5 ไหมยกกระชับหน้า ยอดฮิตปี 2020

ร้อยไหมยกกระชับ ฮอตฮิต 5 ชนิด ลองมาดูว่าคุณรู้จักไหมชนิดไหนกันบ้าง แล้วไหมแบบไหนดีที่สุดสำหรับคุณ

ไหมยกกระชับ ยอดฮิต

ร้อยไหมยกกระชับ (Thread Lift)

“เจ็บน้อย เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น” เป็นคอนเซ็ปต์การเสริมความงามที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของใครหลายคนในยุคสมัยนี้ได้ดีที่สุด ซึ่งหัตถการสำหรับการยกกระชับผิวหรือปรับรูปหน้า เรียกคืนความอ่อนเยาว์ที่ไม่ใช่การผ่าตัดศัลยกรรมนั้นมีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธีการ เช่น การฉีดยกกระชับด้วย โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือการใช้เครื่องยกกระชับอย่างอัลเทอร่าและเทอร์มาจ รวมไปถึงการร้อยไหมยกกระชับ (Thread Lift) ที่เราจะพูดถึงในบทความกัน

ร้อยไหม ไหมยกกระชับ

การร้อยไหมยกกระชับ หรือ Thread Lift ถือเป็นหัตถการเพื่อเสริมความงามมายาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้แนวคิดที่ว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะดึงผิวหน้าให้กระชับได้โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้นนาน’ จนกระทั่งมีศัลยแพทย์ชาวรัสเซียได้ค้นคว้าและพัฒนาการร้อยไหมยกกระชับหน้าขึ้นมาได้ในที่สุด

กระแสการร้อยไหมยกกระชับมีจุดเริ่มมาจากประเทศเกาหลี โดยกระแสความงามเข้ามาพร้อมกับพวกวัฒนธรรมต่างๆ เช่น วงดนตรี ศิลปะ การแต่งกาย อาหารการกิน ซีรีส์ รวมถึงเรื่องศัลยกรรม จนมีช่วงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘เกาหลีฟีเวอร์’ ในเรื่องการเสริมความงามที่ได้รับอิทธิพลมาจากเกาหลีมีอยู่หลายอย่างหนึ่งในนั้นคือ การร้อยไหม เป็นการศัลยกรรมที่นิยมในหมู่คนดังเซเลปเกาหลีเป็นอย่างมาก เพราะทำให้หน้าเรียวเข้ารูป ยกกระชับได้อย่างใจ จนเซเลปคนดังแถวหน้าเมืองไทยหลายคนก็แห่ไปทำกันบ้าง จนเกิดเป็นกระแสการร้อยไหมหน้าเรียวขึ้นมา และยังคงได้รับความนิยมมาจนปัจจุบัน

ร้อยไหมยกกระชับ ไหมยกกระชับ

และเหตุผลอีกประการที่ทำให้การร้อยไหมกลายมาเป็นที่นิยมคือ เจ็บน้อย เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งเหมือนกับคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ตั้งแต่ต้นนั่นเอง เมื่อร้อยไหมเข้าไปแล้วจะยกกระชับผิวลดความหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจนและปรับกรอบหน้าให้เรียวชัดทันใจ ด้วยเหตุผลหลักๆ เหล่านี้ การร้อยไหมเพื่อยกกระชับจึงได้รับความนิยม อยู่ในกระแสความสวยความงามมาอย่างยาวนานต่อเนื่องจนปัจจุบัน

เพราะเหตุนี้ เส้นไหมสำหรับการยกกระชับจึงถูกพัฒนาตามขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าถ้าให้เลือกร้อยไหมสักครั้งหลายคนคงเลือกไม่ถูกในบทความนี้เลยขอคัดเลือก เส้นไหมสำหรับการร้อยไหมยกกระชับ 5 อันดับยอดฮิตปี 2020 มาให้คุณๆ ได้ลองพิจารณากัน ดังนี้

ไหมเรียบ (Mono Thread)

ลักษณะของเส้นไหม : เป็นเส้นเรียบตรง ยาวๆ ไม่มีปุ่ม เกลียว หรือเงี่ยง

วัสดุ : PDO (Polydioxanone) วัสดุเดียวกับที่ใช้เย็บแผลผ่าตัดหัวใจ

เทคนิคการร้อย : การร้อยไหมเรียบจะใช้เส้นไหม 20-50 เส้นต่อครั้ง หรือมากกว่านั้นแล้วแต่กรณี โดยนำมาร้อยเข้าไปใต้ผิวหนังในลักษณะไขว้กันเป็นแพเหมือนตาข่าย เพื่อโอบอุ้มผิวบริเวณที่ต้องการยกกระชับ

ผลลัพธ์ : การร้อยไหมเรียบชนิดนี้ มีจุดประสงค์ในการกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวดูเต่งตึง มากกว่ายกกระชับผิวแบบทันทีทันใด เห็นผลลัพธ์ชัดเจนเมื่อผ่านไปแล้ว 1 เดือนและหลังจากนั้นเส้นไหมจะเริ่มสลายไปตามธรรมชาติในเดือนที่ 6-8 แต่ยังให้ผลลัพธ์การยกกระชับไปเรื่อยๆ ใน 1-2 ปี

ไหมเกลียว (Cavern/Screw Thread)

ลักษณะของเส้นไหม : เป็นการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์มาจากไหมเรียบ โดยนำไหมเรียบ 1-2 เส้น มาพันรวมเป็นเกลียวรอบปลายเข็มนำไหม เพื่อเพิ่มความหนา ความแข็งแรงให้การร้อยไหมเพิ่มขึ้นนั่นเอง

วัสดุ : PDO (Polydioxanone) วัสดุเดียวกับที่ใช้เย็บแผลผ่าตัดหัวใจ วัสดุเดียวกับไหมเรียบ

เทคนิคการร้อย : ไหมเกลียวเมื่อร้อยเข้าไปและดึงเข็มออกมา เส้นไหมที่มีลักษณะเป็นเกลียวนี้จะยึดเกาะกับชั้นผิวได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มปริมาตรบริเวณใต้ผิวหนังที่ยุบตัวและยังทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนเพิ่มขึ้นได้เกือบห้าเท่าเลยทีเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาบริเวณรอบดวงตารวมถึงหางคิ้วที่ตกก็ช่วยได้

ผลลัพธ์ : สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำและเห็นได้อย่างชัดเจนหลังจากนั้น 1 เดือน เส้นไหมจะเริ่มสลายไปตามธรรมชาติในเดือนที่ 6-8 แต่ยังให้ผลลัพธ์การยกกระชับไปเรื่อยๆ ใน 1-2 ปี เช่นเดียวกับไหมเรียบ

ไหมเงี่ยง (Brab)

ลักษณะของเส้นไหม : ไหมชนิดนี้จะมีชื่อเรียกที่แยกย่อยกันไปอีกหลายแบบ เช่น ไหมหนาม (Cog) ไหมก้างปลา (Aptos) ไหมDiamondและไหมเงี่ยงกุหลาบ เป็นต้นขึ้นอยู่กับว่าเงี่ยงถูกออกแบบมาเป็นลักษณะใด ซึ่งมีขนาดของเส้นไหมค่อนข้างใหญ่กว่าไหมเรียบปกติ ทำให้เกิดเงี่ยงโดยการใช้เลเซอร์กรีดให้เป็นเงี่ยงยื่นออกมาจากเส้นไหมปกติ และยังถูกเรียกอีกอย่างว่า ไหมล็อค เพราะเงี่ยงที่ยื่นออกมานั้นทำให้เกี่ยวดึงผิวให้ตึงขึ้นได้มากกว่าไหมเรียบ

วัสดุ : PDO (Polydioxanone) วัสดุเดียวกับไหมเรียบและไหมเกลียว โดยไหมเงี่ยงถูกพัฒนาให้มีรูปแบบต่างๆ อีกทั้งมีการคิดค้นวัสดุเพิ่มเติมขึ้นมาอีกนั่นก็คือ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) และ PCL (Polycaprolactone) แต่วัสดุ PDO ก็ยังได้รับความนิยมมากที่สุด

เทคนิคการร้อย : ไหมเงี่ยงจะใช้จำนวนเส้นไหมในการร้อยน้อยกว่าไหมเรียบ เมื่อร้อยเข้าไปใต้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยจะสามารถรั้งผิวขึ้นได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน อีกทั้งเงี่ยงที่ยื่นออกมาจะสัมผัสโดนผิวได้มากกว่า ส่งผลให้ร่างกายกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกันแล้วไหมเงี่ยงกระตุ้นได้มากกว่าไหมเรียบ เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหย่อนคล้อยบริเวณใต้คาง เน้นการปรับรูปหน้า สร้างกรอบหน้าให้ชัดเจน

ผลลัพธ์ : สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำและจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มที่หลังจากร้อยไหมผ่านไปแล้ว 3 เดือน ระยะเวลาในการคงอยู่ของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหม PDO จะอยู่ได้ 1-2 ปี, PLLA จะอยู่ได้ 2-5 ปี และ PCL จะอยู่ได้มากกว่า 5 ปี

สามารถอ่านเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหมเพิ่มเติมได้ที่ : ตอบคำถามคาใจเกี่ยวกับการร้อยไหม

ไหมกรวย (Silhouette Soft)

ไหมกรวย หรือ ไหมSilhouette Soft ผลิตและนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างจากไหมเรียบ ไหมเกลียว ไหมเงี่ยงที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีเป็นส่วนใหญ่

ลักษณะของเส้นไหม : บนเส้นไหมจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก หน้าตาคล้ายกรวยจึงถูกเรียกว่า ไหมกรวย มีขนาดเส้นที่หนาขึ้นมาเล็กน้อยและเพิ่มความเหนียวจากวัสดุชนิดพิเศษช่วยในเรื่องการยกกระชับได้ดี เพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจน

วัสดุ : p(LA-CL) (Poly (L-Lactide-co-Caprolactone)) ผสมผสานกันระหว่างวัสดุ PLLA และ PCL

เทคนิคการร้อย : ไหมกรวยจะใช้จำนวนเส้นไหมที่น้อยกว่าไหมเงี่ยง ใช้ประมาณ 2-8 เส้นต่อครั้ง เมื่อร้อยจะลงไปใต้ผิวหนังชั้นลึกกว่าไหมรุ่นก่อนๆ โดยใช้ตัวโคนของรูปกรวยเป็นตัวพยุงผิวและชั้นไขมัน 

ผลลัพธ์ : เห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีหลังทำ สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนต่อไปได้เรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาของผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้มากถึง 5 ปี

ร้อยไหมยกกระชับหน้าด้วยไหมอิตาลี (Definisse – Italian Thread Lift)

ไหมอิตาลี (Definisse – Italian Thread Lift)

แต่ที่ฮิตที่สุดในปี 2020 ต้องยกให้ ไหมอิตาลี (Definisse – Italian Thread Lift) นอกจากได้คุณโอ๋-ภัคจีรา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ปรับลุคให้หน้าเรียว สวยขึ้นจนคนในวงการทักว่าเธอไปศัลยกรรมมาหรือเปล่า? แต่แท้จริงแล้วมันคือผลลัพธ์ของการร้อยไหมอิตาลีเพียงเท่านั้น

ไหมอิตาลีผลิตและนำเข้าจากประเทศอิตาลี เป็นไหมที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนี้ ภายใต้คอนเซปต์ ‘เจ็บน้อยแต่ยกกระชับนาน’ อีกทั้งแพทย์ยังสามารถดีไซน์การร้อยได้อย่างอิสระ เพื่อให้ร้อยออกมาตอบโจทย์กับคนไข้มากที่สุดอีกด้วย อีกทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจาก อย. ภายใต้ชื่อแบรนด์ Definisse ว่าเป็นเจ้าแรกที่ใช้สำหรับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวหน้าและลำคอโดยตรง

ลักษณะของเส้นไหม : เส้นไหมถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยมีลักษณะเป็นเงี่ยงหันเข้าหากัน (Bidirectional Convergent Barb) มีเข็มนำไหมที่ติดมาพร้อมกับเส้นไหมให้ในกล่องเลย ซึ่งแตกต่างจากไหมชนิดอื่นๆ ที่มีแต่เส้นไหมเพียงอย่างเดียว

วัสดุ : p(LA-CL) (Poly (L-Lactide-co-Caprolactone)) ผสมผสานกันระหว่างวัสดุ PLLA และ PCL เช่นเดียวกับไหมกรวย แต่ปริมาณของส่วนผสมไหมอิตาลีจะเฉพาะตัวกว่าไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ ดังนั้นในเรื่องของความยืดหยุ่นและการกระตุ้นคอลลาเจนจะให้ผลลัพธ์ต่างกัน

เทคนิคการร้อย : ใช้จำนวนเส้นไหมในการร้อยเพียง 1-2 เส้นเท่านั้น โดยไหมอิตาลีนี้ถูกออกแบบมาให้มีเข็มนำในแต่ละด้านของปลายไหมด้วย เรียกว่าเทคนิค Double Needle Technique ซึ่งปลายเข็มทั้งสองด้านจะคมมากและลื่นเป็นพิเศษ ทำให้สามารถร้อยในทิศทางที่ต้องการได้สะดวกยิ่งขึ้น ช่วยลดการเกิดอาการบวมแดงหลังจากการร้อยไหมและแพทย์ที่จะสามารถร้อยไหมอิตาลีได้ต้องผ่านการอบรมเฉพาะทางเสียก่อน

ผลลัพธ์ : ด้วยลักษณะของเงี่ยงที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษ จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ ส่งผลต่อการยกกระชับผิวให้เต่งตึงได้ในระยะยาวและยังช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้แก่ผิวแถมมาด้วย อีกทั้งจำนวนเส้นที่น้อยลงกว่าการร้อยไหมแบบปกติเป็นอย่างมาก ทำให้ช่วยลดเวลาในการทำเหลือเพียง 15-30 นาทีเท่านั้น ซึ่งรวมถึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะรู้สึกเจ็บและเกิดรอยช้ำที่ผิวเนื่องจากถูกร้อยเส้นไหมซ้ำๆ เข้าไปจำนวนมากเหมือนไหมแบบเก่า อีกทั้งระยะเวลาของผลลัพธ์คงอยู่ได้มากกว่า 5 ปี

เพราะความคงทน ยืดหยุ่นและยกกระชับได้เยอะ แม้เพียงการใช้ไหมแค่ข้างละ 1 เส้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไมไหมอิตาลีถึงได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2020

หากต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการร้อย ไหมยกกระชับ สามารถแวะเวียนเข้า APEX ของเราที่มีสาขาอยู่กว่า 30 แห่งทั่วประเทศไทยได้เลยค่ะ เอเพ็กซ์ของเรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาอยู่ตลอด หรือหากไม่สะดวกจะไปด้วยตนเอง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Line@ : @apexbeauty (มี @ นำหน้า)