ลดน้ำหนัก กับ ลดสัดส่วน ไม่เหมือนกัน!

ลดน้ําหนัก

ลดน้ำหนัก กับ การลดสัดส่วน แม้จะดูเหมือนว่าเป็นวิธีที่สามารถทำให้รูปร่างเล็กลง และมีตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักที่ลดลงด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเรื่องของการลดน้ำหนัก และการลดสัดส่วนมีผลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แถมยังส่งผลต่อสุขภาพในรูปแบบที่แตกต่างกันด้วย แต่จะมีความแตกต่างอย่างไรบ้างนั้น คนที่ยังมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการลดน้ำหนักต้องลองมาดูกันค่ะ

การลดน้ำหนัก คือการมุ่งเน้นทำให้น้ำหนักตัวลดลง โดยน้ำหนักตัวที่ลดลงนั้นไม่ใช่น้ำหนักของไขมันเป็นหลัก แต่เป็นน้ำหนักของกล้ามเนื้อ เพราะในความเป็นจริงแล้วไขมันในร่างกายมีปริมาณที่เบามาก ดังนั้นการที่ต้องการให้ตัวเลขของน้ำหนักตัวลดลงก็คือการทำให้กล้ามเนื้อลดลงด้วย

ในขณะที่การลดสัดส่วน เป็นการมุ่งเน้นไปที่รูปร่าง โดยจะโฟกัสที่การลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นหลัก ผลก็คือปริมาณไขมันในร่างกายจะลดลง เห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจนขึ้น ทำให้รูปร่างดูดีและสมส่วนมากขึ้นแต่น้ำหนักตัวจะลงไม่มากนัก นับเป็นวิธีที่ดีกับสุขภาพและร่างกายมากกว่าการลดน้ำหนักแบบที่มักทำกัน

ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องการมีรูปร่างที่ดีควรมุ่งเน้นไปที่การลดสัดส่วนจะดีกว่า การลดสัดส่วนจะทำให้เราโฟกัสไปที่รูปร่างไม่ใช่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก จึงทำให้เรามีการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมมากกว่าการที่เราเอาแต่สนใจตัวเลขน้ำหนักตัว ซึ่งอาจส่งผลเสียกับสุขภาพในระยะยาวได้ และบางคนอาจถึงขั้นระบบเผาผลาญพังได้เลยทีเดียว

แต่ถ้าหากการลดสัดส่วนด้วยการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายยังทำให้สัดส่วนไม่ดีขึ้นเร็วอย่างที่ใจต้องการ ก็ยังมีวิธีอื่นที่สามารถช่วยให้รูปร่างดีขึ้นได้แบบไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องอด ไม่ต้องเสียเวลา วิธีที่ว่าก็คือเทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็น หรือ CoolSculpting นั่นเอง ซึ่งเป็นวิธีการลดไขมันส่วนเกินที่ได้การรับรองจากสถาบันระดับโลกว่าสามารถช่วยให้มีรูปร่างดีขึ้นได้จริง โดยในการทำ CoolSculpting 1 ครั้งใช้เวลาทำไม่เกิน 45 นาที และสามารถลดสัดส่วนลงได้ 20 – 30% ภายในเวลา 1 – 3 เดือน ยิ่งถ้าควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วยจะยิ่งทำให้ผลเห็นได้เร็วและชัดเจน อีกทั้งผลยังสามารถอยู่ได้ในระยะยาวมากขึ้น

ใครทำ CoolSculpting ได้บ้าง ?

CoolSculpting เป็นวิธีการกำจัดไขมันที่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน ตั้งแต่บริเวณส่วนใหญ่ๆของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ไปจนถึงบริเวณเล็กๆอย่างไขมันใต้คาง โดยในการทำ CoolSculpting เซลล์ไขมัน 20 – 30% จะใช้ความเย็นอุณหภูมิติดลบ 11 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 35 นาที ทำให้เซลล์ไขมันที่ไม่ชอบความเย็นจัดจะค่อยๆถูกทำลาย และถูกกำจัดจากร่างกายผ่านระบบขับถ่าย ซึ่งจะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนหลังจากทำ 2-3 เดือน ทั้งนี้การกำจัดไขมันด้วย CoolSculpting จะไม่ทำให้เกิดแผล และไม่ต้องพักฟื้น ต่างจากการดูดไขมัน หรือ การผ่าตัดกำจัดไขมัน ที่มีบาดแผลและต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลานาน

CoolSculpting ทำส่วนใดได้บ้าง ?

