5 อาหารควรเลี่ยง เสี่ยงระบบเผาผลาญพัง

อาหารทำให้อ้วน
ระบบเผาผลาญ เปรียบเสมือนเตาขนาดใหญ่ในร่างกายที่คอยเผาผลาญอาหารต่าง ๆ และเปลี่ยนมันเป็นพลังงานให้ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงในการใช้ชีวิตประจำวัน ทว่าบางคนกลับมีปัญหาเรื่องระบบเผาผลาญอย่างหนัก จนทำให้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง มีน้ำหนักตัวมากเกินไป กลายเป็นโรคอ้วน โดยหากเกิดขึ้นจากอาการป่วย การรักษาอย่างทันท่วงที และถูกวิธีก็สามารถช่วยให้ระบบเผาผลาญกลับมาปกติได้ แต่บางคนนั้นแค่เพียงหยุดอาหารโปรดที่ทำลายระบบเผาผลาญก็เห็นความเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่อาหารที่ทำให้ระบบเผาผลาญพัง และควรเลี่ยง มีอะไรบ้าง มาลองดูกันค่ะ จะได้เลี่ยง อาหารทำให้อ้วน ได้ไงล่ะ

1. คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาล

ด้วยเพราะคนไทยมีข้าวเป็นอาหารหลักในแต่ละวัน ดังนั้นการรับประทานคาร์โบไฮเดรตจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ไม่เพียงเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังมีปัญหาเรื่องการติดหวาน ซึ่งเมื่อรวมทั้ง 2 อย่างนี้เข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นอาหารเหล่านี้จึงเป็น อาหารทำให้อ้วน การรับคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ ระบบการเผาผลาญจะหยุดทำงาน และทำให้ร่างกายไม่เกิดการเผาผลาญน้ำตาล หรือคาร์โบไฮเดรตที่เราบริโภคเข้าไปได้จนทำให้สารอาหารทั้งสองชนิดนี้ถูกสะสมไว้ในร่างกายในรูปแบบของไขมันส่วนเกินตามอวัยวะต่าง ๆ นั่นเอง

2. น้ำอัดลมไดเอต

แม้ว่าน้ำอัดลมไดเอต จะเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน 0 กิโลแคลอรี และดูเหมือนจะดีต่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว น้ำอัดลมเหล่านี้ก็ยังมีความหวานจากสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่เรียกว่า แอสปาร์แตม กับ ซูคราโลส อยู่ดี โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นสารสังเคราะห์ที่ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญอย่างมาก โดยหากเข้าสู่ร่างกายไปแล้วก็จะไปส่งผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินมากขึ้นไม่ต่างจากการรับประทานของหวาน และทำให้ระบบเผาผลาญหยุดการทำงานในที่สุด และถ้าหากคุณยังดึงดันจะดื่มต่อไป สิ่งที่ตามมาก็คือระบบเผาผลาญจะพัง และคุณจะไม่สามารถลดน้ำหนัก หรือลดสัดส่วนได้อีกเลย

3. เบียร์

คอเบียร์อาจมีร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เบียร์แทบจะเป็นเครื่องดื่มที่พังระบบเผาผลาญเลยก็ว่าได้ โดยสามารถสังเกตได้ว่าคนที่ดื่มเบียร์บ่อย ๆ จะมีปัญหาเรื่องลงพุง นั้นก็เป็นเพราะว่า ในกระบวนการ กระบวนการย่อยสลายแอลกอฮอล์ที่เกิดจากการดื่มเบียร์นั้นจะก่อให้เกิดของเสียที่เรียกว่า อะซิเตท และอะซีตัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นของเสียที่เมื่อสมองตรวจจับสารทั้ง 2 ชนิดนี้ได้ จะส่งสัญญาณให้ร่างกายหยุดเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ในตัวทันที และในขณะเดียวกัน สมองก็จะสั่งให้ร่างกายแปลงของเสียเหล่านี้ให้กลายเป็นไขมันสะสม และทำให้อ้วนลงพุงได้ในที่สุด

4. น้ำผลไม้

แม้ผลไม้จะมีประโยชน์ แต่น้ำผลไม้นั้นกลับมาผลตรงข้ามกันค่ะ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ที่บรรจุกล่อง หรือขวดขายในท้องตลาด มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก โดยน้ำผลไม้เพียง 1 แก้วมีน้ำตาลถึงเกือบ 5 ช้อนชาเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับระบบเผาผลาญ เพราะว่าต่อให้มีวิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ แต่น้ำตาลที่มีก็จะไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลีน และทำให้ระบบเผาผลาญหยุดชะงักอยู่ดี ดังนั้นถ้าคิดว่าอยากจะดื่มน้ำผลไม้ ควรรับประทานผลไม้สดไปเลยจะดีกว่า อีกทั้งยังควรเลือกรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย และรับประทานอย่างพอดีค่ะ

5. ขนมกรุบกรอบ

ไม่ว่ามันฝรั่งอบกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ และอื่น ๆ อีกมากมาย ก็ล้วนแต่มีคาร์โบไฮเดรต และสารปรุงแต่งในปริมาณมากทั้งนั้น ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเมื่อถูกย่อยแล้วก็จะกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส ส่งผลให้ระดับอินซูลินในร่างกายพุ่งสูงขึ้น ในขณะเดียวกับสารปรุงแต่งในขนมถุงก็ยังไปช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลีนอีกด้วย ผลที่ตามมาก็คือ ระบบเผาผลาญจะถูกหยุดการทำงานแทบจะในทันทีที่คุณรับประทานเข้าไป ดังนั้นไม่อยากอ้วนก็ต้องเลี่ยง ๆ บ้างนะคะ

อาหารเหล่านี้ที่หยิบมาฝาก เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาหารที่ทำให้ระบบเผาผลาญพังได้ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าอาหารส่วนใหญ่ที่ทำให้ระบบเผาผลาญมีปัญหามักจะเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาล หรือไม่ก็เป็นสารสังเคราะห์ที่ส่งผลต่อการหลั่งของอินซูลิน ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะเลี่ยงจากอาหารที่ทำร้ายระบบเผาผลาญ ก็ควรเริ่มจากการลดหวาน ลดแป้ง และอาหารที่ใส่สารปรุงแต่งในปริมาณมาก ๆ หากคุณสามารถทำได้ และหมั่นดื่มน้ำเยอะ ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะยิ่งช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดียิ่งขึ้นโดยที่คุณไม่ต้องโด๊ปอะไรเพิ่มเลยล่ะค่ะ

แต่ถ้าหากคุณยังมีสัดส่วนที่ไม่น่าพึงพอใจ และยังพบว่าไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ยังสร้างความกังวลใจให้คุณได้อย่างมาก เรามีตัวช่วยที่จะกำจัดไขมันส่วนเกินออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันคุณไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ตัวช่วยที่ว่าก็คือ การสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting นั่นเองค่ะ

CoolSculpting คือเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็นที่ถูกคิดค้นและพัฒนาโดยทีมแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเกิดขึ้นจากการเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของปริมาณไขมันที่แก้มของเด็กที่ดูดไอติมแท่ง และพบว่าการที่เด็กดูดไอติมแท่ง หรืออมไว้นาน ๆ จะทำให้ไขมันบริเวณที่แก้มหายไป และจากการค้นพบนี้จึงได้มีการนำเอาผลงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting 

ทั้งนี้ในกระบวนการการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะมีการส่งพลังงานความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13 °C ลงไปใต้ชั้นผิวหนังเข้าสู่ชั้นไขมันผ่านทาง Applicator ที่มีหลากหลาย โดยใช้เวลาในการทำ 35 – 75 นาที ซึ่งในระยะเวลาขนาดนี้จะทำให้เซลล์ไขมันตายลง และถูกขับออกจากร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก ทำให้ไม่เกิดรอยแผล ขณะที่ในระหว่างการทำก็ไม่มีอาการเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้ยาชา หรือยาสลบเพื่อระงับอาการเจ็บปวด หลังจากทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมตามปกติ

ไม่เพียงเท่านั้น CoolSculpting ยังเป็นเครื่องมือแรก และเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง U.S.FDA (Food and Drug Administration) โดยมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด เมื่อเทียบกับการกำจัดไขมันวิธีอื่น ๆ

ที่ APEX เราเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียในด้านการทำ CoolSculpting และมีทีมผู้เชี่ยวชาญอย่าง CoolSculpting Specialist ที่ผ่านการฝึกอบรม เสริมความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถให้คำแนะนำ และช่วยออกแบบรูปร่าง รวมทั้งยังช่วยดูแลคุณตลอดกระบวนการทำ CoolSculpting ได้อย่างเป็นมืออาชีพ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะมีรูปร่างที่ดูดีได้ตามอย่างที่ต้องการแน่นอนด้วย CoolSculpting จาก APEX ทุกสาขาค่ะ

 

ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter