3 วิธี กำจัดไขมันส่วนเกิน โดยไม่ต้องออกกำลังกาย

กำจัดไขมันส่วนเกิน
เมื่อพูดถึงเรื่องของไขมันส่วนเกิน หลายคนก็มักนึกถึงไขมันที่สะสมอยู่ตามสัดส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งทำให้ดูหย่อนยานไม่สวยงาม จะสวมใส่เสื้อผ้าชุดไหนก็อาจไม่มั่นใจเท่าที่ควร และไขมันส่วนเกินคือสิ่งที่กวนใจทุกครั้งที่ได้เห็น คนจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย

ปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร การรับประทานอาหารเสริมเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ ทว่าบางวิธีก็ต้องใช้เวลาและต้องมีวินัยอย่างมากจึงจะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน ดังนั้นการกำจัดไขมันส่วนเกินบางวิธีจึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา เราขอนำเสนอ ทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการกำจัดไขมันส่วนเกิน กับสุดยอด 3 วิธีในการกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยไม่ต้องออกกำลังกาย แม้ไม่มีเวลา หรือยังไม่พร้อมสำหรับการออกกำลังกายก็สามารถทำได้แน่นอน

กำจัดไขมันส่วนเกิน

1. รับประทานอาหารเช้า

การรับประทานอาหารเช้า เป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องการกำจัดไขมันส่วนเกิน เพราะการรับประทานอาหารเช้าจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถนำไขมันส่วนเกินมาเผาผลาญได้ดียิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยลดความหิวในระหว่างวันได้อีกด้วย ทำให้เราไม่รับประทานอะไรที่จะทำให้ไขมันกลับมาสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย

กำจัดไขมันส่วนเกิน

2. ดื่มน้ำให้มากขึ้น

การดื่มน้ำ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สะดวกและง่ายนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังสามารถช่วยลดน้ำหนักและกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการศึกษาจากสถาบัน Institute for Public Health and Water Research และ Virginia Tech University ในสหรัฐอเมริกา เผยว่าการดื่มน้ำ สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้ เพราะเมื่อคนเราดื่มน้ำเย็นจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดลง ซึ่งจะทำให้ร่างกายเพิ่มการเผาผลาญมากขึ้น เพื่อให้ระดับอุณหภูมิของร่างกายกลับมาเป็นปกตินั่นเอง ซึ่งการเผาผลาญที่มากขึ้นก็จะทำให้ไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ถูกดึงมาใช้งานมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นถ้าอยากกำจัดไขมันส่วนเกินให้ได้ผลดีไปพร้อมกับการดูแลสุขภาพ ก็ลองดื่มน้ำให้มากขึ้น ด้วยเคล็ดลับการดื่มน้ำ

  • แก้วที่ 1 : หลังตื่นนอน ดื่มน้ำทันที 1 แก้ว การดื่มน้ำหลังตื่นนอนทันทีจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น แถมยังช่วยกระตุ้นการขับถ่ายอีกด้วย
  • แก้วที่ 2–3 : ช่วงสาย ก่อนมื้อเช้าสักประมาณ 1 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว หลังจากมื้อเช้าแล้วให้ดื่มน้ำอีกประมาณ 1-2 แก้ว การดื่มน้ำเข้าไปจะช่วยในเรื่องการขับของเสียออกจากร่างกายให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
  • แก้วที่ 4 : ก่อน–หลัง มื้อเที่ยง ก่อนมื้อเที่ยงสักประมาณ 1 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำ 1/2 แก้ว และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เราสามารถจิบเพิ่มอีกได้เล็กน้อย ไม่ควรดื่มน้ำตามมากๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจางลง และส่งผลเสียต่อการย่อยอาหาร
  • แก้วที่ 5–7 : ช่วงบ่าย ใช้การจิบน้ำระหว่างวันไปเรื่อยๆ การดื่มน้ำช่วงบ่ายจะช่วยเพื่อความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • แก้วที่ 8–9 : ก่อนมื้อเย็น เช่นเดียวกับมื้ออาหารอื่นๆ ก่อนมื้อเย็นประมาณ 1 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว และหลังจากรับประทานอาหารก็ให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว จะช่วยกระตุ้นระบบลำไส้และระบบเลือดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • แก้วที่ 10 : ก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรเกินเวลา 23.00 น. ให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว จะช่วยชะล้างของเสียที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ออกไป แต่ไม่ควรดื่มใกล้กับเวลานอนมากเกินไปเพราะอาจทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึกได้

กำจัดไขมันส่วนเกิน

3. ดูดไขมัน

เหมาะสำหรับคนที่มีความกล้าเพราะอาจเจ็บตัวได้ เป็นทางลัดในการกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายแบบรวดเร็วทันใจ การผ่าตัดดูดไขมันก็เป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยวิธีนี้จะช่วยนำเอาไขมันส่วนเกินบริเวณที่คุณกังวลออกไปได้ในทันที แต่ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการผ่าตัดดูดไขมันนั้นมีความเสี่ยงหลายอย่าง อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้การดูดไขมันไม่สัมฤทธิ์ผล และคุณอาจเจอกับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญที่มากพอ จึงอาจทำให้ดูดไขมันออกไปไม่หมด ทำให้เกิดเป็นผิวลักษณะคลื่นในบริเวณที่ดูดไขมันหรือบางรายอาจมีผิวช้ำ เกิดรอยแผลเป็น หรือเกิดอาการเบิร์นจากการดูดไขมันได้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายสุดๆ เพราะรอยแผลอาจจะติดอยู่กับคุณไม่ตลอดชีวิต ทำให้คุณไม่มีความกล้าในการสวมใส่ชุดสวยๆ อีกเลยก็เป็นได้

และนี่คือวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกิน ออกจากร่างกายในแบบฉบับคนไม่มีเวลา ใครที่อยากมีรูปร่างที่ดี แต่ไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นสักทีก็ลองนำไปใช้กันดูได้ เพราะว่าถ้าหากเราเริ่มทำเพื่อรูปร่างและสุขภาพตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเห็นผลในสักทางอย่างแน่นอน

แต่ถ้าหากไม่ได้มีเวลาเพื่อจะรอผลสัมฤทธิ์ของการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยวิธีข้างต้น หรือเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย หรือลดไขมันได้ยากเย็น ในปัจจุบันก็ยังมีวิธีทางการแพทย์อีกมากมายในการกำจัดไขมันส่วนเกิน เช่น การผ่าตัดดูดไขมัน นับเป็นอีกหนึ่งในการทำศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก หรือจะเป็นการทำทรีตเมนต์ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งก็มีการพัฒนาออกมามากมาย แต่ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลกันดีๆ เนื่องจากบางเทคโนโลยีก็ไม่เหมาะกับคนบางคน และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายด้วยเช่นกัน ควรตัดสินใจให้ดีเพื่อตัวคุณเอง

และถ้าหากคุณกำลังมองหาเทคโนโลยีในการกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายที่มีประสิทธิภาพ และมีการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก เรามีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ใช้ความเย็นในการกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเป็นหรือการพักฟื้นอีกต่อไป ขอแนะนำเทคโนโลยี CoolSculpting

CoolSculpting คืออะไร?

CoolSculpting

CoolSculpting คือ เทคโนโลยีการกำจัดไขมันด้วยความเย็น ด้วยการใช้เทคโนโลยีจากงานวิจัย ที่ร่วมมือกันระหว่าง Harvard Medical School และ Massachusetts General Hospital โดย Dr. Rox Anderson และ Dr. Dieter Manstein นายแพทย์จาก Wellman Center of Photomedicine เป็นผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาวะ Popsicle Panniculitis ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกิดกับไขมันใต้ชั้นผิวหนัง หากได้รับความเย็นเป็นเวลานาน จากการสังเกตพบว่าเด็กที่รับประทานไอศครีมแท่งและมีการอมไอศครีมไว้ที่แก้มนานๆ จะทำให้แก้มของเด็กหายไป เมื่อนำมาศึกษาร่วมกับรายงานชิ้นอื่นจึงทำให้พบว่าเซลล์ไขมันเป็นเซลล์ที่ไวต่อความเย็นมากกว่าเซลล์ชนิดอื่นๆ ในร่างกาย ทำให้เมื่อได้รับความเย็นในระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็งเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งเซลล์ไขมันจะเข้าสู่ภาวะ Apoptosis ซึ่งเป็นภาวะเซลล์ที่ตาย ร่างกายก็จะมองเห็นของเสีย และเริ่มต้นขบวนการกำจัดออกจากร่างกาย จึงเป็นผลให้บริเวณที่ได้รับความเย็นนั้นมีปริมาณไขมันที่ลดลงจนทำให้ดูเล็กลงในที่สุด

ทั้งนี้การค้นพบดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็นเลยก็ว่าได้ เพราะในเวลาต่อมา ได้มีการนำแนวคิดในการใช้ความเย็นกำจัดไขมันส่วนเกินมาใช้ และเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากกลายเป็นเป็นวิธีการกำจัดไขมันด้วยความเย็นอย่าง CoolSculpting โดยเป็นเครื่องมือการกำจัดไขมันด้วยความเย็นที่สร้างขึ้นจากแนวคิดเดียวกับการอมไอศกรีมของเด็ก ทำให้การกำจัดไขมันเป็นไปได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น และผิวหนังบริเวณที่ทำก็ยังคงเรียบเนียน ต่างจากการกำจัดไขมันส่วนเกินแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา 

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะเทคโนโลยี CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง U.S.FDA และมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้กำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด

CoolSculpting กำจัดไขมันส่วนเกิน ได้ผลไหม?

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันที่ให้ผลความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่การทำครั้งแรก ใช้เวลาในการทำประมาณ 35–75 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ และ Applicator ที่ใช้ โดยผลลัพธ์ที่ได้ในการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากบริเวณที่ทำได้ 20–30% ของไขมันส่วนเกินทั้งหมด และผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงจากการทำ CoolSculpting ได้หลังจากทำไปแล้ว 1–3 เดือน โดยที่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องผิวหย่อนยาน และไม่ต้องใส่ชุดยกกระชับเพื่อให้รักษารูปร่างแบบเดิมๆ อีกต่อไป

ขั้นตอนการทำ CoolSculpting เป็นอย่างไร?

สำหรับในปัจจุบัน การกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยเทคโนโลยี Coolsculpting ถือเป็นวิธีที่สะดวกสบายมากที่สุด เนื่องจากมีขั้นตอนในการทำที่ไม่ซับซ้อน อีกทั้งในระหว่างการทำยังสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้ เช่น การเล่นโทรศัพท์มือถือ อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือนอนหลับพักผ่อน

โดยทั่วไปการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting มีกระบวนการในการทำดังนี้

  • รับคำปรึกษาจาก Coolsculpting Specialist
    ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำปรึกษาเรื่องการทำ CoolSculpting และอธิบายถึงข้อจำกัดในการทำ โดยผู้ที่มีอาการแพ้ความเย็นจัดๆ จะไม่สามารถทำได้ หรือผู้ที่เคยมีการผ่าตัดในบริเวณที่ต้องการทำ Coolsculpting ก็จำเป็นต้องเว้นระยะหลังผ่าตัด ประมาณ 6 เดือน แต่ก็ยังสามารถทำได้ในบริเวณอื่นๆ และผู้ที่มีปัญหาใส้เลื่อนยังอยู่ในข้อห้ามของการทำ Coolsculpting บริเวณหน้าท้อง แต่ก็ยังสามารถทำในบริเวณอื่นๆ ได้เช่นกัน
  • ประเมินจุด เพื่อเลือกขนาด Applicator
    เป็นอีกขึ้นตอนสำคัญในการทำ Coolsculpting เพราะจะเป็นการวางแผนร่วมกันระหว่างผุ้เข้ารับบริการ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รูปร่างไปตามอย่างที่คาดหวัง ซึ่งความเชี่ยวชาญของ Coolsculpting Specialist จะออกแบบการวาง Applicator ให้ได้ส่วนเว้า ส่วนโค้งตามต้องการ และการเลือกขนาดหัวที่เหมาะสมกับร่างกายยังทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
  • ติด Applicator
    โดยประมาณ 10 นาทีแรก ผู้เข้ารับบริการอาจมีความรู้สึกอึดอัดบริเวณที่ทำ แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งร่างกายจะสามารถปรับตัวเข้ากับความเย็นและแรงดูดได้ ก็จะรู้สึกสบายขึ้นไปจนจบเซสชั่นการรักษา
  • นวดทันทีหลังทำ นาน 2 นาที
    หลังจากสิ้นสุดเวลาการทำ เมื่อนำ Applicator ออกจากบริเวณที่ทำ ผู้เชี่ยวชาญจะต้องนวดบริเวณที่ทำทันทีติดต่อกัน 2 นาที ซึ่งถือเป็นเคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้สูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมีการวิจัยเทียบผลลัพธ์ระหว่างนวด และไม่นวด พบว่ามีผลต่างกันถึง 68% แม้การนวดอาจทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเล็กน้อย แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ใน 2 นาที ที่จะทำให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด

ใครเหมาะกับการทำ Coolsculpting

เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสม หรือมีความต้องการลดสัดส่วนเฉพาะส่วน เช่น คนที่มีหน้าท้อง ต้องการลดสะโพก ต้นขา ต้นแขน และปีกหลัง นอกจากนี้คุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตร และต้องการรูปร่างที่ดีกลับคืนมาแต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือมีข้อจำกัดในเรื่องของการควบคุมอาหาร การกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยวิธีนี้ก็นับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะในการทำ CoolSculpting ผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรือกลับไปออกกำลังกายหนักๆ เพื่อช่วยให้รูปร่างดีขึ้น แค่เพียงดูแลการรับประทานอาหารและออกกำลังกายให้พอเหมาะก็พอ

ข้อดีของการทำ Coolsculpting 

  • ได้รับการรับรองจาก US FDA ซึ่งเป็นสถาบันระดับโลก ที่ได้รับความไว้วางใจเรื่องการรับรองความปลอดภัย
  • เป็นวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินที่ได้ผลจริง และเห็นเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงได้หลังจากทำ 
  • ใช้เวลาในการทำไม่นาน เพียง 35-75 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและ Applicator ที่ใช้ในการกำจัดไขมัน
  • สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
  • ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้น 
  • หลังทำแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ผลลัพธ์ CoolSculpting จากผู้ใช้จริงที่คุณพิสูจน์ได้!

เทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ถือเป็นอีกทางเลือกใหม่ในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งนอกจากมีผลการรับรองเรื่องความปลอดภัยและผลลัพธ์มากมายจากสถาบันระดับโลก เราก็ยังมีลูกค้าตัวจริงที่เคยผ่านการทำ CoolSculpting มาบอกเล่าถึงความประทับใจในกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยวิธีนี้อีกด้วย

เชฟป้อม – ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล

‘เมื่อความรักในการทำอาหาร นำพาไขมันส่วนเกินมาให้ ตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ COOLSCULPTING’

ในยุคนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับหญิงแกร่งคนเก่งอย่าง ‘เชฟป้อม’ หรือ ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล พิธีกรรายการอาหารชื่อดังคนนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเชฟป้อมเป็นคนหนึ่งที่หลงไหลและหลงรักในการทำอาหารอย่างมาก เชฟป้อมเผยว่า ในการทำอาหารสักจานจะต้องเอาใจใส่กับอาหารจานนั้น เพื่อให้อาหารจานนั้นมีคุณค่า และประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และด้วยเพราะรับหน้าที่เป็นทั้งคนปรุงอาหาร และสอนการทำอาหาร จึงต้องมีการชิมอาหารทั้งที่ตัวเองทำ และคนอื่นทำอยู่เป็นประจำ นานๆ เข้าก็ทำให้เกิดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รูปร่างที่เคยดูดีก็เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนี้เชฟป้อมจึงตัดสินใจใช้ตัวช่วยอย่าง CoolSculpting มากำจัดส่วนเกินของร่างกาย เราไปดูผลลัพธ์กันได้เลย

คุณหนิง – สายสวรรค์ ขยันยิ่ง

‘COOLSCULPTING สะดวกใช้เวลาน้อย ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ’

คุณหนิง สายสวรรค์ ขยันยิ่ง ผู้ประกาศข่าวมากประสบการณ์ ด้วยงานผู้ประกาศและพิธีกรที่คิวแน่นมาก ทำให้เวลาที่จะได้ดูแลตัวเองน้อยลง จึงหาเทคโนโลยีที่ช่วยจัดการกับไขมันส่วนเกิน ซึ่ง CoolSculpting ที่ APEX ช่วยแก้ไขปัญหาไขมันส่วนเกินรอบเอวให้คุณหนิงได้ โดยคุณหนิงรู้สึกประทับใจกับการทำ CoolSculpting เป็นอย่างมาก เพราะใช้เวลาในการทำน้อยเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่กระทบกับเวลาการทำงานแต่อย่างใด

คุณโอ๊ค – นิธินาฏ ราชนิยม

 ‘COOLSCULPTING ไม่เจ็บ แถมใช้เวลาไม่นาน’

คุณโอ๊ค – นิธินาฏ ราชนิยม อีกหนึ่งผู้ประกาศข่าวคนเก่ง เป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาเรื่องสัดส่วนโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง แต่ด้วยเพราะการงานที่รัดตัวทำให้ไม่มีเวลาที่จะจัดการกับความกังวลใจนี้ได้อย่างเต็มที่ จึงตัดสินใจให้เอเพ็กซ์ช่วยแก้ปัญหาที่มีด้วย CoolSculpting โดยคุณโอ๊คได้เผยว่ารู้สึกประทับใจมากตรงที่ใช้เวลาไม่นาน แถมยังไม่เจ็บอีกด้วยล่ะค่ะ

คุณเจก รัตนตั้งตระกูล

‘COOLSCULPTING แค่เพียงสี่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็มีรูปร่างที่ดีได้’

ใครว่าผู้ชายไม่เอาใจใส่เรื่องรูปร่าง ขอบอกว่าไม่จริงแน่นอน เพราะ คุณเจก รัตนตั้งตระกูล นักข่าวหนุ่มคนนี้ที่แม้จะดูเหมือนมีรูปร่างที่ดูดีอยู่แล้ว แต่คุณเจกก็ยังคงมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อย และด้วยเหตุนี้คุณเจกจึงตัดสินใจเข้ามาทำ CoolSculpting ที่เอเพ็กซ์ ด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ของการทำ CoolSculpting ก็ทำให้คุณเจกกลับมามีรูปร่างที่ตัวเองพึงพอใจได้อีกครั้ง

Coolsculpting ดีกว่าทรีตเมนต์อื่นอย่างไร?

Coolsculpting vs ดูดไขมัน (Liposcution)

ล้วนแต่เป็นวิธีที่กำจัดไขมันในร่างกายออกอย่างถาวร แต่การดูดไขมันนั้นเป็นวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินที่ต้องผ่าตัดเพื่อเปิดแผลและสอดท่อและอุปกรณ์สูญญากาศเข้าไปดูดไขมัน โดยแท่งดังกล่าวจะช่วยกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนังออกได้ในปริมาณมากๆ ภายในครั้งเดียว แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ต้องมีการใช้ยาสลบ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงได้ในภายหลัง ไม่เพียงเท่านั้นหากแพทย์ที่ทำไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ อาจดูดไขมันออกได้ไม่หมดและทำให้ผิวมีลักษณะเป็นคลื่นดูไม่สวยงาม ซ้ำร้ายยังอาจเกิดเป็นรอยฟกช้ำบริเวณที่ดูดไขมันได้ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ที่เข้ารับดูดไขมัน นอกจากนี้การกลับมาทำซ้ำที่บริเวณเดิมก็ยังเป็นไปได้ยาก หรือไม่สามารถทำได้ เพราะหลังการดูดไขมันร่างกายจะเกิดการสร้างพังผืดบริเวณที่ทำจนทำให้ไม่สามารถสอดอุปกรณ์เข้าไปดูดไขมันได้

ขณะที่การทำ CoolSculpting เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล อีกทั้งยังไม่เจ็บตัว CoolSculpting จะเป็นการติดเครื่องมือไว้บนผิวหนังและส่งความเย็นลงไปยังชั้นไขมัน และปล่อยพลังงานความเย็นอุณหภูมิระดับติดลบลงไปยังเซลลไขมัน และทำให้เซลล์ไขมันที่มีความไวต่ออากาศเย็นถูกทำให้ตายลง โดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย หลังจากนั้นเซลล์ที่ตายก็จะถูกขับตามกระบวนการของร่างกาย และนอกจากนี้ CoolSculpting ยังสามารถกลับมาทำซ้ำได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนใด ๆ

Coolsculpting vs Thermage FLX

Thermage FLX เป็นเพียงแค่การยกกระชับผิวเท่านั้น และไม่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินที่อยู่ในร่างกายได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะทำ Thermage FLX ก็จะได้ผลลัพธ์เพียงผิวที่กระชับขึ้น แต่ไม่สามารถสลายไขมันส่วนเกินที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ได้ ต่างจาก CoolSculpting ที่เป็นการกำจัดไขมันด้วยความเย็นที่สามารถช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้โดย อีกทั้งยังไม่ทำให้ผิวเกิดปัญหาหย่อนคล้อยเนื่องจากการลดไขมันที่รวดเร็วเกินไปดังนั้น ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถมีรูปร่างที่ดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องผิวหย่อนยานอีกต่อไป

Coolsculpting vs HIFU Body

Body HIFU คือเทคโนโลยีกระชับผิว ด้วยพลังงาน HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อการกระชับผิวกาย ส่งพลังงานความร้อนอุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียสไปที่เซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย และขับออกผ่านระบบการไหลเวียนของร่างกายตามธรรมชาติ โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นกับเฉพาะเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น จึงมั่นใจได้ว่าเฉพาะเซลล์ไขมันเท่านั้นที่จะถูกจัดการ และถูกกำจัดออกจากร่างกาย

ฟังแล้ววิธีนี้อาจจะคล้ายกับการทำ CoolSculpting แต่แตกต่างกันที่ใช้ความร้อน และความเย็นในการกำจัดเซลล์ไขมัน แต่ถ้าเทียบเรื่องความรู้สึกในระหว่างการทำแล้ว CoolSculpting ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะเป็นการใช้ความเย็นในการกำจัดไขมัน ต่างจาก HIFU Body ที่ใช้ความร้อนซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อแผลเบิร์นไหม้จากความร้อนอีกด้วย

Coolsculpting vs Sculpsure

Sculpsure คือ เทคโนโลยีในการกำจัดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) สามารถกำจัดเซลล์ไขมันที่ในบริเวณที่กำจัดได้ยาก เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือเอว ด้วยการใช้คลื่นพลังงานเลเซอร์ ในช่วงคลื่น 1060NM ซึ่งทำให้เกิดความร้อนที่อุณหภูมิ 42 – 47 องศาเซลเซียส โดยคลื่นพลังงานชนิดนี้จะไปทำให้เซลล์ไขมันตายลงได้ เช่นเดียวกับการทำ HIFU Body และเช่นเดียวกัน Sculpsure นั้นก็ยังเป็นคำตอบที่ไม่ดีที่สุด เพราะความร้อนที่ได้รับจากการทำอาจเสี่ยงกับการเบิร์นจากความร้อนได้ทำให้ผิวเสีย และรู้สึกไม่สบายตัวในขณะทำอีกด้วย 

ต่างจากการทำ CoolSculpting ที่ไม่ต้องกลัวเรื่องแผลเบิร์น และไม่ต้องมารู้สึกไม่สบายตัวตลอดการทำทรีตเมนท์ เพราะคลื่นพลังงานความเย็นจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดเพียงเล็กน้อยในช่วง 10 นาทีแรก และหลังจากนั้นเมื่อร่างกายคุ้นชินกับความเย็นและแรงการดูด คุณก็สามารถนอนสบายๆ และปล่อยให้ความเย็นกำจัดไขมันส่วนเกินไปได้เลย

Coolsculpting vs การนวดด้วยเครื่อง

การนวดด้วยเครื่องมือบางชนิดเพื่อหวังให้ไขมันในร่างกายสลายตัวไป ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องนวดเพื่อลดสัดส่วนนั้นจะช่วยได้เพียงกระชับได้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 7 วันเท่านั้น เนื่องจากเครื่องจะปล่อยคลื่นพลังงานออกมากำจัดน้ำส่วนเกินที่อยู่บริเวณที่นวด เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเซลล์ไขมันไม่ได้ลดลงจำนวนลง หรือมีขนาดที่เล็กลงแต่อย่างใด ต่างจากการทำ CoolSculpting ที่กำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายได้อย่างถาวร ด้วยการทำให้เซลล์ไขมันตายลงและขับออกมาจากร่างกายผ่านกลไกการทำงานของร่างกาย

ทำไมต้องทำ CoolSculpting ที่ APEX

แม้ว่าในปัจจุบัน หลายๆ คลินิกความงามจะมีการนำเอาเทคโนโลยี CoolSculpting มาให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการมีรูปร่างที่ดีและมีการหั่นราคาลงเพื่อล่อตาล่อใจผู้ที่อยากลดสัดส่วน แต่ต้องขอบอกเลยว่า ถ้าคิดจะทำ CoolSculpting แล้วล่ะก็ ทำที่ APEX คือคำตอบที่ดีที่สุด เพราะที่ APEX เรามีประสบการณ์ในด้านการกำจัดไขมันด้วยความเย็นมาอย่างยาวนาน อีกทั้งเรายังเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีผู้ผ่านการอบรมและฝึกฝนประสบการณ์จนเป็น CoolSculpting Specialist มากที่สุดในเอเชีย อีกทั้งยังมีเครื่อง CoolSculpting ของแท้ และ Applicator ของ CoolSculpting ทุกชนิด ซึ่งพร้อมดูแลผู้เข้ารับบริการในทุกๆ สาขา ทำให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีและน่าพึงพอใจที่สุดเมื่อเลือกทำกับ APEX

และนี่คือความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยความเย็น พร้อมด้วยเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นดีๆ ที่เราหยิบมาฝากกัน หากใครที่มีปัญหาเรื่องรูปร่างที่ไม่สวยดังใจ หรือต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินที่ทำให้หมดความมั่นใจในรูปร่าง ที่ APEX เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมดูแล ให้คำปรึกษา และพร้อมให้บริการเพื่อให้คุณสามารถกลับมามีรูปร่างที่เต็มไปด้วยความมั่นใจอีกครั้ง ลดไขมันที่ไหนไม่เห็นผล ปรึกษาที่ APEX เอเพ็กซ์ Coolsculpting ตัวจริง ที่ 1 ในเอเชีย

ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Apex Profound Beauty

  • Bangkok : 066-3310-8000
  • Korat : 0888-7000-43
  • Phuket : 088-000-2100
  • Pattaya: 087-096-1234