CoolSculpting เป็นการกำจัดไขมันด้วยความเย็นที่ปลอดภัย และออกแบบมาให้สามารถทำได้หลายส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะตั้งแต่พื้นที่เล็กๆอย่างบริเวณใต้คาง ปีกเล็กๆที่ขอบชุดชั้นใน เหนือหัวเข่า จนไปถึงพื้นที่ใหญ่ๆอย่างปีกข้างขา สะโพก เอว หน้าท้อง โดยในการทำ CoolSculpting ผู้เชี่ยวชาญที่เอเพ็กซ์จะเป็นผู้ประเมินรูปร่างของผู้เข้ารับบริการเพื่อวางแผน และออกแบบรูปร่าง เพิ่มส่วนเว้าส่วนโค้งของรูปร่างให้เป็นที่พึ่งพอใจของผู้เข้ารับบริการ

CoolSculpting อ้วนมากๆทำได้ไหม ?

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีที่สามารถกำจัดไขมันชั้นนอก หรือไขมันใต้ชั้นผิวหนังได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในจุดที่สามารถทำได้จะช่วยกำจัดไขมันออกไปได้ถึง 20-30% แต่ในรายที่อ้วนมากๆ หรือมีภาวะไขมันในช่องท้องหรือไขมันแทรกตามอวัยวะ อาจต้องใช้การออกกำลังกาย หรือเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในการลดไขมัน ทั้งนี้หากไม่แน่ใจว่าตัวเองมีไขมันในร่างกายแบบใด ก็สามารถเข้ารับคำปรึกษา และรับคำแนะนำจาก CoolSculpting Specialist ได้ที่เอเพ็กซ์ทุกสาขา

ผลลัพธ์ของ Coolsculpting เมื่อกับวิธีอื่น

  • Coolsculpting vs ยาลดน้ำหนัก ยาลดน้ำหนัก หรือยาลดความอ้วน อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ แต่ต้องขอบอกว่ายาลดน้ำหนักที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดในปัจจุบันนั้นแทบทั้งหมดเป็นยาที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง โดยเฉพาะยาชุดที่ขายกันเป็นล่ำเป็นสันนั้น เป็นเพียงแค่การนำยาชนิดต่างๆที่หากใช้ในปริมาณมากแล้วจะยิ่งเป็นอันตราย ซึ่งที่พบได้ส่วนใหญ่ในยาชุดลดความอ้วนก็คือ ยาขับปัสสาวะ ซึ่งใช้ในผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต หากใช้มากเกินปริมาณที่แพทย์กำหนด หรือใช้โดยไม่มีสาเหตุจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากเกินไป และทำให้เกิดภาวะขาดน้ำจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ไม่เพียงเท่านั้นเพราะนอกจากยาขับปัสสาวะแล้ว ยังมียาอีกหลายชนิดที่คลินิกลดน้ำหนักที่ผิดกฎหมายนำมาใช้เพื่อขายเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย หากใช้ในปริมาณมากๆอาจทำให้เกิดภาวการณ์ทำงานของอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้ในที่สุดในขณะที่การทำ CoolSculpting ผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องรับประทานยาใดๆ จึงรับรองได้ถึงความปลอดภัย และมั่นใจได้ว่าจะไม่ส่งผลเสียกับร่างกายในภายหลังแน่นอน เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ตายลงจากการทำจะถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีการตกค้างให้กังวลใจอย่างแน่นอน
  • Coolsculpting vs ดูดไขมัน (Liposcution) การดูดไขมันเป็นวิธีการกำจัดไขมันที่ต้องผ่าตัดเพื่อเปิดแผลและสอดท่อและอุปกรณ์สูญญากาศเข้าไปดูดไขมัน โดยแท่งดังกล่าวจะช่วยกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนังออกได้ในปริมาณมากๆภายในครั้งเดียว แต่ก็มีข้อเสียคือในระหว่างการทำจะต้องมีการใช้ยาสลบซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อผู้เข้ารับบริการได้ในภายหลัง นอกจากนี้การดูดไขมันด้วยวิธีนี้หากแพทย์ผู้ทำไม่เชี่ยวชาญพออาจดูดไขมันออกได้ไม่หมดและทำให้ผิวมีลักษณะเป็นคลื่นดูไม่สวยงาม หรืออาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำบริเวณที่ดูดไขมันได้ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้อีกด้วย และถ้าหากต้องการกลับมาดูดไขมันซ้ำ ก็จะทำได้ยากและอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ได้ ส่วน CoolSculpting คือการกำจัดไขมันด้วยความเย็นที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล และไม่ต้องเจ็บ เนื่องจากการทำ CoolSculpting จะเป็นการติดเครื่องมือไว้บนผิวหนังและส่งความเย็นลงไปยังชั้นไขมัน เมื่อไขมันในบริเวณดังกล่าวได้รับความเย็นให้อุณหภูมิติดลบเป็นเวลา 35 – 45 นาที เซลล์ไขมันที่มีความไวต่ออากาศเย็นถูกทำให้ตายลง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นๆในร่างกาย หลังจากนั้นเซลล์ที่ตายก็จะถูกขับออกจากร่างกายผ่านกลไกของร่างกาย และไม่ต้องพักฟื้นเหมือนกับการดูดไขมัน นอกจากนี้ CoolSculpting ยังสามารถกลับมาทำซ้ำได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนใดๆ
  • Coolsculpting vs Thermage FLX หลายคนอาจคิดว่าการทำ Thermage FLX สามารถช่วยลดสัดส่วนบริเวณที่กังวลได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วการทำ Thermage FLX เป็นเพียงแค่การยกกระชับผิวไม่ใช่การกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายแต่อย่างใด ดังนั้นแม้จะทำ Thermage FLX บริเวณที่กังวลก็ยังคงมีไขมันส่วนเกินอยู่ ต่างจาก CoolSculpting นั้นสามารถช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้โดยที่ไม่ทำให้ผิวย้วยเนื่องจากการลดน้ำหนักได้ ผู้เข้ารับบริการจึงสามารถมีรูปร่างที่ดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องผิวที่ย้วยอีกต่อไปค่ะ
  • Coolsculpting vs HIFU Body Body HIFU เทคโนโลยีกระชับผิว ด้วยพลังงาน HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อการกระชับผิวกายด้วยการส่งพลังงานความร้อนอุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียสไปที่เซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย และขับออกผ่านระบบการไหลเวียนของร่างกายตามธรรมชาติ โดยกระบวนการนี้เกิดขึ้นกับเฉพาะเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น จึงมั่นใจได้ว่าเฉพาะเซลล์ไขมันเท่านั้นที่จะถูกจัดการ และกำจัดออกจากร่างกาย ฟังแล้ววิธีนี้อาจจะคล้ายกับการทำ CoolSculpting แต่แตกต่างกันที่ใช้ความร้อน และ ความเย็นในการกำจัดเซลล์ไขมัน แต่ถ้าเทียบถึงความสะดวกสบายแล้ว CoolSculpting ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเป็นการใช้ความเย็นในการกำจัดไขมัน ต่างจาก HIFU Body ที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำ อีกทั้งยังอาจเสี่ยงต่อแผลเบิร์นไหม้จากความร้อนได้อีกด้วย แต่ CoolSculpting นั้นความเสี่ยงต่ำ และไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเบิร์นแต่อย่างใด
  • Coolsculpting vs Sculpsure Sculpture คือ เทคโนโลยีในการกำจัดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) สามารถกำจัดเซลล์ไขมันที่ในบริเวณที่กำจัดได้ยาก เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือเอว ด้วยการใช้คลื่นพลังงานเลเซอร์ ในช่วงคลื่น 1060NM ที่ทำให้เกิดความร้อน ในระดับอุณหภูมิ 42 – 47 องศาเซลเซียส เข้าไปทำให้เซลล์ไขมันตายลง ซึ่งในแต่ละครั้งที่ทำ สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ประมาณ 24 % ของไขมันทั้งหมดบริเวณนั้นๆ แม้จะดูเหมือนให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็เช่นเดียวกับการใช้ HIFU Body ที่อาจเสี่ยงกับการเบิร์นจากความร้อนได้เช่นกัน นอกจากนี้การทำ Sculpsure ที่เป็นการใช้ความร้อนในการทำลายเซลล์ไขมันยังอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะทำได้
  • Coolsculpting vs การนวดด้วยเครื่อง การลดน้ำหนักและสัดส่วนด้วยการนวดนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก ทว่าในความเป็นจริงแล้วการใช้เครื่องนวดเพื่อลดสัดส่วนนั้นจะช่วยได้เพียงกระชับได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการนวดด้วยเครื่องเพื่อลดสัดส่วนจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่เกิน 7 วันเท่านั้น เนื่องจากเครื่องจะปล่อยคลื่นพลังงานออกมากำจัดน้ำส่วนเกินบริเวณที่นวด เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเซลล์ไขมันไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ต่างจากการทำ CoolSculpting ที่กำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายได้จริง ด้วยการทำให้เซลล์ไขมันตายลงและขับออกจากร่างกายผ่านกลไกตามธรรมชาติ
  • Coolsculpting vs อดอาหาร การอดอาหาร ถือเป็นวิธีการลดน้ำหนัก และ ลดสัดส่วนที่ผิด ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อคนเราอดอาหาร สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง และจะส่งผลกระทบต่อสมองทำให้ความคิดวิเคราะห์แย่ลง เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องใช้กลูโคสในการทำงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงก็จะทำให้สมองทำงานได้ช้าลงตามไปด้วย นอกจากนี้ระดับน้ำตาลที่ลดลงยังทำให้เกิดอาการมึนงง อ่อนเพลีย ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และกระตุ้นความหิว และนำไปสู่ภาวะอารมณ์ฉุนเฉียวได้ ไม่เพียงเท่านั้น การอดอาหารยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญ เพราะเมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากอาหารเพิ่มก็จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลงเพื่อรักษาพลังงานในร่างกายเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น ทั้งนี้หากอดอาหารติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเอาตัวรอด ซึ่งถ้าหากถึงเวลารับประทานอาหารอีกครั้งก็จะรับประทานอาหารมากกว่าปกติ และมีแนวโน้มว่าจะรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น นั่นก็เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อทดแทนส่วนที่หายไป จึงต้องรับประทานอาหารมากขึ้น และทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอดอาหารแล้วน้ำหนักยังขึ้น หรือลดน้ำหนักได้ยากไม่ลงนั่นเอง
  • Coolsculpting vs ออกกำลังกายการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เป็นวิธีที่ให้ผลยั่งยืน และดีกับร่างกาย เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยทำให้ผอมลง และรูปร่างดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้สุขภาพดีอีกด้วย อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก หรือเพื่อลดสัดส่วนก็ต้องอาศัยวินัยอย่างมาก และต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ

และที่ APEX เราเป็นผู้นำด้านการกำจัดไขมันด้วยความเย็น ด้วยการใช้เทคโนโลยีของแท้ เครื่องแท้ และมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาในการกำจัดไขมัน และลดสัดส่วนอย่างปลอดภัยด้วย CoolSculpting บอกลาไขมันส่วนเกินตัวการสัดส่วนย้วยๆที่ทำให้ขาดความมั่นใจไปได้เลยด้วยการกำจัดไขมันด้วยความเย็นอย่าง CoolSculpting ที่ APEX กันดีกว่าค่ะ รับรองได้ว่าไม่มีทางผิดหวังอย่างแน่นอน

 

ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ ลดน้ําหนัก โทร. 0888-7000-26
📱 FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
📱 Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter