แผลเป็น หลุมสิว รูขุมขนใหญ่
ทำอย่างไรให้ร่องรอยจากสิวหมดไป เปลี่ยนเป็นผิวละเอียดเรียบเนียน
รอยแผลเป็น เกิดขึ้นได้อย่างไร?
แผลเป็นเกิดจากกระบวนการรักษาแผลที่เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ มีการสร้างเนื้อเยื่อซึ่งเป็นคอลลาเจน (collagen) มาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป เป็นกระบวนการสมานรักษาแผลตามธรรมชาติและเมื่อแผลหายดีแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้
แผลเป็นมักมีลักษณะเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลและนูนขึ้น กระบวนการตามธรรมชาติจะช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงพร้อมทั้งแบนราบลงได้เอง แต่จะใช้ระยะเวลานานประมาณ 1-2 ปีเป็นต้นไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลด้วย ถ้าแผลลึกมาก แผลเป็นก็อาจจะคงอยู่ตลอดไป เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจและทำให้ไม่มั่นใจอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเป็นในบริเวณใบหน้า
แผลที่มักทำให้เกิดรอยแผลเป็น ได้แก่ แผลผ่าตัด แผลจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ แผลสิว แผลจากโรคสุกใส เป็นต้น
แผลเป็น หลุมสิว เรื่องหนักใจของคนเป็นสิวและเคยเป็นสิว
ปัญหาหนักใจที่คนเป็นสิวต้องพบเจอก็คือ ร่องรอยหลังจากเป็นสิว ทั้งรอยดำที่ใช้ระยะเวลานานกว่าจะจางลง หรือหลุมสิวที่ทำอย่างไรก็ไม่หาย แผลเป็นและรอยดำจากสิว แม้จะรักษายากกว่าสิว แต่ก็ยังสามารถรักษาได้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่จะทำให้ผิวของคนที่พบปัญหาเหล่านี้กลับมาเรียบเนียนได้อีกครั้ง เช่น การทำเลเซอร์หลุมสิว หรือการทำเลเซอร์ รอยสิว เป็นต้น
แผลเป็นและหลุมสิว รักษาอย่างไร?
หลักการรักษาแผลเป็นคือ การส่งพลังงานลงไปใต้ชั้นผิว เพื่อทำลายเนื้อเยื่อที่เป็นแผลเป็นและทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ แผลเป็นก็จะเติมเต็ม ผิวก็จะกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง แผลเป็นนั้นมีระดับของปัญหาแตกต่างกัน บางชนิดเป็นเพียงแผลตื้นๆ เป็นรอยแดง เช่น แผลเป็นหลังสิวหาย แต่บางชนิดก็เป็นหลุมลึก เนื่องจากเป็นแผลเป็นมานาน ในการรักษาปัญหาแผลเป็นจำเป็นต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาและไลฟ์สไตล์ของผู้เข้ารับการรักษา ดังนั้นการพิจารณาเลือกคลินิกที่มีวิธีการรักษาและนวัตกรรมที่หลากหลายก็จะเป็นประโยชน์มากกว่า สามารถให้การรักษาที่เหมาะสมในทุกสภาพปัญหาส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เทคโนโลยีในการรักษาแผลเป็นและหลุมสิว มีอะไรบ้าง?
นวัตกรรมรักษาแผลเป็นหรือหลุมสิวนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่แก้ปัญหารอยแดงด้วยการผลัดเซลล์ผิว ไปจนถึงการสร้างคอลลาเจนลึกเพื่อให้แผลเติมเต็ม การเลือกใช้เทคโนโลยีก็ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา ไลฟ์สไตล์และงบประมาณ ทั้งนี้เทคโนโลยีในการรักษาแผลเป็นในปัจจุบันมีความก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถทำให้แผลหายเร็วขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง
1. ผลัดเซลล์ผิว
เป็นวิธีที่มีมานาน ช่วยลดการเกิดสิวและขจัดรอยแดงของผิวชั้นบน ถ้าหากพบปัญหาเพียงแค่รอยแดงเล็กน้อยที่ชั้นผิวชั้นบน ไม่ได้เป็นหลุม ก็สามารถสามารถเลือกใช้วิธีการผลัดเซลล์ผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Diamond) หรือที่เรียกว่า Microdermabrasion ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและขจัดสิ่งตกค้างอุดตันในผิวให้หมดไป ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น เกิดสิวน้อยลงและรอยแผลต่างๆ ตื้นขึ้น รอยด่างดำจะจางลงเมื่อรักษาต่อเนื่อง 5 – 10 ครั้ง แต่ถ้าหากมีแผลเป็นด้วย การผลัดเซลล์ผิวจะไม่สามารถรักษาได้ จำเป็นต้องใช้ทรีทเม้นท์ที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในระดับลึก อย่าง EnerJet, Sublative RF หรือ Fraxel
2. Smart Light
เป็นการรักษาด้วยแสงหลายชนิด เป็นพลังงานแสง soft laser ช่วยลดการอักเสบ ทำให้แผลหายเร็วและกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการเรียงตัวคอลลาเจนหลังแผลหายได้ดีขึ้น ช่วยลดแผลเป็นนูนหนาได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับการรักษาแผลเป็นจากสิวและหยุดยั้งการอักเสบของสิวที่เป็นสาเหตุของแผลเป็น
3. Gold Toneing
พลังงานแสงความยาวคลื่นพิเศษที่พัฒนามาล่าสุดที่ใช้ในการรักษารอยแดงจากสิวหรือแผลเป็นที่หายใหม่ๆ ทำให้รอยแดงจางหายอย่างรวดเร็ว สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
4. Fraxel Fine
เป็นเลเซอร์ฟื้นฟูผิวและแก้ไขปัญหาหลายชนิด ด้วยหลักการทำงานของแฟล็กชั่นนอลเลเซอร์ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวเป็นจุดเล็กๆ ที่ให้ความอ่อนโยนต่อผิว ออกแบบให้เหมาะกับผิวคนไทย แฟล็กชั่นนอลเลเซอร์ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพและฟื้นฟูเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในระดับลึก เพื่อให้แผลเป็นเติมเต็ม โดยไม่ทำลายผิวชั้นบนๆ ไม่ทำให้เกิดอาการหน้าดำ หมองคล้ำหรือผิวเสียจากการรักษา ส่วนใหญ่ต้องทำต่อเนื่องสัก 2-3 ครั้งขึ้นไปและขึ้นอยู่กับรอยแผลเป็นด้วย
5. Sublative RF
เป็นการพัฒนาไปอีกขั้นในการรักษาแผลเป็น เหนือกว่าวิธีเลเซอร์ Fraxel ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถสร้างคอลลาเจนใหม่ได้รวดเร็วกว่าและผลข้างเคียงน้อยกว่า
Sublative RF เป็นพลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) ในรูปแบบ Fractional RF ลักษณะพลังงานจะเปลี่ยนจากสามเหลี่ยมแบบหงายที่พบในเลเซอร์มาเป็นแบบคว่ำ คือเป็นทรงปิรามิด ทำให้ด้านบนจะถูก burn น้อย และสามารถเข้าไปถึงบริเวณชั้นผิวหนังแท้ได้กว้างขึ้น จึงฟื้นฟูคอลลเจนลึกได้มากกว่า แต่ทำลายผิวชั้นบนน้อยกว่า ดังนั้นปัญหาดำคล้ำหลังการทำก็จะน้อยลง ขณะที่ประสิทธิภาพในการรักษาดีขึ้น สามารถกระตุ้นให้เกิดคอลลาเจนใหม่ในบริเวณแผลเป็นได้มากขึ้น แผลจึงเติมเต็มได้เร็วขึ้น ใช้จำนวนครั้งในการทำน้อยกว่าและมีโอกาสเสี่ยงที่ผิวจะดำคล้ำ หรือบางลงน้อยกว่าวิธีรักษาด้วยการเผาผิวแบบเก่า
6. EnerJet
เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่เปลี่ยนวิธีการรักษาแผลเป็นในวงการแพทย์ไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการเติมเต็มแผลเป็นอย่างทันทีทันใด ด้วยการนำฟิลเลอร์จำนวนมากลงสู่ชั้นผิวทุกระดับ
ทำงานโดยการใช้พลังงานจลน์ (Kinetic Energy) ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ที่มีแรงดันลมพลังสูงมาก นำพาเอาสารไฮยาลูรอนิคหรือฟิลเลอร์ผ่านผิวหนังสู่เนื้อเยื่อผิวหนังภายใน เสมือนกระสุนนาโน นำโมเลกุลของฟิลเลอร์กระจายตัวเป็นละอองเล็กๆ ด้วยแรงดันของลม วิ่งผ่านเนื้อเยื่อผิวหนังทั้ง 3 ระดับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างและขณะเดียวกันก็ลงลึกถึงชั้น SMAS ที่เป็นตาข่ายรองรับเนื้อเยื่อผิวหนัง ทำให้เกิดการเติมเต็มแผลเป็นและสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างทันที นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับ ลดริ้วรอยอย่างชัดเจน ตั้งแต่ครั้งแรกที่รับการรักษา ที่สำคัญคือ ไม่มีการใช้พลังงานที่ทำให้เกิดความร้อน จึงไม่มีโอกาสที่จะเกิดผิวไหม้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการรักษาผิวหนังทางการแพทย์ที่ไม่ต้องพึ่งพลังงานที่ทำให้เกิดความร้อนใต้ผิวเพื่อฟื้นฟูหรือซ่อมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนภายใน
จากผลการศึกษา EnerJet สามารถสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ เพื่อการรักษาแผลเป็นได้อย่างดีเยี่ยม สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่า และที่สำคัญคือ ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้ ไม่ต้องคอยหลบแดดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในการรักษาแผลเป็นในปัจจุบัน
จากวิธีการทั้งหมดที่กล่าวมา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการรักษาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
LINE : http://line.me/ti/p/%40apexbeauty