บอกลาหน้าท้องยื่น ลดพุง ด้วยสูตร 6:6:1

ลดพุง
ในยุคที่รายล้อมไปด้วยอาหารน่ากิน แถมยังมีบริการส่งถึงบ้านแบบแทบไม่ต้องขยับตัว หลายคนคงหลงลืมจะยับยั้งชั่งใจกันไปบ้าง พอได้สติอีกทีก็มีพุงยื่น ๆ กับไขมันส่วนเกินเป็นเพื่อนเสียแล้ว คราวนี้จะนั่ง นอน ยืน หรือใส่เสื้อผ้าก็รู้สึกอึดอัดคับข้อง ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว หรือสูญเสียความมั่นใจไปเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคุณกำลังอยากลองปรับพฤติกรรมการกินของตัวเอง แต่จนใจที่มีให้เลือกเยอะจนตาลาย ทั้งอยากลองแบบง่าย ๆ ไม่หักดิบมากดูก่อนละก็ เชื่อว่าสูตร ลดพุง 6:6:1 ลดหวาน มัน เค็ม ห่างไกลโรคอาจเหมาะกับคุณค่ะ

ทำความรู้จักกับสูตร ลดพุง 6:6:1

สูตร 6:6:1 เป็นสูตรที่ช่วยกำหนดปริมาณของเครื่องปรุงรสประเภท น้ำตาล น้ำมัน และเกลือที่คุณควรรับเข้าร่างกายต่อวัน เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาวอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ นั่นเองค่ะ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคไต รวมถึงโรคยอดฮิตอย่างโรคอ้วน โดยสูตร 6:6:1 มีดังนี้ค่ะ

น้ำตาล

6 แรกก็คือน้ำตาลค่ะ ตามคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โดยทั่วไปเราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมค่ะ ซึ่งน้ำตาล 1 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 4 กิโลแคลอรี่ อย่างที่รู้กันน้ำตาลมักมีมากในอาหารปรุงสำเร็จ ขนม หรือเครื่องดื่มอยู่แล้ว ฉะนั้นพยายามยับยั้งชั่งใจกินในบริมาณที่พอเหมาะกันด้วยนะคะ ที่สำคัญแม้ในอาหารหรือเครื่องดื่มบางประเภทจะระบุว่าเป็นสูตรน้ำตาลน้อย หรือไม่มีน้ำตาลเลย แต่ก็มักใส่สารให้ความหวานทดแทนหรือน้ำตาลเทียมเข้าไปเพื่อคงรสชาติ โดยน้ำตาลเทียมเหล่านี้หากรับเข้าร่างกายมากเกินไป ยังอาจก่อให้เกิดโรครวมถึงติดรสหวานได้เช่นกันค่ะ ดังนั้นควรอ่านฉลากกันสักเล็กน้อยก่อนเลือกซื้อ และแน่นอนว่าการลดน้ำตาลลง ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูงด้วยค่ะ

ไขมัน

ไขมัน หรือน้ำมันก็ไม่ควรรับเข้าร่างกายเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวันเช่นกันค่ะ ซึ่งน้ำมัน 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 กิโลแคลอรี่ หากคุณบริโภคน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันจากไขมันสัตว์ รวมถึงไขมันทรานส์มากเกินไป ย่อมเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด ดังนั้นควรเลือกอาหารที่ปรุงโดยไม่ใช้น้ำมัน หรือลองเปลี่ยนไปใช้น้ำมันกับกินไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแทน เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วลิสง อะโวคาโด หรืออัลมอนด์ เป็นต้นค่ะ โดยไขมันดีเหล่านี้ยังจะไปช่วยลดปริมาณไขมันไม่ดีที่สะสมในร่างกายของคุณให้อีกด้วย

เกลือ

อย่างสุดท้ายก็คือเกลือค่ะ เราควรกินเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือรับปริมาณโซเดียมเข้าร่างกายไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งความเค็มนั้นมาจากโซเดียมคลอไรด์ อันเป็นส่วนประกอบของเครื่องปรุงรสแทบทุกชนิดที่ให้รสเค็ม ทั้งยังมีอยู่ในวัตถุดิบตามธรรมชาติทั่วไปอีกด้วย หากร่างกายของเราได้รับโซเดียมมากเกินไปจะส่งผลต่อความดันโลหิต การทำงานของหัวใจ และไตอีกด้วยค่ะ

ขอแค่ลองปรับเปลี่ยน หรือลดเครื่องปรุงทั้งหวาน มัน เค็ม แบบง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ทั้งค่อย ๆ โบกมือลาพุงยื่น ๆ ได้เลยค่ะ ทว่าหากคุณอยากได้สัดส่วนสวยกระชับโดยไม่ต้องรอลุ้นผล ไม่ต้องเครียดว่าจะตบะแตกกลางทางไหม หรือไม่ต้องการวุ่นวายกับการควบคุมอาหารจนเกินไป การทำ CoolSculpting สามารถช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้ค่ะ

CoolSculpting หรือการสลายไขมันด้วยความเย็น ด้วยวิธีนี้คุณไม่ต้องผ่าตัดเปิดแผล จึงไม่ต้องเสี่ยงเจ็บตัว ที่สำคัญไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ หลังทำเสร็จอีกด้วยค่ะ โดย CoolSculpting จะใช้หัว Applicator อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อดูดติดกับผิวหนัง และส่งความเย็นที่อุณหภูมิ -11 ถึง -13 องศาเซลเซียสเข้าไปแช่แข็งเซลล์ไขมันใต้ชั้นผิวหนังในบริเวณที่คุณต้องการลดสัดส่วน ซึ่งการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดไขมันออกจากร่างกายได้ 20-30% ทีเดียวค่ะ โดยเซลล์ไขมันที่ตายลงจะถูกกำจัดออกผ่านกลไกร่างกายตามธรรมชาติ และใช้เวลาราว 1-3 เดือนเพื่อเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

ทว่า CoolSculpting อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีรูปร่างอ้วนมาก ๆ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสลายได้เพียงไขมันชั้นนอก หรือใต้ชั้นผิวหนัง ฉะนั้นผู้ที่มีไขมันสะสมภายในช่องท้อง หรือแทรกตามอวัยวะย่อมเห็นผลลัพธ์ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงอาจต้องใช้การออกกำลังกายเผาผลาญไขมันร่วมด้วยจึงจะเห็นผลดีค่ะ

ที่ APEX เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์สูงด้านสลายไขมันด้วยความเย็นอย่าง Coolsculpting Specialist ที่พร้อมให้คำแนะนำและดูแลคุณอย่างมืออาชีพตลอดการรักษาด้วย CoolSculpting เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้รูปร่างสวยกระชับตามที่ต้องการ และหมดกังวลเรื่องไขมันส่วนเกิน กลับไปเป็นคุณที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจอีกครั้งค่ะ

 

ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter