สารพัดข้อสงสัยเกี่ยวกับเครื่องยกกระชับ Ulthera และ Thermage
“Ulthera หรือ Thermage ควรทำตัวไหนดี?”
“Ulthera กับ Thermage ให้ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร?”
“ผิวหน้าหย่อนคล้อย เลือกทำเครื่องไหนดีที่สุด?”
เทคโนโลยีเครื่องยกกระชับ Ulthera และ Thermage ที่ถูกสอบถามเข้ามามากที่สุด และในบทความนี้เราขอเชิญ คุณหมอเอิง-แพทย์หญิงปรณีย์ ฉัตรธานี แพทย์ประจำสถาบันเสริมความงาม APEX Medical Center มาช่วยแถลงไขปัญหาคาใจเหล่านี้ให้ทุกคนทราบกัน
เริ่มต้นด้วยการมารู้จักโครงสร้างผิวหนังของเรากันก่อน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชั้นหลัก ได้แก่
- Epidermis หรือ ชั้นหนังกำพร้า อยู่ชั้นบนสุดบริเวณนอกสุดของผิวหนัง ทำหน้าที่ห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างกาย และเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าหรือออกจากร่างกาย
- Dermis หรือ ชั้นหนังแท้ อยู่ถัดลงมาจากชั้นหนังกำพร้าเป็นชั้นผิวตรงกลาง โดยชั้นนี้เปรียบเสมือนเสาหลักที่คอยรักษาความยืดหยุ่นของผิว เพราะเป็นที่อยู่ของคอลลาเจนและอิลาสติน
- ชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Tissue) หรือ ชั้นไขมัน (Subcutaneous) อยู่ด้านล่างสุดติดกับกระดูก ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก คอยทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
คุณหมอเอิงเสริมว่า ในผิวหนังทั้ง 3 ชั้นนี้ จะมีโปรตีนอยู่หนึ่งตัวที่เรียกว่า Collagen Fiber หรือเส้นใยคอลลาเจน ที่คอยทำหน้าที่ยึดโยงค้ำจุนชั้นผิวทั้งสามให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ผิวพรรณของเราจึงดูเฟิร์ม ดูกระชับ เหมือนตอนที่อายุยังน้อยนั่นเอง
แต่เมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น กาลเวลาก็จะทำลายคอลลาเจนใต้ผิวหนังมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือผิวหน้าหย่อนคล้อย ลงมากองอยู่ตรงใต้คาง ซึ่งปัญหาที่เกิดบริเวณชั้นผิวแบบนี้ คุณหมอเอิงแนะนำว่าสามารถแก้ปัญหาได้โดยการทำ Thermage
เทอร์มาจ (Thermage)
Thermage คือ การใช้พลังงานคลื่นวิทยุในการยกกระชับผิวด้วยการสร้างความร้อนยิงลงไปใต้ผิวหนังสู่ชั้นหนังแท้ และความร้อนที่ยิงลงไปจะช่วยแก้ปัญหาเส้นใยคอลลาเจนที่หย่อนคล้อย ขาดการยืดหยุ่นสปริงตัวให้กลับมาทำงานได้เหมือนเดิม ผลลัพธ์ที่ได้คือทำให้เส้นใยคอลลาเจนหดกลับและมีเกลียวที่ขึงตึงขึ้น ผิวจึงดูแน่นขึ้นในระยะยาว
พออ่านจนถึงตรงนี้หลายคนคงตัดสินใจได้เลยทันทีว่า ‘ฉันต้องไปทำเทอร์มาจแล้วหละ’ แต่คุณหมอเอิง บอกต่อไปว่า การที่คนเราอายุมากขึ้นนั้น ไม่ได้ทำลายแค่เพียงชั้นผิวชั้นเดียว หากลองมองลึกลงไปในชั้นผิวแต่ละชั้นก็จะเจอกับชั้นกล้ามเนื้อและก่อนจะลงไปถึงชั้นไขมัน ในระหว่างชั้นจะมีเส้นใยบางๆ แผ่นหนึ่งที่ชื่อว่า SMAS คลุมอยู่
SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) เป็นชั้นเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อใบหน้าอยู่บริเวณใต้ชั้นไขมันผิวหนัง ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อชั้นเดียวกันกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า และเจ้า SMAS เองก็มีเส้นใยคอลลาเจนอยู่ด้วยเหมือนกัน เพื่อทำหน้าที่ยึดโยงผิวหนังกับกล้ามเนื้อให้เป็นแผ่นเดียวกันหากชั้นของ SMAS หย่อนยานลงไปเพราะคอลลาเจนถูกทำลายลง การแก้ปัญหาด้วยเทอร์มาจอาจจะไม่ช่วยอีกต่อไปนั่นเองแน่นอนว่าคราวนี้ก็ถึงตาของเครื่อง อัลเทอร่า (Ulthera) กันบ้างแล้ว
อัลเทอร่า (Ulthera) หรือ อัลเทอราพี (Ultherapy)
ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ที่เป็นแบบไมโครโฟกัสอัลตราซาวนด์ (Micro Focused Ultrasound) ซึ่งที่มาของชื่อเครื่องอัลเทอร่าก็มีส่วนมาจากพลังงานที่ใช้ด้วยเหมือนกัน Ulthera สามารถยิงพลังงานลงลึกได้ถึงชั้น SMAS เลยทีเดียว เป็นการแก้ไขคนละชั้นผิวกับเครื่องเทอร์มาจและผลลัพธ์ที่ได้คือ ใบหน้าจะยกกระชับมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวค่อยๆ เต่งตึง ยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ
ควรเลือกทำเครื่องไหนดี ระหว่าง Ulthera และ Thermage
คุณหมอเอิงแนะนำว่า หากเป็นคนไข้ที่อายุยังน้อยอยู่ก็สามารถเลือกทำได้ทั้ง 2 เครื่องเลย แต่ต้องให้แพทย์พิจารณาปัญหาก่อนว่าเกิดจากชั้นผิวใดแล้วจึงเลือกว่าจะใช้เครื่องยกกระชับอัลเทอร่าหรือเทอร์มาจในการรักษา
สำหรับคนไข้ที่มีอายุมากขึ้นมาหน่อย เราแนะนำว่าให้ทำทั้ง 2 เครื่องควบคู่กันไปเลย อาจจะทำเทอร์มาจไปก่อนและเมื่อเวลาผ่านไป 3-6 เดือน ค่อยกลับมาทำอัลเทอร่าซ้ำโดยสลับกันไปแบบนี้ทุกปี เพื่อให้ผลลัพธ์การยกกระชับนั่นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและคงผลลัพธ์อยู่ได้อย่างยาวนาน
เมื่อรู้แล้วว่า Thermage กับ Ulthera ต่างกันยังไง อีกคำถามที่ต้องตามมาคือ “แล้วควรจะยิงกี่ช็อต” ซึ่งหลายคนยังมีความเชื่อกันอยู่ว่ายิ่งช็อตเยอะ ยิ่งดี ยิ่งลึก ยิ่งเห็นผลชัดเจน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คุณหมอเอิงต้องคอยตอบมาโดยตลอด
ยิ่งช็อตเยอะ ยิ่งเห็นผล จริงไหม?
คุณหมอเอิงให้คำตอบสำหรับข้อนี้ว่า เรื่องความสวยความงาม การทำหัตถการใดใดก็ตามหรือการยกกระชับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนโดส จำนวนเข็ม จำนวนช็อตเพียงเท่านั้น ในการรักษาด้วยเครื่องยกกระชับ Ulthera และ Thermage ไม่ได้จำเป็นว่าจำนวนช็อตยิ่งมาก ยิ่งเห็นผลดี ซึ่งการยิงจำนวนช็อตที่มากเกินไป ก็อาจจะเสี่ยงต่อการทำให้เป็นแผลเบิร์นไหม้เพราะมีความร้อนสะสมใต้ผิวที่มากเกินไปได้ ดังนั้น
3 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการรักษาด้วยเครื่องยกกระชับ คือ
- ต้องเป็นเครื่องแท้
- จำนวนช็อตต้องเหมาะสม
- ประสบการณ์ของแพทย์ ซึ่งแพทย์ต้องมีความเข้าใจโครงสร้างของผิวหน้าเป็นอย่างดีด้วย ถึงจะทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเครื่องยกกระชับออกมาดีที่สุด
เพราะฉะนั้นถึงแม้จำนวนช็อตเพียง 300 ช็อต แต่อยู่ในมือแพทย์ที่ชำนาญก็อาจจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าก็ได้
เมื่อรู้แล้วว่า Thermage และ Ulthera ทำงานกันคนละชั้นผิว เราก็ทำมันไปเลยทั้ง 2 ตัว! หน้าจะได้ดูเด็กลงอย่างที่ใครหลายคนจะต้องทัก!
จริงๆ แล้วถูกต้องเพียงแค่ครึ่งเดียว คุณหมอเอิงเล่าต่อว่า เพราะการเสื่อมสภาพของผิว ผิวหน้าหย่อนคล้อยของเรา ไม่ได้เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจาก วอลลุ่ม ลอส (Volume Loss) อีกด้วย
Volume Loss เกิดขึ้นได้ยังไง?
Volume Loss คือการสูญเสียไขมันชั้นลึก (Deep Fat) ของใบหน้า หากย้อนกลับไปดูชั้นผิวทั้ง 3 ของเรา โดยในชั้นล่างสุดคือชั้นไขมัน ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็นช่องๆ เรียกว่า Compartment ไปทั่วใบหน้า โดยในแต่ละช่องจะมีการสลายไปของไขมันตามอายุไม่เท่ากัน ร่วมกับกล้ามเนื้อที่จะมีขนาดเล็กลงด้วยเมื่อเราอายุมากขึ้น
Compartment ที่จะหายไปอย่างรวดเร็วกว่าบริเวณอื่นจนสังเกตได้ชัดเจนจะเป็นบริเวณร่องใต้ตา ร่องแก้มและขมับ ร่วมกับโครงสร้างของกระดูกที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ซึ่งเมื่อกระดูกตามบริเวณต่างๆ เริ่มหายไป กล้ามเนื้อที่มันเคยเกาะอยู่ได้ในระดับที่เคยเป็นเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งมันจะค่อยๆ เลื่อนลงมาเกาะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเดิมเพราะกระดูกมีอยู่ไม่เท่าเดิมเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อยได้ด้วยเช่นกัน
Volume Loss แก้ไขได้อย่างไร?
สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาวอลลุ่มลอส อาจจะต้องมีการใช้หัตถการอื่นร่วมด้วย เช่น ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อแก้ปัญหาให้ใบหน้ากลับมาคงความเยาว์วัยได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นการจะตัดสินใจรักษาด้วยหัตถการใดใด ต้องพิจารณาปัญหาใบหน้าก่อนเป็นอันดับแรกว่าเกิดจากสาเหตุใดหรืออยู่ที่ชั้นผิวและลึกกว่าชั้นผิวหรือไม่ ถ้ารู้ชั้นผิวที่เป็นปัญหาได้ชัดเจนก็จะทำให้เราเลือกใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้อง และหากมีปัญหาวอลลุ่มลอสร่วมด้วยก็อาจจะต้องเติมฟิลเลอร์สักเล็กน้อย เพื่อช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด