5 ท่า สลายไขมันต้นขา ทำได้ ! แม้อยู่ที่ออฟฟิศ

สลายไขมันต้นขา
ขาเบียด ต้นขาใหญ่ เป็นปัญหาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่คงไม่ชอบใจสักเท่าไรนัก เพราะนอกจากจะทำให้ขาไม่สวยแล้ว การ สลายไขมันต้นขาออกไปยังทำได้ยาก ซึ่งปัญหาต้นขาใหญ่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลักษณะทางพันธุกรรม สรีระทางร่างกาย หรือแม้การทำงานของระบบเผาผลาญที่ไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้หมด จนเกิดไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ที่บริเวณต้นขาทั้งด้านนอกและด้านใน ถ้าเกิดด้านในจะทำให้เกิดปัญหาขาเบียด แต่ถ้าสะสมอยู่บริเวณด้านนอกจะทำให้ขาไม่เรียวดูตัน ทั้งนี้ปัญหาต้นขาใหญ่สามารถเกิดได้แม้แต่คนผอมๆ เพราะหากคุณมีลักษณะพันธุกรรม หรือลักษณะสรีระที่ใหญ่บริเวณต้นขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การมีต้นขาใหญ่โดยไม่อ้วนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ทราบแบบนี้แล้วใครที่คิดว่าต้นขาใหญ่ๆ สามารถกำจัดออกได้ด้วยการออกกำลังกาย ด้วยการวิ่ง หรือเดินออกกำลังกายอาจต้องคิดใหม่ เพราะลำพังเพียงการเดินออกกำลังกายอย่างเดียวอาจไม่สามารถกำจัดต้นขาใหญ่ ออกไปได้ เนื่องจากเป็นบริเวณที่ต้องออกกำลังกายเจาะจงเฉพาะส่วนจึงจะเห็นผลลัพธ์ วันนี้เราเลยขอหยิบเอาท่าออกกำลังกาย สลายไขมันต้นขาที่จะช่วยลดต้นขาด้านใน และด้านนอก โดยที่สามารถทำได้แม้ในเวลางานมาฝากกัน เผื่อจะได้ฟิตไป ทำงานไป ต้นขาจะได้เรียวสวยสมใจ 

สารบัญ

5 ท่าออกกำลังกาย สลายไขมันต้นขา ทำได้ ! แม้อยู่ที่ออฟฟิศ

ท่าบีบเข่า

วิธีฝึก

  • นั่งหลังตรงบน งอเข่า ให้เท้าเหยียบพื้นขนานกับพื้น
  • ใช้เข่าทั้งสองข้างหนีบลูกบอลน้ำหนัก หรือผ้าขนหนูม้วนเอาไว้
  • บีบเข่าทั้งสองข้างเข้าหากัน ค้างไว้ 30 วินาที จากนั้นพัก 5 วินาที
  • ทำซ้ำจนครบ 10 ครั้ง


ท่ายกขา

วิธีฝึก

  • นั่งหลังตรง เหยียดขาไปข้างหน้า
  • ไขว้ขาขวาทับบนขาซ้ายโดยให้ข้อเท้าอยู่บนหน้าแข้งซ้าย จับที่ปลายเก้าอี้ เพื่อช่วยในการทรงตัว
  • เกร็งกล้ามเนื้อด้านในต้นขาขวา งอขาไว้ แล้วยกขาให้สูงที่สุด 
  • ค้างท่าไว้ 5 วินาที แล้ว ค่อยๆ เอาขาลง และกลับสู่ท่าเริ่มต้น
  • ทำซ้ำจนครบข้างละ 5 – 10 ครั้ง
  • เปลี่ยนข้าง

ท่าหมุนขา

วิธีฝึก

  • ขยับมานั่งบริเวณปลายเก้าอี้ งอขาซ้าย วางเท้าซ้ายราบกับพื้น
  • จับปลายเก้าอี้ไว้ เพื่อช่วยในการทรงตัว
  • เหยียดขาขวา แล้วยกขาให้ขนานกับพื้น พร้อมเอนหลังเล็กน้อย
  • หมุนขาขวาตามเข็มนาฬิกา 10 ครั้ง และทวนเข็มนาฬิกา 10 ครั้ง
  • สลับข้าง ทำข้างซ้ายเช่นเดียวกันจนครบ

ท่าเกร็งก้น 

วิธีฝึก

  • นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ เกร็งบั้นท้าย ค้างไว้ 2-3 วินาทีแล้วปล่อย
  • ทำจนครบ 1 นาที แล้วพัก 20 วินาที
  • ทำซ้ำจนครบ 2 ครั้ง

ท่าหุบขา

วิธีฝึก

  • นั่งหลังตรงบน งอเข่า ให้เท้าเหยียบพื้นขนานกับพื้น
  • แยกเข่าออกจากกัน ให้ความกว้างเท่ากับสะโพก จากนั้นวางมือเข้าที่เข่าด้านใน
  • บีบหัวเข่าเข้าหากัน ขณะเดียวกันก็ใช้มือดันหัวเข่าให้แยกออกจากกัน เพื่อเพิ่มแรงต้าน
  • ออกแรงดันจนกว่าจะหลังมือชนกัน กลับสู่ท่าเริ่มต้น
  • ทำซ้ำจนครบ 15 – 20 ครั้ง

ท่าออกกำลังกายเหล่านี้ นับเป็นท่าง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้เองตอนที่นั่งทำงานอยู่ แต่ถ้าหากคุณต้องการ สลายไขมันต้นขา ชนิดที่ว่าเห็นผลลัพธ์รวดเร็วทันใจ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นอย่าง CoolSculpting ที่สามารถช่วยคุณได้ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดเพื่อคนที่ต้องการมีรูปร่างดีโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการส่งคลื่นความเย็นอุณหภูมิ -11 องศาเซลเซียส เข้าไปทำให้เซลล์ไขมันบริเวณที่ทำตายลง จากนั้นเซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะค่อยๆ ถูกกำจัดออกจากร่างกายผ่านกลไกทางธรรมชาติ ใช้เวลาเพียง 1–3 เดือน ก็สามารถเห็นรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างชัดเจน โดยไม่มีปัญหาผิวย้วยตามมาหลังจากการทำ CoolSculpting ทำให้คุณกลับมามีต้นขาที่ดูเรียวสวยได้อีกครั้ง บอกลาความหนักใจไปได้เลย

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะ CoolSculpting เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง U.S.FDA (Food and Drug Administration) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันที่ดีที่สุดในโลกเรื่องความปลอดภัย อีกทั้งมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุดอีกด้วย

ผลลัพธ์ของ Coolsculpting เมื่อกับวิธีอื่น

Coolsculpting vs ยาลดน้ำหนัก

ยาลดน้ำหนัก หรือยาลดความอ้วน เป็นยาที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง โดยเฉพาะยาชุดที่ขายกันในท้องตลาด เป็นเพียงแค่การนำยาชนิดต่างๆ ที่หากใช้ในปริมาณมากแล้วจะยิ่งเป็นอันตราย ซึ่งที่พบได้ส่วนใหญ่ในยาชุดลดความอ้วนคือ ยาขับปัสสาวะ ที่หากใช้ในผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต เกินปริมาณที่แพทย์กำหนด หรือใช้โดยไม่มีสาเหตุจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากเกินไป และทำให้เกิดภาวะขาดน้ำจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ไม่เพียงเท่านั้นเพราะนอกจากยาขับปัสสาวะแล้ว ยังมียาอีกหลายชนิดที่ส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย หากใช้ในปริมาณมากๆ อาจทำให้เกิดภาวการณ์ทำงานของอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้ด้วยเช่นกัน

ในขณะที่การทำ CoolSculpting ผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องรับประทานยาใดๆ และมั่นใจได้ว่าจะไม่ส่งผลเสียกับร่างกายในภายหลังแน่นอน เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ตายลงจากการทำ CoolSculpting จะถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีการตกค้างให้กังวลใจอย่างแน่นอน

Coolsculpting vs ดูดไขมัน (Liposcution)

การดูดไขมัน เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่ต้องผ่าตัดเพื่อเปิดแผลและสอดท่อและอุปกรณ์สูญญากาศเข้าไปดูดไขมัน โดยแท่งดังกล่าวจะช่วยกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนังออกได้ในปริมาณมากๆ ภายในครั้งเดียว แต่ก็มีข้อเสียคือในระหว่างการทำจะต้องมีการใช้ยาสลบซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อผู้เข้ารับบริการได้ในภายหลัง นอกจากนี้การดูดไขมันด้วยวิธีนี้หากแพทย์ผู้ทำไม่เชี่ยวชาญพออาจดูดไขมันออกได้ไม่หมดและทำให้ผิวมีลักษณะเป็นคลื่นดูไม่สวยงาม หรืออาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำบริเวณที่ดูดไขมันได้ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้อีกด้วย และถ้าหากต้องการกลับมาดูดไขมันซ้ำ จะทำได้ยากและอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ได้

ส่วน CoolSculpting คือการกำจัดไขมันด้วยความเย็น ที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องเจ็บ เนื่องจากการทำ CoolSculpting จะเป็นการติดเครื่องมือไว้บนผิวหนังและส่งความเย็นลงไปยังชั้นไขมัน เมื่อไขมันในบริเวณดังกล่าวได้รับความเย็นให้อุณหภูมิติดลบเป็นเวลา 35–45 นาที เซลล์ไขมันที่มีความไวต่ออากาศเย็นถูกทำให้ตายลง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นๆ ในร่างกาย หลังจากนั้นเซลล์ที่ตายจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านกลไกของร่างกาย และไม่ต้องพักฟื้นเหมือนกับการดูดไขมัน นอกจากนี้ CoolSculpting ยังสามารถกลับมาทำซ้ำได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนใดๆ

Coolsculpting vs Thermage FLX

หลายคนอาจคิดว่าการทำ Thermage FLX สามารถช่วยลดสัดส่วนบริเวณที่กังวลได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำ Thermage FLX เป็นเพียงแค่การยกกระชับผิวไม่ใช่การกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายแต่อย่างใด ดังนั้นแม้จะทำ Thermage FLX บริเวณที่กังวลก็ยังคงมีไขมันส่วนเกินอยู่ ต่างจาก CoolSculpting นั้นสามารถช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้โดยที่ไม่ทำให้ผิวย้วยเนื่องจากการลดน้ำหนักได้ ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถมีรูปร่างที่ดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องผิวที่ย้วยอีกต่อไป

Coolsculpting vs HIFU Body

Body HIFU เทคโนโลยีกระชับผิว ด้วยพลังงาน HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อการกระชับผิวกาย ด้วยการส่งพลังงานความร้อนอุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียสไปที่เซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย และขับออกผ่านระบบการไหลเวียนของร่างกายตามธรรมชาติ โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นกับเฉพาะเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น จึงมั่นใจได้ว่าเฉพาะเซลล์ไขมันเท่านั้นที่จะถูกจัดการ และกำจัดออกจากร่างกาย

ฟังแล้ววิธีนี้อาจจะคล้ายกับการทำ CoolSculpting แต่แตกต่างกันที่ใช้ความร้อน และความเย็นในการกำจัดเซลล์ไขมัน แต่ถ้าเทียบถึงความสะดวกสบายแล้ว CoolSculpting ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเป็นการใช้ความเย็นในการกำจัดไขมัน ต่างจาก HIFU Body ที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อแผลเบิร์นไหม้จากความร้อนได้อีกด้วย แต่ CoolSculpting นั่นความเสี่ยงต่ำ และไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเบิร์นแต่อย่างใด

Coolsculpting vs Sculpsure

Sculpture คือ เทคโนโลยีในการกำจัดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) สามารถกำจัดเซลล์ไขมันที่ในบริเวณที่กำจัดได้ยาก เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือเอว ด้วยการใช้คลื่นพลังงานเลเซอร์ ในช่วงคลื่น 1060NM ที่ทำให้เกิดความร้อน ในระดับอุณหภูมิ 42-47 องศาเซลเซียส เข้าไปทำให้เซลล์ไขมันตายลง ซึ่งในแต่ละครั้งที่ทำ สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ประมาณ 24 % ของไขมันทั้งหมดบริเวณนั้นๆ แม้จะดูเหมือนให้ผลลัพธ์ที่ดี เช่นเดียวกับการใช้ HIFU Body ที่อาจเสี่ยงกับการเบิร์นจากความร้อนได้เช่นกัน นอกจากนี้การทำ Sculpsure ที่เป็นการใช้ความร้อนในการทำลายเซลล์ไขมันยังอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำได้

Coolsculpting vs การนวดด้วยเครื่อง

การลดน้ำหนักและสัดส่วนด้วยการนวดนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก ทว่าในความเป็นจริงแล้วการใช้เครื่องนวดเพื่อลดสัดส่วนนั้นจะช่วยได้เพียงกระชับได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการนวดด้วยเครื่องเพื่อลดสัดส่วนจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่เกิน 7 วันเท่านั้น เนื่องจากเครื่องจะปล่อยคลื่นพลังงานออกมากำจัดน้ำส่วนเกินบริเวณที่นวด เมื่อเวลาผ่านไปสัดส่วนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเซลล์ไขมันไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากการทำ CoolSculpting ที่กำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายได้จริง ด้วยการทำให้เซลล์ไขมันตายลงและขับออกจากร่างกายผ่านกลไกตามธรรมชาติ

Coolsculpting vs อดอาหาร

การอดอาหาร ถือเป็นวิธีการลดน้ำหนัก และลดสัดส่วนที่ผิด และไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อคนเราอดอาหาร สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นคือระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง และจะส่งผลกระทบต่อสมอง ทำให้ความคิดวิเคราะห์แย่ลง เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องใช้กลูโคสในการทำงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจะทำให้สมองทำงานได้ช้าลงตามไปด้วย นอกจากนี้ระดับน้ำตาลที่ลดลงยังทำให้เกิดอาการมึนงง อ่อนเพลีย ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และกระตุ้นความหิว และนำไปสู่ภาวะอารมณ์ฉุนเฉียวได้

ไม่เพียงเท่านั้น การอดอาหารยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญ เพราะเมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากอาหารเพิ่มจะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลงเพื่อรักษาพลังงานในร่างกายเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น ทั้งนี้หากอดอาหารติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเอาตัวรอด ซึ่งถ้าหากถึงเวลารับประทานอาหารอีกครั้งก็จะรับประทานอาหารมากกว่าปกติ และมีแนวโน้มว่าจะรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น นั่นเพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อทดแทนส่วนที่หายไป จึงต้องรับประทานอาหารมากขึ้น และทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอดอาหารแล้วน้ำหนักยังขึ้น หรือลดน้ำหนักได้ยากไม่ลงนั่นเอง

ข้อดีของการทำ Coolsculpting

  • ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลกในเรื่องความปลอดภัย
  • เห็นผลได้จริง และชัดเจน
  • ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 35 นาที – 1 ชั่วโมง
  • ไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  • ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้น

ผลลัพธ์ CoolSculpting จากผู้ใช้จริงที่คุณพิสูจน์ได้!

นอกจากผลการรับรองจากสถาบันระดับโลกในเรื่องผลลัพธ์ และความปลอดภัยแล้ว เรายังมีตัวอย่างผู้เข้ารับบริการที่ทำ CoolSculpting จริงๆ และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาฝากกัน

เชฟป้อม – ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล 

‘เมื่อความรักในการทำอาหาร นำพาไขมันส่วนเกินมาให้ ตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ CoolSculpting’

ในยุคนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับหญิงแกร่งคนเก่งอย่าง ‘เชฟป้อม’ หรือ ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล พิธีกรรายการอาหารชื่อดังคนนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเชฟป้อมเป็นคนหนึ่งที่หลงไหลและหลงรักในการทำอาหารอย่างมาก เชฟป้อมเผยว่า ในการทำอาหารสักจานจะต้องเอาใจใส่กับอาหารจานนั้น เพื่อให้อาหารจานนั้นมีคุณค่า และประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และด้วยเพราะรับหน้าที่เป็นทั้งคนปรุงอาหาร และสอนการทำอาหาร จึงต้องมีการชิมอาหารทั้งที่ตัวเองทำ และคนอื่นทำอยู่เป็นประจำ นานๆ เข้าก็ทำให้เกิดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รูปร่างที่เคยดูดีก็เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนี้เชฟป้อมจึงตัดสินใจใช้ตัวช่วยอย่าง CoolSculpting มากำจัดส่วนเกินของร่างกาย แต่จะเป็นอย่างไรนั้น เราลองไปดูกันค่ะ

คุณหนิง – สายสวรรค์ ขยันยิ่ง 

‘CoolSculpting สะดวกใช้เวลาน้อย ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ

คุณหนิง สายสวรรค์ ขยันยิ่ง ผู้ประกาศข่าวมากประสบการณ์ ด้วยงานผู้ประกาศและพิธีกรที่คิวแน่นมาก ทำให้เวลาที่จะได้ดูแลตัวเองน้อยลง จึงหาเทคโนโลยีที่ช่วยจัดการกับไขมันส่วนเกิน ซึ่ง CoolSculpting ที่ APEX ช่วยแก้ไขปัญหาไขมันส่วนเกินรอบเอวให้คุณหนิงได้ โดยคุณหนิงรู้สึกประทับใจกับการทำ CoolSculpting เป็นอย่างมาก เพราะใช้เวลาในการทำน้อยเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่กระทบกับเวลาการทำงานแต่อย่างใด

คุณโอ๊ค – นิธินาฏ ราชนิยม

‘CoolSculpting ไม่เจ็บ แถมใช้เวลาไม่นาน’

คุณโอ๊ค – นิธินาฏ ราชนิยม อีกหนึ่งผู้ประกาศข่าวคนเก่ง เป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาเรื่องสัดส่วนโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง แต่ด้วยเพราะการงานที่รัดตัวทำให้ไม่มีเวลาที่จะจัดการกับความกังวลใจนี้ได้อย่างเต็มที่ จึงตัดสินใจให้เอเพ็กซ์ช่วยแก้ปัญหาที่มีด้วย CoolSculpting โดยคุณโอ๊คได้เผยว่ารู้สึกประทับใจมากตรงที่ใช้เวลาไม่นาน แถมยังไม่เจ็บอีกด้วยล่ะค่ะ

คุณเจก รัตนตั้งตระกูล 

‘CoolSculpting แค่เพียงสี่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็มีรูปร่างที่ดีได้’

ใครว่าผู้ชายไม่เอาใจใส่เรื่องรูปร่าง ขอบอกว่าไม่จริงค่ะ เพราะคุณเจก รัตนตั้งตระกูล นักข่าวหนุ่มคนนี้ที่แม้จะดูเหมือนมีรูปร่างที่ดูดีอยู่แล้ว แต่คุณเจกก็ยังคงมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้คุณเจกจึงตัดสินใจเข้ามาทำ CoolSculpting ที่เอเพ็กซ์ และด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ของการทำ CoolSculpting ก็ทำให้คุณเจกกลับมามีรูปร่างที่ตัวเองพึงพอใจได้อีกครั้งค่ะ

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CoolSculpting

1. ใครทำ CoolSculpting ได้บ้าง?

CoolSculpting เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน ตั้งแต่บริเวณส่วนใหญ่ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ไปจนถึงบริเวณเล็กๆ อย่าง ไขมันใต้คาง

โดยในการทำ CoolSculpting เซลล์ไขมัน 20-30% จะใช้ด้วยความเย็นอุณหภูมิติดลบ 11 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 35 นาที ทำให้เซลล์ไขมันที่ไม่ชอบความเย็นจัดจะค่อยๆ ถูกทำลาย และถูกกำจัดจากร่างกายผ่านระบบขับถ่าย ซึ่งจะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนหลังจากทำ 2-3 เดือน 

ทั้งนี้การกำจัดไขมันด้วย CoolSculpting จะไม่ทำให้เกิดแผล และไม่ต้องพักฟื้น ต่างจากการดูดไขมัน หรือการผ่าตัดกำจัดไขมันที่มีบาดแผลและต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลานาน

2. CoolSculpting อ้วนมากๆ ทำได้ไหม

เป็นเทคโนโลยีที่สามารถกำจัดไขมันชั้นนอก หรือไขมันใต้ชั้นผิวหนังได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในจุดที่สามารถทำได้ จะช่วยกำจัดไขมันออกไปได้ถึง 20-30% แต่ในรายที่อ้วนมากๆ หรือมีภาวะไขมันในช่องท้องหรือไขมันแทรกตามอวัยวะ อาจต้องใช้การออกกำลังกาย หรือเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในการลดไขมัน ทั้งนี้หากไม่แน่ใจว่าตัวเองมีไขมันในร่างกายแบบใด สามารถเข้ารับคำปรึกษาและรับคำแนะนำจาก CoolSculpting Specialist ได้ที่เอเพ็กซ์ทุกสาขา

3. CoolSculpting ทำกี่ครั้งถึงจะได้ผล

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันที่มีผลวิจัยจากนานาชาติ และผ่านการรับรองจาก US FDA จึงสามารถมั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัย โดยในการขั้นตอนการทำแต่ละครั้ง สามารถกำจัดเซลล์ไขมันออกมาผ่านกระบวนการขับถ่ายของเสียตามธรรมชาติได้ถึง 20-30% และสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนภายใน 2-3 เดือนหลังจากทำ CoolSculpting อย่างไรก็ตามการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารยังเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำควบคู่กันไปเพื่อเพื่อที่จะได้มีรูปร่างที่ดีในระยะยาว

4. CoolSculpting ขณะทำ เจ็บไหม มีบาดแผลหรือไม่

CoolSculpting เป็นการกำจัดไขมันที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ต้องผ่าตัด หรือเจาะผิวหนัง จึงทำให้ไม่มีอาการเจ็บ แต่ในช่วง 5 นาทีแรกของกระบวนอาจรู้สึกไม่สบายผิวเล็กน้อย เนื่องจากความแน่นของหัวเครื่องมือที่จะค่อยๆ ดูดบริเวณผิว ซึ่งหลังจากนั้นจะรู้สึกชาไปตลอดกระบวนการทำจนเสร็จสิ้น และจะมีรอยช้ำเล็กน้อยหลังจากถอดเครื่องมือเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการกำจัดไขมันเหมือนวิธีอื่นๆ 

ได้ทราบแบบนี้แล้วคนที่อยากจะมีต้นขาสวยๆ คงสนใจอยากทำ CoolSculpting กันแล้วใช่ไหม และถ้าคุณอยากมีเรียวขาสวยอย่างปลอดภัย

ที่ APEX เรามีเทคโนโลยี CoolSculpting พร้อมให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญอย่าง CoolSculpting Specialist ในทุกๆ สาขา จึงทำให้ผู้เข้ารับบริการสามารถปรึกษา และขอคำแนะนำในการทำ CoolSculpting ตลอดจนถึงการดูแลตัวเองหลังจากทำ เพื่อให้ผลลัพธ์ในการทำคงอยู่ได้อย่างยาวนาน และมีความปลอดภัยสูงสุด ให้คุณกลับมามั่นใจในรูปร่างอีกครั้ง อวดหุ่นสวยได้โดยไม่ต้องอายใครอีกต่อไป

ปรึกษาและสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter