สิวเป็นปัญหากวนใจที่ใครคงไม่อยากเจอ แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงเท่าไหร่ก็ตาม เพราะสิวเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจากฮอร์โมน แสงแดด มลภาวะ ความเครียด กรรมพันธ์ ความสะอาด หรือการแพ้ต่าง ๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน COVID-19 ทำให้หลาย ๆ คนเกิดอาการแพ้หน้ากากอนามัยจนเกิดเป็นสิวได้ค่ะ
นอกจากนี้ ปัญหาที่ตามมาคือ ปัญหารอยสิว และหลุมสิว ที่หลายคนพากันกุมขมับกับปัญหาที่แก้ยากนี้หากเราเอาใจใส่ และรักษาสิวอย่างดี แผลเป็นจากสิว หรือหลุมสิวก็มีโอกาสลดลงได้ค่ะ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงวิธีการรักษา เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับลักษณะของแผลเป็นจากสิวกันก่อนนะคะ
แผลเป็นจากสิว
เกิดจากผิวหนังชั้นนอกสุด หรือ ชั้นหนังกำพร้าได้รับความเสียหาย และส่งผลไปถึงชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป ทำให้เกิดการฟื้นฟูสภาพผิวด้วยการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวขึ้นมาใหม่ จึงเกิดแผลเป็นในลักษณะหลุมสิว และรอยแผลเป็น ซึ่งแผลเป็นจากสิว มี 4 ประเภทด้วยกัน
- รอยแดง (post-inflammatory erythema) เกิดจากอาการอักเสบของผิว ทำให้เกิดการกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้นจนเกิดเป็นรอยแดง
- รอยดำ (post-inflammatory hyperpigmentation) เกิดหลังจากรอยแดง ถ้าหากแกะหรือบีบสิวจะทำให้เกิดการอักเสบและเป็นรอยดำ โดยส่วนใหญ่จะเกิดกับคนที่มีผิวสีเข้ม
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) คือเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ยกนูนขึ้น เมื่อสิวเกิดการอักเสบผิวจะผลิตเนื้อเยื่อขึ้นภายในบาดแผล จึงทำให้เกิดความหนานูนขึ้นบนผิวหนัง
- หลุมสิว (atrophic scar) เกิดขึ้นหลังจากการเกิดสิวอักเสบที่ชั้นผิวหนังแท้ ทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย จึงเกิดการยุบตัวของผิวหนัง หากมีการอักเสบรุนแรงและเป็นเวลานาน จะเพิ่มโอกาสให้เกิดการยุบตัวของผิวหนังและกลายเป็นหลุมได้มากขึ้น
ประเภทของหลุมสิว
- Icepick scar เป็นรอยหลุมลึกมาก เป็นหลุมแคบประมาณ 2 มิลลิเมตร
- Boxcar scar ลักษณะคล้ายกล่อง เป็นหลุมกว้างประมาณ 4 – 5 มิลลิเมตร มีความลึกอยู่ในระดับปานกลาง กินความลึกแค่ชั้นผิวเท่านั้น ยังไม่ลึกถึงรูขุมขน
- Rolling Scar เป็นหลุมตื้น มีความกว้างของปากหลุมประมาณ 1 – 4 มิลลิเมตรไม่มีขอบ
วิธีรักษาหลุมสิว
ในปัจจุบันการรักษาหลุมสิวนิยมการใช้เลเซอร์ เพราะเป็นวิธีที่ได้มาตรฐานและเห็นผลชัดเจน เลเซอร์จะทำให้เกิดการบาดเจ็บในระดับที่พอดี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่เกิดขึ้น
- เลเซอร์ชนิดมีแผล (ablative laser) หลังทำเลเซอร์มักมีสะเก็ดแผลอยู่นานประมาณ 1 อาทิตย์ หลังจากนั้นผิวหนังจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นสู่ภาวะปกติ แต่ควรควรหลีกเลี่ยงแสงแดด การดูแลค่อนข้างยุ่งยาก มีโอกาสเกิดรอยดำ หรือฝ้าค่อนข้างมาก เช่น กลุ่ม carbondioxide laser, Fraxel
- เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (non ablative laser) สามารถกระตุ้นการสร้างคลอลาเจนได้ หลังทำเลเซอร์สามารถทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนปกติในทันที แต่ยังไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร เช่น Yag laser
- semiablative หรือ fractional laser การทำลายผิวส่วนบนด้วยลำแสงที่ลงไปเป็น column เล็ก ๆ ทำให้การหายของแผลเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน โอกาสเกิดรอยดำและแผลเปิดบนผิวน้อยกว่าเลเซอร์แบบ Ablative Laser แต่ผิวหน้าจะต้องใช้เวลาในการพักฟื้น 1 – 2 เดือน เช่น กลุ่ม Fractional RF (E-matrix, Dermatrix)
การรักษาสิวที่ดีต้องเอาใจใส่ตั้งแต่การรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้เกิดสิวเพิ่ม เมื่อเป็นแล้วควรรีบทำการรักษาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นแผลเรื้อรัง แต่หากใครที่เป็นแผลเป็นจากสิวแล้ว ต้องการรักษาแบบได้ผลชัดเจน ไม่ต้องกังวลไปนะคะ APEX Clear เรามีเลเซอร์รักษาหลุมสิวและแผลเป็นจากสิวที่มีเครื่องมือเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรักษาที่หลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญยังได้การรับรองมาตรฐานระดับโลกอีกด้วยค่ะ ยินดีให้บริการค่ะ
☞ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Line@ https://lin.ee/wB4l0p0
Inbox: m.me/apexclear