ดูดไขมัน มาแล้ว ทำ CoolSculpting ได้หรือไม่?

ดูดไขมัน
การดูดไขมัน ถือเป็นวิธีการลดสัดส่วนที่ได้รับความนิยมมานาน เพราะเป็นวิธีการทำศัลยกรรมเพื่อความงามที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้เล็กลงได้ตามอย่างที่ต้องการ และด้วยเหตุนี้คนที่ต้องการมีหุ่นสวย ๆ แบบไม่ต้องเหนื่อยก็มักจะต้องเคยดูดไขมันสักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ด้วยเพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีสลายไขมันแบบใหม่ที่ไม่เจ็บตัว และไม่ต้องผ่าตัดเหมือนเมื่อก่อนอย่าง CoolSculpting ก็ทำให้หลายคนที่เคย ดูดไขมัน แล้วอยากจะลองลดสัดส่วนด้วยวิธีนี้ ทว่าคนที่ดูดไขมันมาแล้วจะสามารถทำ CoolSculpting ได้อีกไหม และมีอะไรที่ต้องระมัดระวังหรือไม่ เรามีคำตอบมาฝากค่ะ 

คนที่เคยผ่านการผ่าตัดดูดไขมันมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นข้อด้อยของการลดสัดส่วนด้วยวิธีนี้ก็คือ เมื่อผ่านการดูดไขมันมาแล้วผิวบริเวณที่ทำอาจเกิดเป็นพังผืดขึ้นได้ ทำให้การกลับมาทำซ้ำเป็นไปได้ยาก อีกทั้งหากไปทำกับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอก็จะทำให้ผิวเป็นคลื่น หรือมีปัญหาผิวเบิร์นไหม้ตามมาได้ ดังนั้นแม้ว่าจะเคยดูดไขมันมาแล้วส่วนใหญ่แพทย์จะไม่ค่อยแนะนำให้ดูดไขมันซ้ำที่บริเวณเดิม และแนะนำให้ใช้วิธีอื่นในการลดสัดส่วนแทน

ซึ่งการทำ CoolSculpting ถือเป็นวิธีที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมักจะแนะนำให้ทำหากต้องการลดสัดส่วนเพิ่มเติม เพราะเป็นวิธีที่สามารถทำได้หลังจากแผลหายสนิท อีกทั้งยังไม่ต้องเจ็บตัว หรือผ่าตัดอีกครั้ง แถมไขมันที่อาจเกาะตัวอยู่บริเวณที่มีพังผืดยังสามารถสลายไปได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะส่งผลกระทบอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าแม้คุณจะเคยดูดไขมันมาแล้ว ก็ยังสามารถทำ CoolSculpting ซ้ำได้จนกว่าไขมันบริเวณดังกล่าวจะหมดไป หรือได้รูปร่างตามอย่างที่ต้องการค่ะ

สลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting เห็นผลแค่ไหน ?

CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันที่ให้ผลการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยในการทำจะใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยผลลัพธ์ที่ได้ในการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากบริเวณที่ทำได้ 20 – 30% ของไขมันส่วนเกินที่บีบจับได้ในบริเวณนั้นๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล คุณลูกค้าที่ผ่านการทำ Coolsculpting จะรู้สึกถึงผลลัพธ์หลังทำ ใน 1 – 3 เดือน โดยจะรู้สึกว่าไขมันที่บีบจับได้ในปริมาณมากจะบีบได้เล็กลง เนื่องจากชั้นไขมันในบริเวณนั้นบางลง

ทั้งนี้ CoolSculpting คือเทคโนโลยีการสลายไขมันออกจากร่างกายด้วยความเย็น ที่นำเอาคลื่นความเย็นในระดับจุดเยือกแข็งระดับ -10 ถึง -13 องศาเซลเซียส ส่งลงไปใต้ผิวหนังยังบริเวณที่มีเซลล์ไขมันอาศัยอยู่ จากนั้นเซลล์ไขมันจะถูกความเย็นทำให้ตายลงโดยใช้ระยะเวลาในการทำ 45 – 75 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณ ไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ เหมือนกับการลดสัดส่วนด้วยวิธีอื่น ๆ ซึ่งในการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายได้ 20 – 30% ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยจะเริ่มเห็นผลชัดเจนหลังจากทำไปแล้ว 1 – 3 เดือน และผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้คงทนยาวนาน ตราบใดที่คุณมีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และควบคุมอาหารควบคู่กันไปด้วย หรือถ้าหากกลับมาอ้วนอีกครั้ง บริเวณที่เคยทำ CoolSculpting ก็จะไม่กลับมาใหญ่หรือย้วยอีกต่อไป 

เทียบให้ดูชัด ๆ CoolSculpting ก่อนหลัง เป็นอย่างไร ?

CoolSculpting

CoolSculpting

นอกจากนี้ CoolSculpting ยังเป็นวิธีการสลายไขมันด้วยความเย็นที่ทุกคนสามารถทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะส่วนต้องการลดอย่างเช่น ลดหน้าท้อง ลดสะโพก ลดต้นขา ลดต้นแขน ปีกหลังหรือแม้แต่บริเวณเล็กๆ อย่างเช่นใต้คางก็สามารถทำ CoolSculpting ได้ ส่วนผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำ CoolSculpting ก็คือผู้ที่มีอาการแพ้ความเย็นอย่างรุนแรง มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด สตรีที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรหรือผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดบริเวณที่จะทำ CoolSculpting ควรหลีกเลี่ยงการทำไปก่อนอย่างน้อย 8 เดือนจะดีที่สุด

สำหรับคนที่เคย ดูดไขมัน มาก่อน และต้องการลองทำ CoolSculpting ได้ทราบคำตอบแบบนี้แล้วก็คงจะช่วยให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการมีรูปร่างที่ดีของคุณได้อย่างแน่นอน

ซึ่งถ้าหากคุณอยากจะลองให้เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นอย่าง CoolSculpting ช่วยลดสัดส่วนของคุณให้ดูเป๊ะมากขึ้นก็ต้องมาที่ APEX เพราะเราผู้นำในด้านการทำ CoolSculpting มากเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย และมีทีมผู้เชี่ยวชาญอย่าง CoolSculpting Specialist ที่พร้อมให้คำแนะนำ ออกแบบรูปร่างใหม่ให้คุณ เพื่อให้คุณได้สวยอย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลกอย่าง CoolSculpting จาก APEX ค่ะ

 

ปรึกษา และสอบถามเพิ่มเติม โทร. 063-310-8000
FB inbox : click http://m.me/apexprofoundbeauty
Line : http://line.me/ti/p/@apexcallcenter