ลดไขมันหน้าท้อง พุงใหญ่แค่ไหนก็ยุบได้ !

ลดไขมันหน้าท้อง
เพราะการมี พุง ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจนัก เพราะพุงนั้นนอกจากจะทำให้ดูบุคลิกภาพไม่ดีแล้ว ก็ยังทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือแม้แต่ภาวะความดันโลหิตสูง ที่ล้วนแต่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นการตระหนักถึงภัยสุขภาพก็ทำให้หลายคนหันมา ลดไขมันหน้าท้อง ด้วยวิธีต่าง ๆ ทว่า พุงแต่ละแบบก็เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แถมยังมีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันอีกด้วย ทั้งนี้ พุง หรือไขมันส่วนเกินที่รอบเอวนั้น แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่

  • พุงยางอะไหล่ (Spare Tyre Tummy) คือพุงที่มีลักษณะเป็นชั้น เกิดขึ้นจากการรับประทานน้ำตาล และของหวาน และการไม่ออกกำลังกาย
  • พุงเครียด (Stress Tummy) คือพุงที่มีลักษณะแข็งตั้งแต่บริเวณกระบังลมไปจนถึงสะดือ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเครียดสะสม โดยมักพบว่าคนที่มีพุงประเภทนี้มักมีระบบการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหารที่แปรปรวน
  • พุงหมาน้อย (The Little Pooch) เป็นประเภทของพุงที่มักพบได้ในคนที่มีรูปร่างผอม โดยพุงประเภทนี้จะมีลักษณะป่องที่ช่วงล่างของพุง ซึ่งเกิดจากการรับประทานอาหารแบบเดิมซ้ำ ๆ หรือมักเกิดจากการออกกำลังกายผิดวิธีอีกด้วย
  • พุงคุณแม่ (Mummy Tummy) เป็นพุงที่มักพบได้ในคุณแม่หลังคลอด เนื่องจากมดลูกยังไม่เข้าที่จึงอาจทำให้คุณแม่ยังดูมีพุงอยู่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหากไม่ใช่คนที่อ้วนมาก ๆ ก็อาจใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ พุงก็จะค่อย ๆ ยุบลงค่ะ แต่ก็ต้องออกกำลังกายอย่างถูกวิธีควบคู่ด้วยถึงจะเห็นผลค่ะ
  • พุงป่อง (Bloated Tummy) คือพุงที่มักจะบวมอืดขึ้นในช่วงเย็น เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีแป้ง และส่วนผสมของนม จนทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหาร และกลายเป็นอาการท้องอืดในที่สุด โดยพุงชนิดนี้มักจะหายไปหากอาการท้องอืดลดลงค่ะ

ทั้งนี้หากเปรียบเทียบว่าระหว่างพุงทั้ง 5 ประเภทใดลดยากมากที่สุด ก็ต้องขอบอกว่า พุงยางอะไหล่นั้นลดได้ยากมากที่สุด เนื่องจากเป็นพุงที่เกิดจากการรับประทานของหวานมาก ๆ และการไม่ออกกำลังกาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้องนั้นก็ลดได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อรับประทานของหวานเข้าไปมาก ๆ ก็จะยิ่งทำให้เกิดไขมันไปสะสมที่บริเวณหน้าท้อง อย่างไรก็ตาม การลดพุงเบื้องต้นก็สามารถทำได้อยู่นะคะ ด้วยการออกกำลังกาย และนี่คือ 5 ท่าออกกำลังกาย ลดไขมันหน้าท้อง เพื่อจบปัญหาพุงใหญ่ ๆ ค่ะ

1. ท่า Crunches

วิธีฝึก

  1. นอนราบลงกับพื้น วางเท้ากับพื้น ตั้งเข่าขึ้น หรือยกขาขึ้นขนานกับพื้น
  2. ประสานมือไว้ที่ท้ายทอย
  3. หายใจเข้า และหายใจออกก่อนจะยกไหล่ขึ้นจากพื้น
  4. หายใจเข้ากลับสู่ท่าเดิม และทำซ้ำ
  5. ทำซ้ำ 10 – 15 ครั้ง ทั้งหมด 2 – 3 เซด

2. ท่า Planks

วิธีฝึก

  1. นอนคว่ำลงกับพื้นให้อยู่ในท่าวิดพื้น โดยทรงตัวบนข้อศอกและปลายนิ้วเท้า
  2. ทรงตัวโดยให้กระดูกสันและคออยู่ในระนาบเดียวกัน
  3. ค้างท่าไว้ 30 วินาที หายใจเข้าออกตามปกติ
  4. พัก 10 – 15 นาที
  5. ทำซ้ำ 3 ครั้ง

3. ท่า Low Belly Leg Reach

วิธีฝึก

  1. นอนราบกับพื้น งอเข่าทำมุมกับพื้น 90 องศา ให้เข่าอยู่สูงกว่าสะโพก ก้นติดพื้น ประสานมือไว้ที่ท้ายทอย
  2. หายใจเข้าพร้อมกับยกไหล่ค้างไว้ค้างไว้ 5 วินาที
  3. หายใจออกพร้อมกับยืดขาออกไป 45 องศา ค้างไว้ 5 วินาที และเกร็งหน้าท้องช่วงล่าง
  4. พัก 10 วินาทีแล้วเริ่มใหม่
  5. ทำซ้ำ 10 – 15 ครั้ง

4. ท่า Russian Twist

วิธีฝึก

  1. นั่งชันเข่าให้เท้าทั้ง 2 ข้างชิดกัน และยกเท้าขึ้นจากพื้นพอประมาณ
  2. ยืดแขนทั้ง 2 ข้างตรงไปข้างหน้า ประสานมือกันที่บริเวณเหนือเข่าเล็กน้อย หรือถ้าต้องการเพิ่มความยากมากขึ้นก็สามารถถือดัมเบลไว้ในมือได้
  3. บิดเอวไปทางซ้าย พร้อม ๆ กับมือทั้ง 2 ข้าง โดยให้มือทั้ง 2 ข้างยังประสานกัน และขาทั้ง 2 ข้างยังอยู่ในลักษณะเดิม จากนั้นบิดเอวกลับมาทางขวาจนสุด
  4. ทำสลับกัน 10 ครั้ง ทั้งหมด 2 – 3 เซต

5. ท่า Flutter Kicks

วิธีทำ

  1. นอนราบกับพื้น วางมือทั้งสองข้างที่พื้นข้างตัว ยืดขาตรง
  2. ยกขาขึ้นจากพื้นพอประมาณ เกรงหน้าท้อง และออกแรงเตะขาขึ้นลงสลับกัน
  3. ทำซ้ำ 10 – 15 ครั้ง ทั้งหมด 2 – 3 เซต

นอกจากการออกกำลังกายแล้ว การเลือกรับประทานอาหารควบคู่กันไปกับการออกกำลังกายก็สามารถช่วยให้พุงยุบลงได้เช่นกันค่ะ โดยถ้าอยากมีหน้าท้องที่แบนราบแล้วล่ะก็ ควรเลือกรับประทานอาหารดังนี้ค่ะ

1. เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง คือศัตรูของการลดน้ำหนักอย่างแท้จริง เพราะการบริโภคน้ำตาลมาก ๆ จะยิ่งทำให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ไม่ทัน และถูกสะสมไว้ในรูปของไขมันส่วนเกิน ซึ่งจะไปสะสมที่บริเวณหน้าท้องและตับ ทำให้นอกจากจะลดพุงได้ยากแล้ว ก็ยังเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงอีกด้วย ดังนั้นถ้าหากต้องการลดพุง เปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าจะดีกว่าค่ะ 

2. รับประทานโปรตีนให้มากขึ้น

โปรตีนถือเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการลดไขมันส่วนเกิน อีกทั้งการรับประทานโปรตีนมากขึ้นสามารถช่วยลดความหิวลงได้ถึง 60% และกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรีในร่างกายได้ถึงวันละ 80 – 100 แคลอรี นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ จะช่วยลดการเกิดไขมันที่บริเวณหน้าท้อง ซึ่งถ้าหากอยากลดพุง ลดไขมันหน้าท้อง ก็ควรหันมาเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนให้มากขึ้น จะช่วยให้อิ่มนานขึ้นได้อย่างแน่นอน

3. ลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรต

มีการศึกษาพบว่าการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงในแต่ละมื้ออาหารที่รับประทาน สามารถช่วยลดไขมันที่หน้าท้อง หรือไขมันในช่องท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานชนิดที่สอง ถ้าอยากพุงยุบ ก็ควรลดแป้งจะดีกว่าค่ะ 

4. หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์

ไขมันทรายเป็นไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด โดยมีการศึกษาบางส่วนพบว่า การรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ จะยิ่งทำให้เกิดไขมันสะสมที่หน้าท้อง อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและอันตรายต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น ถ้าไม่อยากป่วยและอยากกลับมาหุ่นดี ควรเลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งไขมันทรานส์ก็อยู่ในบรรดาอาหารจำพวก เบเกอรี อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือของทอด เป็นต้นค่ะ

5. รับประทานอาหารไฟเบอร์สูงให้มากขึ้น

เราทราบกันอยู่แล้วว่า ไฟเบอร์ ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย แต่นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก อีกทั้งช่วยลดไขมันที่หน้าท้อง ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังอื่น ๆ ทั้งนี้มีการศึกษาพบว่าไฟเบอร์ในอาหารบางชนิด มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญ ทำให้ร่างกายนำเอาไขมันส่วนเกินมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้นอีกด้วยล่ะค่ะ ดังนั้นถ้าอยากพุงยุบ ไฟเบอร์ในผักผลไม้ ช่วยคุณได้ค่ะ 

ทั้งการออกกำลังกาย และการเลือกรับประทานอาหาร สามารถช่วยลดพุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องเป็นคนที่มีวินัยอย่างมาก เพราะต้องอาศัยความสม่ำเสมอ และใช้ความอดทนในการออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งก็มีหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีเวลา หรือมีปัญหาสุขภาพจนทำให้ออกกำลังกายหนัก ๆ ไม่ได้ ทว่า นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้คุณลดพุงไม่ได้ เพราะในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยลดพุงได้โดยที่คุณเพียงแค่นั่งชิล ๆ ไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็สามารถสลายไขมันไปได้ถึง 20 – 30% เลยล่ะค่ะ วิธีที่ว่าก็คือ เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ค่ะ

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการลดไขมันด้วยความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการรับรองจากสถาบันระดับโลกว่าปลอดภัยและเห็นผลได้จริง โดย CoolSculpting นั้นเกิดขึ้นจากการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ที่พบว่าการเด็กดูดไอติมแท่งบ่อย ๆ ทำให้ไขมันที่แก้มหายไป และเมื่อนำมาศึกษาค้นคว้าต่อก็จนเกิดเป็นเทคโนโลยี CoolSculpting ขึ้น และถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายด้วยเหตุผลที่ว่า เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นวิธีการลดไขมันที่ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไร้แผลและไม่เจ็บ แตกต่างจากการวิธีการผ่าตัดดูดไขมันที่ต้องผ่าตัดเพื่อดูดไขมันออก ทำให้มีแผลเป็น และต้องใช้เวลาพักฟื้นระยะหนึ่งถึงจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ในขณะที่ CoolSculpting จะเพียงวางอุปกรณ์ที่บนผิวหนังและใช้แรงสูญญากาศดูดบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมันเข้าไปอยู่ภายในอุปกรณ์และปล่อยความเย็นอุณหภูมิติดลบ 35 – 45 นาที ความเย็นจะไปทำให้เซลล์ไขมันซึ่งเป็นเซลล์ที่ไวต่อความเย็นตายลงโดยไม่กระทบกับเซลล์อื่น ๆ ในร่างกาย และเมื่อทำเสร็จ ผู้เข้ารับบริการก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ โดยที่เซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะถูกขับออกมาตามกลไกของร่างกาย ซึ่งในการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้ 20 – 30% เลยทีเดียว เรียกได้ว่าสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงหลังจากทำได้แน่นอนยิ่งถ้าทำเสริมกับการดูแลรูปร่างด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย หรือการควบคุมอาหาร ก็จะยิ่งทำให้เห็นผลได้ชัดยิ่งขึ้นเลยล่ะค่ะ

นอกจากนี้การทำ CoolSculpting ยังเป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันที่สามารถกลับมาทำซ้ำได้ แม้ว่าจะกลับมามีห่วงรอบเอวอีกก็มั่นใจได้ว่าเอาอยู่อย่างแน่นอน และที่ APEX เรามีผู้เชี่ยวชาญอย่าง CoolSculpting Specialist ที่จะพร้อมจะให้คำปรึกษาคุณในเรื่องการกำจัดไขมันด้วยความเย็น เพื่อให้คุณได้รับผลที่น่าพึงพอใจมากที่สุดด้วย CoolSculpting ค่ะ

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Apex Profound Beauty

  • Bangkok : 066-3310-8000
  • Korat : 0888-7000-43
  • Phuket : 088-000-2100
  • Pattaya: 087-096-1234