์ทำเคสมากที่สุดเช่นกัน

 

👉ปรึกษาลดน้ำหนักและสัดส่วนทักแชท

𝐂𝐎𝐍𝐓𝐀𝐂𝐓 𝐔𝐒

𝐓𝐞𝐥 : 095-102-8585

𝐋𝐢𝐧𝐞 : https://line.me/ti/p/%40APEXslim

𝐅𝐚𝐜𝐞𝐛𝐨𝐨𝐤: https://www.facebook.com/ApexSlim

𝐖𝐞𝐛𝐬𝐢𝐭𝐞 : https://www.apexslim.com/