3 ความแตกต่าง Ulthera VS Thermage ที่คุณต้องรู้!
ปัจจุบันเครื่องมือยกกระชับผิวหน้ากำลังมาแรงมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะ Ulthera และ Thermage เพราะทั้งสองเครื่องมือนี้เป็นเทคโนโลยีที่ให้ผลลัพธ์ได้อย่างประสิทธิภาพ ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าที่ยากจะแก้ไขต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของความหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือไขมันสะสมตามใบหน้า ซึ่งต้องการปรับรูปหน้าให้มีความเรียวสวย ยกกระชับ และฟื้นฟูสภาพผิวให้ดีมากขึ้น
โดยอัลเทอร่า และ เทอร์มาจ ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องมือยกกระชับผิวเหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างกันอยู่หลายอย่างที่ทุกคนควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดของปัญหาของเรามากที่สุด วันนี้เราเลยได้สรุป 3 ความแตกต่าง ของ Ulthera VS Thermage เพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้มากขึ้นในบทความนี้เลยค่ะ
1.คลื่นพลังงานที่แตกต่างกัน
Ultherapy ใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูงในรูปแบบอัลตราซาวนด์ที่มีความเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) เมื่อยิงลงสู่ผิวพลังงานจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนกระจายเป็นจุดเล็ก ๆ ระยะห่างเท่ากัน ขนาด 1 mm. ลงไปยังชั้นผิวระดับ SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับที่แพทย์ใช้ผ่าตัดดึงหน้า ดังนั้นอัลเทอร่าจึงเป็นตัวช่วยยกหน้าได้แบบที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยพลังงานที่ลงไปยังชั้นผิวระดับ SMAS จะทำให้ชั้นผิวเกิดการหดตัว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งอัลเทอร่ายังเป็นเครื่องมือที่มีหน้าจอแสดงผลของชั้นผิว ทำให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวของเราขณะทำการรักษา ช่วยให้แพทย์ยิงพลังงานได้แม่นยำและตรงจุดของปัญหาได้ดีมากขึ้น
Thermage ใช้เทคโนโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง แบบขั้วเดียว Radio Frequency (RF) เมื่อยิงลงสู่ผิวพลังงานจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนกระจายเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ หรือ Dermis รวมไปถึงชั้นคอลลาเจน และชั้นไขมันอย่างมีความสม่ำเสมอ ดังนั้นการทำเทอร์มาจจึงสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน และฟื้นฟูสภาพผิวได้โดยตรง โดยพลังงานความร้อนจะเข้าไปทำใหเส้นใยคอลลาเจนที่หย่อนคล้อยเสื่อมสภาพ เกิดการหดตัวมีเกลียวที่ตึงขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อีกด้วย
2. เหมาะกับปัญหาใบหน้าที่แตกต่างกัน
Ulthera เหมาะกับคนที่มีชั้นไขมันฝ่อตัวลง ไขมันตามใบหน้าน้อย อีกทั้งคอลลาเจนยังเสื่อมสภาพลง จึงทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ เกิดริ้วรอย หางตา หางคิ้วตก ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดกับคนที่อายุมากขึ้น ตั้งแต่ช่วง 35 ปีเป็นต้นไป
Thermage เหมาะกับคนที่ชั้นไขมันหนา และมีไขมันสะสมอยู่มากตามบริเวณกรอบหน้า จนแก้มห้อยย้อย มีคางสองชั้น หรือเหนียง ผิวนิ่ม ขาดความกระชับ ใบหน้าดูย้วย นอกจากนั้นยังเหมาะกับคนที่ผิวหน้าเสื่อมสภาพ ผิวโทรม แห้งกร้าน ทำให้ผิวเกิดปัญหาริ้วรอย และใบหน้าดูแก่กว่าวัย เนื่องจากมาจากผิวสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน
3.ผลลัพธ์ที่ได้มีความแตกต่างกัน
เมื่อพลังงานของอัลเทอร่าลงสู่ชั้นผิวระดับ SMAS และ เทอร์มาจลงสู่ชั้นผิวระดับ Dermis ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้จึงมีความแตกต่างกัน ดังนี้
Ulthera จะทำให้เกิด skin lifting คือ ใบหน้าที่คล้อยลงดูยกขึ้น มีความกระชับ เต่งตึง กรอบหน้าชัด และยังช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีความแข็งแรง สุขภาพดีมากขึ้นได้อีกด้วย
Thermage จะทำให้เกิด skin tightening คือ ผิวหน้ามีความแน่นเฟิร์ม ดูกระชับมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดไขมันได้ดีกว่า และช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาสุขภาพดี เรียบเนียน ดูเปล่งปลั่งได้มากขึ้น
โดยทั้งอัลเทอร่า และ เทอร์มาจ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำเสร็จ ใบหน้าจะยกกระชับขึ้นกว่า 10-30% และจะค่อย ๆ เห็นผลที่ชัดเจนเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นภายใน 1-3 เดือน ซึ่งอยู่ได้นานกว่า 1-2 ปี และสามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก 6 เดือน – 1 ปี เพื่อคงความยกกระชับ อ่อนเยาว์ของผิวหน้าเอาไว้
แต่อย่างไรก็ตามปัญหาผิวหน้าของคนส่วนใหญ่ ต้องการยกกระชับผิวทั้งสองแบบเลยค่ะ ทั้งให้ผิวหน้าแน่นเฟิร์ม และในขณะเดียวกันผิวก็ต้องมีความยกกระชับขึ้นด้วย โดยเฉพาะในคนอายุเริ่มเยอะ ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ชั้นผิวจะเสื่อมสภาพลงทุกชั้น ดังนั้นถ้าได้รับการฟื้นฟูผิวในทุกระดับชั้นก็จะช่วยให้ผลลัพธ์ของใบหน้าได้ประสิทธิภาพดีมากขึ้นไปอีก ซึ่งในบางครั้งแพทย์ก็จะแนะนำให้คนไข้ทำทั้งThermage และ Ulthera โดยอาจจะให้ทำสลับกัน คือ ทำเครื่องมือนึง แล้วเว้น 6 เดือน กลับมาทำอีกเครื่องมือนึง ซึ่งจะทำอัลเทอร่า หรือ เทอร์มาจก่อนแพทย์จะประเมินจากปัญหาของผิวหน้าคนไข้เป็นหลักนั่นเองค่ะ
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก่อนตัดสินใจทำเครื่องมือยกกระชับผิว ควรดูปัญหาผิวหน้าของเราก่อนว่าเหมาะกับการทำเครื่องมือชนิดไหน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด
