10 ความเชื่อ เกี่ยวกับ คุณแม่หลังคลอด จริงหรือมั่ว !

คุณแม่หลังคลอด
คุณผู้หญิงหรือบรรดาคุณแม่ ย่อมต้องเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวความเชื่อหลังคลอดที่ถูกเล่าต่อ ๆ กันมาบ้าง แน่นอนเมื่อขึ้นชื่อว่าความเชื่อ ย่อมไม่อาจตรงกับความเป็นจริงที่องค์ความรู้ในปัจจุบันได้ค้นพบ และพัฒนามาไกลแล้วไปเสียทุกเรื่อง ฉะนั้นวันนี้เรามาคลายความสงสัยพร้อม ๆ กันดีกว่า ว่ามีเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของ คุณแม่หลังคลอด ที่ต้องแก้ไขความเข้าใจผิดกันบ้าง

1. ผ่าคลอดดีกว่า เพราะไม่เจ็บมาก แถมน้ำหนักลดไว

ไม่จริง เนื่องจากปัจจุบันการคลอดธรรมชาติไม่มีความเสี่ยงเหมือนในสมัยก่อน ๆ อีกทั้งการผ่าคลอดที่ทำให้เกิดบาดแผลบนผิวหนังย่อมต้องเจ็บมากกว่าค่ะ กลับกันแผลในช่องคลอดเป็นแผลบริเวณเยื่อบุ เหมือนในกระพุ้งแก้มหรือลิ้นที่มีเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก การซ่อมแซมของแผลจึงหายไวกว่า และเจ็บปวดน้อยกว่า ส่วนเรื่องของการลดน้ำหนักหลังคลอด ไม่ว่าจะคลอดด้วยวิธีใด น้ำหนักจะลดเองตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ขนาดมดลูกที่เล็กลง รวมถึงขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกายและกิจกรรมหลังคลอดของคุณแม่ค่ะ

2. คุณแม่หลังคลอด อาจมีอาการปวดมดลูกได้

จริง เพราะหลังคลอดมดลูกจะค่อย ๆ หดรัดตัวเองเพื่อให้กลับไปมีขนาดตามปกติ ทั้งนี้ระหว่างให้นมบุตรจะมีการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยให้มดลูกหดตัวดีขึ้น คุณแม่จึงมีอาการปวดมดลูกเป็นปกติค่ะ ซึ่งสามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้

3. หลังคลอดอาจปวดแผลฝีเย็บนานเกิน 1 สัปดาห์

ไม่จริง โดยปกติเพียง 3 วัน แผลจะเริ่มสมานแล้ว ดังนั้น 5-7 วันแผลจึงเริ่มหายสนิท ถ้านานกว่า 1 สัปดาห์ คุณแม่อาจกำลังเผชิญความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น มีก้อนเลือดคั่งอยู่ใต้แผล แผลแยก หรือแผลติดเชื้อ เป็นต้นค่ะ

4. หลังคลอดต้องอยู่ไฟ ไม่เช่นนั้นจะหนาวใน

ไม่จริง ปัจจุบันคุณแม่สามารถพักหลังคลอดเพื่อดูแลตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว อีกทั้งการแพทย์ก็ก้าวหน้าขึ้นมาก การอยู่ไฟตามรูปแบบสมัยก่อนจึงไม่มีความจำเป็นค่ะ นอกจากนี้ความเชื่อเรื่องหนาวใน ที่จริงเกิดจากหลังคลอดมีการลดลงของฮอร์โมนที่มีสูงในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นพอฮอร์โมนลดลงจึงมีอาการหนาวและร้อนวูบวาบเป็นธรรมดาค่ะ

5. ห้ามกินของแสลง

ไม่จริง แต่ทางที่ดีคุณแม่หลังคลอดควรหลีกเลี่ยงกินของที่มีโทษต่อร่างกายค่ะ เช่น แอลกอฮอล์ หรือยาดอง

6. กินยาขับน้ำคาวปลา เพื่อจะได้ขับน้ำคาวปลาออกให้หมด

ไม่จริง น้ำคาวปลาคือเศษเนื้อเยื่อ เศษชิ้นส่วน และเมือกต่าง ๆ ที่ปกคลุมบริเวณโพรงมดลูก หลังรกลอกตัวออกไปแล้ว เยื่อบุเหล่านั้นจึงถูกขับออกโดยการบีบรัดตัวของมดลูกหลังคลอดตามธรรมชาติ ซึ่งจะค่อย ๆ หมดไปเองภายใน 4-6 สัปดาห์ค่ะ

7. น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็นหรือสีผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์

จริง น้ำคาวปลาในช่วง 2-3 วันแรก หลัก ๆ คือเศษของเซลล์ที่ลอกออกจากโพรงมดลูก ซึ่งประกอบด้วยเม็ดเลือดเป็นส่วนมากจึงมีสีออกแดง ส่วนช่วงวันที่ 4-10 สีแดงจะค่อย ๆ จางลงค่ะ หลังจากวันที่ 10 ไปจนกว่าน้ำคาวปลาจะหมด มักมีลักษณะใสขึ้น และมีสีขาวปนเหลืองไปอีกระยะ ทว่าหากยังมีสีแดงมาก อาจเป็นภาวะการตกเลือดหลังคลอด และยิ่งถ้าน้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็นมากร่วมกับสีผิดปกติ เช่น เขียว หรือเหลือง นั่นอาจแสดงถึงการติดเชื้อหรือมดลูกอักเสบ ดังนั้นคุณแม่ควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ

8. หลังคลอดไม่ควรเคลื่อนไหวมาก อาจทำให้แผลอักเสบได้

ไม่จริง ที่จริงการเคลื่อนไหวจะช่วยให้มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณแผล และทำให้แผลสมานดีขึ้น ทั้งการที่มีเม็ดเลือดขาวเยอะยังจะช่วยป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อได้ค่ะ ดังนั้นคุณแม่จึงควรเคลื่อนไหวให้ได้มากเท่าที่จะทำได้นะคะ

9. หลังคลอดไม่ควรอาบน้ำโดยการนอนแช่ในอ่าง

จริง การอาบน้ำโดยลงไปนอนแช่ในอ่างอาจเสี่ยงที่เชื้อแบคทีเรียจะเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอด แล้วเกิดการอักเสบที่มดลูก แต่ความเสี่ยงนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป ทว่าป้องกันไว้ก่อนจะดีที่สุดค่ะ

10. คุณแม่หลังคลอด ที่ให้นม ห้ามกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม

จริง ปกติการให้นมบุตรอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) เพื่อสร้างน้ำนม และสร้างออกซิโทซิน (Oxytocin) เพื่อหลั่งน้ำนมอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้การมีฮอร์โมนสูงจึงยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตั้งครรภ์ และถือเป็นการคุมกำเนิดโดยธรรมชาติ ส่งผลให้ประจำเดือนหลังคลอดมาช้าขึ้น แต่ทางการแพทย์ยังพบว่ามีอัตราการตั้งครรภ์ได้ถึง 8% หากคุณแม่ไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น

ทั้งนี้หลังให้นมบุตรไปนาน ๆ ฮอร์โมนของการให้นมจะลดลง ในกรณีมีเพศสัมพันธ์โดยไม่คุมกำเนิดจะมีโอกาสตั้งครรภ์สูงถึง 36% ทีเดียวค่ะ ดังนั้นคุณแม่ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีใช้ถุงยางอนามัย ใส่ห่วงอนามัย หรือใช้ยาฝังใต้ท้องแขนแทน เพราะกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมจะไปยับยั้งการสร้างน้ำนมได้ค่ะ

เห็นได้ว่าความเชื่อเรื่องคุณแม่หลังคลอดที่บอกต่อ ๆ กันมานั้น มีทั้งเรื่องจริงซึ่งดีต่อสุขภาพ และเรื่องไม่จริงที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ๆ ดังนั้นไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ก่อนที่คุณแม่จะหลงเชื่อหรือทำตาม อย่าลืมลองตรวจสอบข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งเพื่อความปลอดภัยของตัวเองกันด้วยนะคะ

และหากคุณแม่คนไหนที่พบว่าตัวเองกำลังประสบปัญหาช่องคลอดหลวม หรือมีภาวะปัสสาวะเล็ดหลังคลอดจนรู้สึกขาดความมั่นใจ ทั้งทำให้ความสุขบนเตียงกับคนรักไม่เหมือนเดิม และกำลังมองหาวิธีรักษาที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องเสี่ยงกับการผ่าตัดรีแพร์ที่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้นนาน หรือเสี่ยงกับผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เทคโนโลยีเพื่อดูแลสุขภาพจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงโดยเฉพาะอย่าง Vaginal Lift หรือเลเซอร์รีแพร์ไร้แผลช่วยให้คุณแม่กลับมามั่นใจอีกครั้งได้ค่ะ

Vaginal Lift คือการทำเลเซอร์ด้วยการส่งคลื่นพลังงานความถี่สูงผ่านหัวเครื่องชนิดพิเศษค่ะ โดยคลื่นพลังงานความร้อนดังกล่าวจะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินบริเวณกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อยขึ้นมาใหม่ ทำให้ช่องคลอดได้รับการฟื้นฟูกลับมากระชับแน่น ชุ่มชื้นในทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ นอกจากนี้ยังส่งผลให้ภายนอกของจุดซ่อนเร้นกลับมากระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์ ทั้งยังส่งเสริมระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้การรับความรู้สึกขณะทำกิจกรรมบนเตียงของคุณดีขึ้น อีกทั้งช่วยแก้ไขปัญหาภาวะปัสสาวะเล็ดหรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยค่ะ

หากคุณแม่คนไหนต้องการคำปรึกษา หรือสนใจแก้ไขปัญหาจุดซ่อนเร้นด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์รีแพร์ไร้แผล Vaginal Lift สามารถมาหาเราได้ที่ APEX เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมมอบการรักษาที่ดีที่สุด และช่วยให้คุณแม่กลับมามั่นใจเรื่องสุขภาพจุดซ่อนเร้นได้เหมือนย้อนวัยอีกครั้งค่ะ

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 062 709 6849, 063 310 8000
LINE@ ID : @APEXWOMEN
หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40apexwomen