ลดน้ำหนักเร่งด่วนอย่างไรไม่ให้ร่างพัง?

ลดน้ําหนักเร่งด่วนการ ลดน้ำหนักเร่งด่วน สำหรับหลายๆ คนแล้วนับเป็นเรื่องที่ยาก ยิ่งถ้ามีโอกาสพิเศษที่ใกล้เข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนย่อมจะยอมทำเพื่อให้รูปร่างเล็กลงด้วยกันทั้งนั้น ทว่าการลดน้ำหนักเร่งด่วนอย่างผิดๆ อาจส่งผลเสียกับสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น ทำให้ระบบเผาผลาญพัง คราวนี้จะลดอย่างไรก็ลดไม่ลง เป็นต้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยหากคิดจะลดน้ำหนักเร่งด่วนก็ควรลดอย่างถูกวิธีจะดีที่สุด

ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักเร่งด่วนคือ ไม่ควรโฟกัสที่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก แต่ควรโฟกัสที่สัดส่วนมากกว่า เพราะการลดสัดส่วนสามารถทำได้ง่าย แถมยังช่วยให้มีรูปร่างที่ดีได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังไม่ทำให้สูญเสียกล้ามเนื้อ ทำให้มีหุ่นที่ดูสุขภาพดีกว่าการเร่งลดน้ำหนักที่อาจทำให้สูญเสียกล้ามเนื้อไปพร้อมๆ กับไขมันด้วยจนเป็นผลให้รูปร่างดูผอมเกินไป

ซึ่งการลดน้ำหนักเร่งด่วน ถ้าไม่อยากให้ร่างพังหรือสุขภาพแย่ สิ่งที่ควรทำคือการลดอย่างพอดีและถูกวิธี นั่นคือการควบคุมอาหาร รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ลดของหวาน ลดน้ำตาล และไขมันที่ไม่ดีลง เพิ่มผัก ผลไม้ โปรตีนไขมันต่ำ และรับประทานไขมันดีแต่พอดี ก็จะช่วยให้ร่างกายดึงไขมันส่วนเกินออกมาใช้มากขึ้น นอกจากนี้ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่หักโหมมากเกินไป เพราะการหักโหมออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนัก อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ หรือทำให้สุขภาพแย่ลงจนเกิดอาการเจ็บป่วยได้

ขณะการใช้ยา หรืออาหารเสริมเพื่อช่วยลดน้ำหนัก ก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการใช้ยาอาจส่งผลกระทบให้ระบบเผาผลาญผิดปกติ และถ้าหากเกิดความผิดปกติในระบบเผาผลาญติดต่อกันนานๆก็จะทำให้ระบบเผาผลาญพัง คราวนี้ไม่ว่าจะลดอย่างไรก็ไม่ลงแถมยังทำให้อ้วนขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย

การทำ CoolSculpting เพื่อลดน้ำหนักเร่งด่วนดีจริงหรือ

แต่ถ้าการลดน้ำหนักเร่งด่วนของคุณมีจุดประสงค์เพื่อให้มีรูปร่างที่ดีขึ้น การทำ CoolSculpting อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าและเร็วกว่า เพราะ CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีใหม่ในการสลายไขมันด้วยความเย็น ที่เห็นผลเร็วภายในเวลา 1–3 เดือน อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง และใช้เวลาน้อยเพียงครั้งละ 35–45 นาที ก็สามารถกำจัดเซลล์ไขมันได้ 20–30% จากนั้นเซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะค่อยๆถูกกำจัดออกมาจากร่างกายผ่านกลไกทางธรรมชาติ บอกลารูปร่างที่มีปัญหา โดยไม่ต้องมาหักโหมลดน้ำหนักให้รู้สึกเหนื่อยกายเหนื่อยใจอีกต่อไป

ทั้งนี้ CoolSculpting เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง U.S.FDA (Food and Drug Administration) และมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด เมื่อเทียบกับการกำจัดไขมันวิธีอื่นๆ อีกด้วยทำให้คุณสามารถมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ใครเหมาะกับการทำ Coolsculpting

การทำ CoolSculpting เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสม หรือมีความต้องการลดสัดส่วนเฉพาะส่วน เช่น คนที่มีหน้าท้อง ต้องการลดสะโพก ต้นขา ต้นแขน และปีกหลัง หรือจะเป็นคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรและต้องการรูปร่างที่ดีกลับคืนมาโดยไม่ต้องออกกำลังกายหนักๆ หรืออดอาหาร CoolSculpting นับเป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ผลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้เข้ารับบริการก็ควรใช้การออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารควบคู่กันไปหลังจากการทำ CoolSculpting ด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้อยู่คงทนยาวนาน และไม่มีไขมันสะสมกลับมาให้กวนใจ

การเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting

นับเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของ CoolSculpting เลยก็ว่าได้ที่ก่อนเข้ารับการทำนั้น ผู้เข้ารับบริการไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมาก เนื่องจากในการกำจัดไขมันด้วยความเย็นวิธีนี้ไม่ใช้การผ่าตัด แต่คล้ายกับการทำทรีตเมนต์ทั่วไป ดังนั้นผู้เข้ารับบริการสามารถรับประทานอาหาร และดื่มน้ำได้ตามปกติ

ขั้นตอนการทำ CoolSculpting

การกำจัดไขมันด้วย Coolsculpting เป็นวิธีที่สะดวก และเห็นผลจริงตามหลักการแพทย์ โดยไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน และไม่ต้องเตรียมตัวใดๆก่อนทำ ขั้นตอนของการทำ Coolsculpting เริ่มจาก

  1. รับคำปรึกษาจาก Coolsculpting Specialist ข้อห้ามในการทำมีน้อยมาก เช่น ในรายที่แพ้ความเย็นจัดๆ จะไม่สามารถทำได้ หรือผู้ที่มีการผ่าตัดในบริเวณที่ต้องการทำ Coolsculpting จะต้องเว้นระยะหลังผ่าตัด ประมาณ 6 เดือน แต่สามารถทำได้ในบริเวณอื่นๆ นอกจากนั้น ผู้ที่เป็นใส้เลื่อน ยังอยู่ในข้อห้ามของการทำ Coolsculpting บริเวณหน้าท้อง แต่ก็สามารถทำได้ในบริเวณอื่น
  2. ประเมินจุด เลือกขนาด Applicator ขั้นตอนนี้เป็นอีกขึ้นตอนสำคัญในการทำ Coolsculpting หุ่นจะสวยขึ้น เอวจะเว้า S อยู่ที่ขั้นตอนนี้เลย เพราะความเชี่ยวชาญของ Coolsculpting Specialist จะออกแบบการวาง Applicator ให้ได้ส่วนเว้าส่วนโค้งตามต้องการ นอกจากนี้การเลือกขนาดหัวที่เหมาะสม ยังทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
  3. เริ่มวาง Applicator โดยประมาณ 10 นาทีแรก จะรู้สึกเย็นจัดในจุดที่ทำ จากนั้นจะเริ่มชาและรู้สึกคงที่ตลอด 35 นาที
  4. นวดทันทีหลังทำ นาน 2 นาที ตามผลวิจัยเทียบผลลัพธ์ระหว่างนวด และไม่นวด ปรากฏว่ามีผลต่างกันถึง 68% แม้การนวดอาจทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเล็กน้อย แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ใน 2 นาที ที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เพียงแค่ 4 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณดูดีได้ในไม่กี่สัปดาห์แล้วล่ะค่ะ

สิ่งที่เกิดหลังจากทำ CoolSculpting

หลังจาก CoolSculpting แล้ว ประมาณสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไป จะเริ่มเห็นผลความเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง เนื่องจากร่างกายจะค่อยๆ กำจัดเซลล์ไขมันตายลงจากการทำ CoolSculpting ออกจากร่างกาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 1–3 เดือน ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน

และถ้าหากวันนี้คุณกำลังต้องการมีรูปร่างที่ดีแบบเร่งด่วน ที่ APEX เราคือผู้เชี่ยวชาญในด้านการดูแลรูปร่างของคุณด้วยการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting โดยทีมผู้เชี่ยวชาญอย่าง CoolSculpting Specialist ที่ผ่านการอบรม เพิ่มเติมความรู้ และความเชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คุณสามารถสลายไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างแน่นอน ลดไขมันที่ไหนไม่เห็นผล ปรึกษาที่สถาบันลดน้ำหนัก APEX เพราะ Coolsculpting ตัวจริง ที่ 1 ในเอเชีย

ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติมเรื่องการ ลดน้ำหนักเร่งด่วน
โทร. 080-5000-123
📱 FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
📱 Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter