บอกลาความแก่ แจกฟรี สูตรมาสก์ลด ริ้วรอยใต้ตา!

ริ้วรอยใต้ตาริ้วรอยใต้ตา เหมือนคนมีอายุ ปัญหาหนักอกหนักใจของทุกคน เพราะถึงจะหน้าสวยใสแค่ไหน แต่ถ้ามีปัญหาริ้วรอยใต้ตา ยังไงใบหน้าก็ดูโทรม ไม่สดใส ดังนั้นใต้ตาจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนบนใบหน้าที่เราต้องดูแลใส่ใจเป็นอย่างดี วิธีง่ายๆที่ช่วยให้ใต้ตาสดใส ช่วยชะลอไม่ให้เกิดริ้วรอย มีหลากหลายวิธีเลย ซึ่งเราได้รวบรวมวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้ไม่ยาก แถมยังประหยัดอีกด้วย เพราะว่าเป็นของที่สามารถหาได้ในครัวของทุกคน นั่นคือ สูตรมาสก์ลดริ้วรอยใต้ตานั่นเอง!

สารบัญ

สาเหตุของการเกิดริ้วรอยใต้ตา

ก่อนที่เราจะไปดูสูตรมาส์กลดริ้วรอยใต้ตานั้น เรามาทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตากันก่อนดีกว่า จะได้เป็นการป้องกันไว้ก่อน สำหรับคนที่ยังไม่มีริ้วรอย และสำหรับคนที่มีริ้วรอยอยู่แล้ว จะได้เลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ได้

1.อายุมากขึ้น

เป็นธรรมดาเมื่อเราอายุมากขึ้น ผิวย่อมสูญเสียคอลลาเจน และอิลาสติน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อย บวกกับบริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางมาก จึงเป็นส่วนที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้นไปอีก

2.ผิวแห้ง

คนผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้นนั้น สังเกตได้เลยว่าผิวจะแห้ง ลอก เป็นขุยง่าย ขาดความยืดหยุ่นมากกว่าคนผิวมัน สาเหตุนี้จึงทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ง่ายมากกว่า โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา

3.พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

พฤติกรรมในชีวิตประจำก็เป็นหนึ่งสิ่งที่เราอาจจะละเลย หรือเผลอไป อย่างเช่น คนที่ชอบขยี้ตา นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด วิตกกังวล การแสดงสีหน้า แสดงอารมณ์ และดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเซลล์ผิวทำให้สภาพผิวแย่ลงจนเกิดริ้วรอย

ริ้วรอยใต้ตา

วิธีป้องกันการเกิดริ้วรอยใต้ตา

1.พยายามลดความเครียด

เมื่อเราเครียดหรือวิตกกังวล จะทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นมาได้ เพราะเมื่อเครียดเราจะแสดงออกทางสีหน้าอย่างไม่รู้ตัว เช่น ขมวดคิ้ว นอกจากนั้นการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่ได้รับการบำรุงซ่อมแซม เมื่อขาดการพักผ่อนไปนานๆ เข้า ริ้วรอยก็จะเริ่มมาเยือน

2.ทำความสะอาดรอบดวงตา

โดยเฉพาะคนที่ต้องแต่งหน้าบ่อยๆ การเช็ดเครื่องสำอางไม่สะอาด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ เพราะสารเคมีในเครื่องสำอางที่ตกค้าง นอกจากนั้นการเช็ดเครื่องสำอางออกแรงเกินไป สำลีเสียดสีกับผิวหน้านานวันเข้าก็จะเกิดเป็นริ้วรอย ดังนั้นไม่ว่าจะเช็ดเครื่องสำอาง ล้างหน้า หรือทำอะไรบนใบหน้าต้องเบามือเป็นอย่างมาก

3.บำรุงผิวรอบดวงตา

การใช้อายครีม นับเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตามีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยให้เกิดขึ้นช้าลง นอกจากนั้นยังมีวิธีธรรมชาติที่สามารถช่วยบำรุงใต้ตาได้อีกด้วย นั่นคือสูตรมาส์กใต้ตาลดริ้วรอยที่เราจะมาแนะนำกันนี้เลย

สูตรมาส์กใต้ตาลดริ้วรอย

1.นมสด

ในนมสดอุดมไปด้วยไบโอตินและวิตามินมากมาย ที่สามารถช่วยฟื้นบำรุงเซลล์ผิวทำให้ผิวดูเฟิร์มขึ้นได้

ขั้นตอนการทำสูตรมาส์กใต้ตา

  • เอาสำลี จุ่มนมสดให้พอชุ่ม จากนั้นนำมาวางไว้ที่เปลือกตา หรือ ใต้ตา
  • ทิ้งไว้ 10-15 นาที เสร็จแล้วล้างออกให้สะอาด
  • สูตรนี้สามารถมาส์กได้ทุกวัน
2.แตงกวา

แตงกวาช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นมาก และยังมีเมไธโอนีน (Methionine) และกรดอะมิโนซีสทีน (Cystine) ที่ทำให้ผิวเกิดความหยืดยุ่นมากขึ้น

ขั้นตอนการทำสูตรมาส์กใต้ตา

  • เริ่มจากหั่นแตงกวาเป็นชิ้นเล็กๆ บดให้ละเอียด
  • นำไปแช่เย็น 5-10 นาที จากนั้นนำมามาส์กไว้ใต้ตา ทิ้งไว้ 10-15 นาที
  • เสร็จแล้วนวดให้น้ำแตงกวาซึมเข้าไปสู่ผิวมากขึ้น
  • แนะนำทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

แตงกวา

3.มะเขือเทศ

ในมะเขือเทศมีสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยทำให้ผิวหน้าเต่งตึงสดใส

ขั้นตอนการทำสูตรมาส์กใต้ตา

  • นำมะเขือเทศมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดให้พอละเอียด
  • จากนั้นนำมามาสก์ไว้บริเวณใต้ตา ทิ้งไวประมาณ 10-15 นาที

สูตรนี้แนะนำทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

4.น้ำมันมะพร้าว

ในน้ำมันมะพร้าว มีทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินเอ ช่วยบำรุงผิว ชะลอริ้วรอย และให้ความชุ่มชื้นสูง

ขั้นตอนการทำสูตรมาส์กใต้ตา

  • สูตรนี้ง่ายมาก เพียงแค่นำน้ำมันมะพร้าวมาทาบริเวณรอบดวงตา
  • จากนั้นนวดเบาๆ ไปทางเดียวกัน ให้น้ำมันมะพร้าวซึมเข้าสู่ผิว หรือใครจะทาแล้วมาส์กทิ้งไว้ให้ซึมเองก็ได้
  • สูตรนี้สามารถทำได้บ่อยๆ ยิ่งช่วงไหนที่รู้สึกว่าผิวแห้งมาก หยิบน้ำมันมันมะพร้าวมาทาได้เลย
5.น้ำผึ้ง

ในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ลดการอักเสบ ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น

ขั้นตอนการทำสูตรมาส์กใต้ตา

  • นำน้ำผึ้งมาทาบริเวณใต้ดวงตา ทิ้งไว้10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด
  • สูตรนี้แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

แต่ละสูตรไม่ยากเลยใช่ไหมคะทุกคน แต่ว่าอาจจะต้องทำอย่างต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง ถึงจะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ว่าใต้ตาดูดีขึ้น แต่ถ้าใครอยากลดริ้วรอยใต้ตาแบบเร่งด่วน เรามีอีกตัวช่วยหนึ่งมาแนะนำ รับรองเลยว่าวิธีนี้จะช่วยให้ปัญหากวนใจ ที่ทำหน้าเราโทรม ดูแก่ หายไปได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือ การฉีดโบท็อกริ้วรอยใต้ตานั่นเอง ทุกคนอาจจะเคยได้ยินคำว่าโบท็อกมานาน บางคนอาจจะรู้จักแค่เพียงผิวเผิน วันนี้เราเลยจะมาไขความกระจ่างเกี่ยวกับโบท็อกใต้ตา ให้ทุกคนได้เข้าใจกันมากขึ้น ลองมาหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลย

โบท็อกใต้ตา

โบท็อกใต้ตาเป็นการฉีดสารเข้าไปบริเวณหางตาและใต้ตา เพื่อลดรอยตีนกา และลดริ้วรอยร่องลึก ให้ผิวเรียบตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าจึงดูอ่อนเยาว์ ลดอายุลงได้มาก เพราะแน่นอนว่าดวงตาเป็นส่วนที่คนมักจะมองเป็นอย่างแรกๆ เช่น คู่สนทนาที่ต้องสบตาเมื่อพูดคุยกัน ถ้าดวงตามีแต่ริ้วรอยก็จะทำให้เสียความมั่นใจ ซึ่งการฉีดโบท็อกใต้ตาไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็สามารถฉีดได้ เพื่อดวงตาที่สวยสดใส มีความมั่นใจมากขึ้น

การฉีดโบท็อกใต้ตา

ปัจจุบันการฉีดโบท็อกเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะด้วยราคาที่ไม่แพงเกินไป สามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยได้รวดเร็วทันใจ โดยเป็นการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin type A) ที่เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ซึ่งเริ่มแรกการฉีดโบท็อกเป็นการฉีดเพื่อช่วยรักษาโรคตาเหล่ ตาเข อาการปวดไมเกรน เป็นต้น ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาถึงวงการแพทย์ความงาม ใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า ลดขนาดกล้ามเนื้อ เพราะว่าสารตัวนี้เมื่อออกฤทธิ์จะทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวอยู่คลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยดูจางลง

โบท็อกใต้ตาอยู่ได้นานเท่าไหร่

ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ของโบท็อกจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดเข้าไป ยี่ห้อของโบท็อก และการดูแลตัวเองหลังจากฉีดโบท็อกด้วย ซึ่งการฉีดโบท็อกใต้ตาส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังจากฉีดไปประมาณ 2-3 วัน และจะสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน แล้วจะสลายไปได้เอง 100% ถ้าโบท็อกที่ฉีดเข้าไปเป็นโบท็อกแท้ ซึ่งกลับมาฉีดซ้ำได้เพื่อคงสภาพต่อเนื่องของผลลัพธ์ไว้

โบท็อกใต้ตามีผลข้างเคียงหรือไม่

การฉีดโบท็อกถือว่าเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูงมากถ้าฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้โบท็อกแท้ แต่ในบางรายอาจจะเกิดอาการเล็กน้อยหลังฉีด เช่น มีร่องรอยช้ำจากเข็มที่ฉีดเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปได้เองประมาณ 3-5 วัน

ริ้วรอยใต้ตา

ฉีดโบท็อกใต้ตาเหมาะกับใคร

เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณหางตา (ตีนกา) หรือริ้วรอยใต้ตา ที่เป็นสาเหตุของใบหน้าแก่กว่าวัย ดูโทรม ไม่สดใส ซึ่งเป็นผู้ที่มีเวลาไม่มาก ในการผ่าตัดและพักฟื้น เพราะโบท็อกใช้เวลาในการทำเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ออกมาสวยได้แบบทันใจ ตอบโจทย์การแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาแบบไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว รอพักฟื้นให้เสียเวลา แสดงสีหน้า ยิ้มได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวริ้วรอยมากวน

สาเหตุที่ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล

1.ไม่ใช่โบท็อกแท้

ข้อนี้สำคัญและอันตรายมาก เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่าโบท็อกที่ฉีดเข้าไปมีส่วนผสมของอะไรบ้าง นอกจากฉีดไปแล้วไม่เห็นผล อาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย และบริเวณที่เราฉีดเข้าไปอีกด้วย ดังนั้นการเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน มีชื่อเสียง สามารถตรวจสอบโบท็อกที่เรากำลังฉีดได้ก็ช่วยทำให้เรามั่นใจมากขึ้น

2.ความชำนาญของแพทย์

แพทย์ผู้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจะสามารถฉีดได้ตรงจุด แม่นยำในแต่ละส่วนของมัดกล้ามเนื้อ นอกจากนั้นการฉีดโบท็อกจะต้องมีการผสมน้ำเกลือเพื่อเป็นการดูดสารจากในขวดยาออกมาฉีด ซึ่งถ้าแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญก็อาจจะผสมมากน้อยไม่พอดี จนทำให้โบท็อกเจือจางได้ เมื่อฉีดแล้วจึงไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่ควร นอกจากนั้นด้วยความที่เจือจางมากจะทำให้โบท็อกกระจายไปส่วนอื่น จนทำให้เกิดอาการหน้าเบี้ยวอย่างที่เคยเป็นข่าวได้

ข้อปฏิบัติก่อน-หลังฉีดโบท็อก

ก่อนและหลังฉีดโบท็อกควรศึกษาข้อปฏิบัติไว้ก่อน เพื่อผลลัพธ์ของการฉีดที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด

ก่อนฉีดโบท็อก

1.สำหรับใครที่ต้องการฉีดโบท็อก ควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว หรือถ้าใครทานยาประจำอยู่ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง เพราะถ้าปิดปังข้อมูลอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง

2.งดทานยา เช่นยาแก้อักเสบ ยาแอสไพริน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีดโบท็อก เพื่อป้องการอาการฟกช้ำ

3.สำหรับคนที่ทานอาหารเสริม วิตามิน อย่างเช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สารสกัดจากโสม ควรงดทานก่อนฉีดโบท็อก 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากจะทำให้เลือดแข็งตัวช้า เลือดหยุดไหลยาก

หลังฉีดโบท็อก

1.หลังฉีดโบท็อก 6-8 ชั่วโมง ห้ามนวด กด หรือจับแรงๆ บริเวณที่ฉีดโบท็อกเข้าไป เพราะจะทำให้โบท็อกไหลไปยังบริเวณส่วนอื่นของกล้ามเนื้อได้

2.หลังฉีดโบท็อกควรรีบขยับกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตา 1-2 ครั้ง เพื่อให้โบท็อกกระจายตัว ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3.หลังฉีดโบท็อก 24 ชั่วโมง ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด และงดการเข้าอบซาวน่า ยิงเลเซอร์  อย่างน้อย 2 สัปดาห์

ถ้าหยุดฉีดโบท็อกแล้วจะเป็นอย่างไร?

หลังจากผ่านไป 4-6 เดือน โบท็อกเริ่มหมดฤทธิ์แล้ว ริ้วรอยก็จะเริ่มกลับมา แต่ริ้วรอยจะน้อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อเทียบตอนก่อนฉีดโบท็อก เพราะว่าปกติแล้วกล้ามเนื้อเมื่อใช้งานหนัก ขยับบ่อยๆ ก็จะทำให้กล้ามเนื้อแน่น แข็งแรงดูใหญ่ แต่เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไปแล้วจะทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง เมื่อกล้ามเนื้อไม่ค่อยได้ขยับไปนาน 4-6 เดือน ก็จะค่อยๆเล็กลง ไม่ค่อยเกิดริ้วรอย ดังนั้นริ้วรอยที่กลับมาก็จะมีน้อยลงกว่าตอนก่อนฉีดโบท็อกนั่นเอง

โบท็อกมียี่ห้ออะไรบ้าง?

จริงๆแล้วคำว่าโบท็อก มากจากชื่อทางการค้า ของบริษัทยา อัลเลอร์แกน (Allergan) ซึ่งเป็นผู้ผลิต พัฒนาและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์รายใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นแบรนด์แรกที่ได้รู้จักไปทั่วโลก ดังนั้นเมื่อมีการผลิตสารลบเลือนริ้วรอยอื่นๆจึงถูกเรียกว่าโบท็อกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะผลิตมาจากประเทศไหน ยี่ห้ออะไรก็ตาม

botoxในปัจจุบันมีการผลิตโบท็อกออกมามากมายหลายยี่ห้อจากหลายประเทศ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันตามโมเลกุล ความบริสุทธิ์ กระบวนการในการผลิต สาระสำคัญ คุณสมบัติและราคา โดยโบท็อกที่ได้รับการรับรองในไทยจากอย. ได้แก่ โบท็อกอัลเลอร์แกน (Allergan) ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นโบท็อกรุ่นแรกสุด นอกจากนี้ยังมีโบท็อกจากฝั่งยุโรปอย่างดิสพอร์ต (Dysport) จากประเทศอังกฤษ ซีโอมิน (Xeomin) จากประเทศเยอรมนี และโบท็อกจากประเทศเกาหลีอย่างเอสท็อกซ์ (Aestox), โบทูแล็กซ์ (Botulax), นาโบตะ (Nabota)

วิธีดูโบท็อกของแท้

ไม่ว่าจะฉีดโบท็อกที่ไหนที่ได้รับมาตรฐาน คุณหมอจะชี้แจงเกี่ยวกับโบท็อกให้คนไข้ทุกครั้งก่อนเริ่มการรักษา โดยถ้าต้องการดูว่าโบท็อกที่ใช้ฉีดนั้นเป็นโบท็อกแท้หรือไม่ สามารถดูได้ดังนี้

1.หมายเลข Lot. ที่ข้างกล่อง และข้างขวดตรงกัน มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทย เพราะโบท็อกที่เป็นของแท้ ได้มาตรฐานจะต้องได้รับการรับรองจากอย. ทั้งไทยและต่างประเทศ

2.ก่อนฉีดโบท็อกคุณหมอ หรือผู้ช่วยจะเป็นคนเปิดกล่องโบท็อก และผสมน้ำเกลือไว้ดูดสารโบท็อกออกมาต่อหน้าคนไข้ เพื่อความมั่นใจว่าโบท็อกที่ใช้ฉีดให้ในครั้งนี้เป็นของใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน

Botox vs Filler แตกต่างกันอย่างไร

โบท็อก และ ฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ใช้เข็มฉีดเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังเหมือนกัน แต่ว่ามีข้อแตกต่างอยู่ที่สารที่ใช้ฉีด และคุณสมบัติหรือผลลัพธ์ในการออกฤทธิ์ โดย

โบท็อก (Botox) เป็นการฉีดสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin type A) เพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้สามารถช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอย ช่วยปรับรูปหน้าได้

ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นการฉีดสารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ เรียกว่า เอชเอ (HA) เพื่อเติมเต็มผิวบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้น เช่นบริเวณร่องแก้ม ใต้ตา จมูก ขมับ อีกทั้งยังช่วยทำให้ใบหน้าเต่งตึง ดูมีน้ำมีนวล เพราะ Hyaluronic Acid จะช่วยกักเก็บน้ำให้แก่ชั้นใต้ผิว

ฉีดโบท็อกใต้ตา ที่ไหนดี?

การฉีดโบท็อกใต้ตา ต้องเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ คลินิกต้องมีมาตรฐาน มีชื่อเสียงน่าเชื่อถือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพราะใต้ตาเป็นส่วนที่บอบบางอย่างมาก อาจเกิดการผิดพลาดได้ถ้าเราไม่เลือกให้ดี ซึ่งจริงๆ แล้วเราควรศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นการทำหัตถการใดๆ ก็ตาม เพราะจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในและความปลอดภัยได้มากขึ้น

แนะนำคุณหมอฉีดโบท็อกระดับอาจารย์

การฉีดโบท็อกยิ่งถ้าเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีเทคนิคดีๆ แล้วล่ะก็รับรองได้เลยว่า ใบหน้าของเราจะออกมาดูสวยธรรมชาติเป็นอย่างมาก วันนี้เลยจะขอแนะนำคุณหมอฉีดโบท็อกระดับอาจารย์ประจำ APEX ให้ได้รู้จักกัน

หมอนัน

คุณหมอนัน – แพทย์หญิงนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ

คุณหมอนันเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และเป็นอาจารย์สอนด้านศัลยศาสตร์ผิวพรรณ นอกจากนั้นคุณหมอนันยังเป็นผู้บุกเบิกการใช้สารลดเลือนริ้วรอย (Botulinum Toxin A) กลุ่มแรกของประเทศไทยมากกว่า 20 ปี จนได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ1 ของเอเชียแปซิฟิค ด้วยประสบการณ์การฉีดโบท็อก (Botox) มากที่สุดเป็นคนแรกของประเทศไทยถึง 8 ปีซ้อน เรียกได้ว่าคุณหมอนันมีความรู้อย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นชั้นผิว หรือ กล้ามเนื้อมัดไหนบนใบหน้าก็สามารถฉีดได้อย่างตรงจุด แม่นยำ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 30 ปี จนได้รับสมญานามว่า Botox Queen และยังเป็นผู้ก่อตั้ง Apex Medical Center อีกด้วย

หมอเอก

คุณหมอเอก – น.พ.เอกลัคณ์  ธรรมสุนทร

เทพแห่งการศัลยกรรมยกหน้าด้วยเครื่องและเข็ม ฉายานี้คุณหมอเอกได้มากจากคนไข้ที่ถูกใจในฝีมือการฉีดของคุณหมอ เพราะคุณหมอเอกเป็น Aesthetic Surgeon ไม่ว่าจะเรื่องฉีด หรือใช้เครื่องยกกระชับ ก็สามารถทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาใกล้เคียงกับการทำศัลยกรรมเลยทีเดียว และคุณหมอยังมีเทคนิคการทำแบบ Business Class ยกหน้าแบบสบายๆ ไม่เจ็บแต่ผลลัพธ์พรีเมี่ยม ซึ่งคุณหมอเอกมีประสบการณ์สอนการฉีด Botox Filler ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าของบริษัท Allergan โดยคุณหมอเอกนั่นเป็นแพทย์ผู้ฝึกสอนการฉีดโบท็อกและฟิลเลอร์ เพียงแค่ไม่กี่คนในประเทศไทยที่ได้เป็นผู้เทรนเรื่องการฉีดให้กับแพทย์ไทยและต่างชาติทั่วทวีปเอเชียและยุโรป

คำถามที่พบบ่อย

Q: ฉีดโบท็อกใต้ตา แล้วตาแข็งเป็นเพราะอะไร?

A: เมื่อฉีดโบท็อกใต้ตาแล้วเกิดอาการตาแข็ง ตาตก หรือขยับกล้ามเนื้อบริเวณตาได้ยาก อาจจะเป็นเพราะแพทย์ที่ฉีดให้ไม่มีความชำนาญ ฉีดในปริมาณที่มากเกินไป ฉีดลึกเกินไป ไม่ตรงจุดกับมัดกล้ามเนื้อที่ต้องการจะแก้ไข ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นเหตุผลที่เราต้องเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาเหล่านี้เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถฉีดโบท็อกได้อย่างแม่นยำ ตรงจุด ประเมินปัญหาของเราได้ว่าควรใช้โบท็อกปริมาณเท่าไหร่ ไม่มากไม่น้อยไป และไม่ฉีดโดนกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง

Q: ฉีดโบท็อกมีผลเสียไหม?

A: เนื่องจากโบท็อกเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่สกัดมากจากแบคทีเรีย Clostridium Botulinum สามารถสลายได้ 100% ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ถ้าโบท็อกนั้นเป็นของแท้ มีอย. รองรับ จึงไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยควรฉีดโบท็อกกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการอบรมในการฉีด มีเทคนิคและประสบการณ์ ในคลินิกที่ได้รับรองมาตรฐาน สามารถตรวจสอบได้ ก็สามารถการันตีได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่ส่งผลเสียหลังฉีดโบท็อก

Q: ฉีดโบท็อกใต้ตาช่วยแก้ตาคล้ำได้ไหม?

A: การฉีดโบท็อกใต้ตาเป็นการฉีดเพื่อช่วยลดริ้วรอย แต่ไม่ได้ช่วยให้ความคล้ำใต้ตาจางลง ถ้าใครมีปัญหานี้อยู่ขอแนะนำเป็นการฉีดฟิลเลอร์ จะตอบโจทย์มากกว่า เพราะว่าฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มร่องลึกบริเวณร่องน้ำตาที่เป็นส่วนทำให้ใบหน้าดูโทรม อิดโรย เมื่อฉีดฟิลเลอร์แล้วใต้ตาจึงดูตื้นขึ้น รอยคล้ำจางลง

Q: ฉีดโบท็อกใต้ตาเจ็บมากไหม?

A: แม้ว่าบริเวณดวงตาจะเป็นส่วนที่บอบบางมาก แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะว่าก่อนฉีดโบท็อกจะมีการแปะยาชา และระหว่างฉีดโบท็อกจะมีการประคบเย็นไปด้วย นอกจากนั้นเข็มที่ใช้ฉีดโบท็อกก็มีขนาดที่เล็กมากๆ หลายคนจึงแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลย

Q: โบท็อกอเมริกาหรือเกาหลีดีกว่ากัน?

A: โบท็อกแต่ละประเทศมีข้อดีอยู่ในตัวเอง แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้แตกต่างกัน

โบท็อกอเมริกา Botox Allergan USA เป็นโบท็อกสัญชาติแรกที่ผลิตออกมา และคิดค้นสารโบทูลินั่มสำหรับลดเลือนริ้วรอย แถมยังเป็นเจ้าแรกที่ได้รับการรับรองจาก FDA USA และมีการพัฒนา วิจัยมากมายกว่า 4,000 งานวิจัยของด้านความปลอดภัยและผลข้างเคียง จึงได้รับความนิยมจากทั่วโลก โดยข้อดีคือ โมเลกุลใหญ่ เมื่อฉีดเข้าไปจึงมีความเที่ยงตรงและแม่นยำสูง ไม่ไหลไปกล้ามเนื้อมัดอื่น เห็นผลลัพธ์ใน 2-3 วันหลังฉีด และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ 6-8 เดือน

โบท็อกเกาหลี ผลิตออกมาหลากหลายยี่ห้อที่ได้รับรองอย.ในไทย อย่างเช่น Aestox , Botulax , Nabota จุดเด่นของโบท็อกเกาหลีคือ ราคาถูกกว่า ออกฤทธิ์ค่อนข้างไว แต่บางตัวจะสลายเร็ว เห็นผลลัพธ์ใน 4-5 วันหลังฉีด และ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ 3-4 เดือน

เห็นข้อแตกต่างระหว่างโบท็อกอเมริกาและโบท็อกเกาหลีแล้ว หลายคนคงตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าใครสนใจโบท็อก Allergan USA ที่ APEX ของเราเป็นคลินิกเดียวที่ได้รับรางวัล ‘Top Allergan Aesthetics Valued Customer in Total Porfolio 2020 (Facial Aesthetics & Body Contouring)’ เป็นรางวัลสำหรับคลินิกที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์จาก Allergan อย่างโบท็อกและฟิลเลอร์สูงสุดในประเทศไทย ซึ่งรางวัลนี้จัดขึ้นโดยตรงจากบริษัท Allergan ซึ่งเป็นผู้ผลิตพัฒนา นำเข้าจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความงาม อย่าง BOTOX, JUVÉDERM FILLER, COOLSCULPTING ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าด้วยประสบการณ์ด้านความงามกว่า 25 ปี ของ APEX Medical Center และรางวัลที่เราได้รับนี้ จะเป็นตัวช่วยการันตีได้ว่าเอเพ็กซ์มีความมุ่งมั่นและคัดสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อมอบให้กับผู้เข้าใช้บริการ จนได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องตลอดมา

รางวัล

ไม่ว่าจะเป็นสูตรมาสก์ใต้ตาลดริ้วรอยที่เราเอามาฝากกันนี้ หรือวิธีการฉีดโบท็อกใต้ตา ก็สามารถช่วยให้ปัญหาใต้ตาที่หลายคนเป็นกังวลอยู่มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ แต่อาจจะแตกต่างกันที่เรื่องของระยะเวลาในการรักษา ดังนั้นใครชอบแบบไหน อยากได้ผลลัพธ์แบบใด ลองตัดสินใจกันดูนะคะ ถ้าใครมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกใต้ตา สามารถขอคำแนะนำจาก APEX ได้เลย เพราะเรามีทีมแพทย์คอยให้คำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา

เรื่องฉีดโบท็อก/ฟิลเลอร์มั่นใจ APEX! สอบถามรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม หรือ จองคิวรักษาได้ทาง Line@ : @apexbeauty (มี @ นำหน้า)