รู้จักฟิลเลอร์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ (Filler) คือการฉีดสารเติมเต็ม ที่เรียกว่า เอชเอ (HA) หรือ ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เพื่อเข้าไปทดแทนและเติมเต็มใยคอลลาเจนใต้ผิวที่เสื่อมสลาย ช่วยพยุงโครงหน้าให้เกิดการยกกระชับ กลับมาดูอิ่มเอิบ เพิ่มความยืดหยุ่น เติมร่องริ้วรอยลึกให้ตื้นขึ้น แลดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งฟิลเลอร์มีอยู่หลายชนิดเพื่อช่วยแก้ปัญหาในจุดที่ต่างกันไปบนใบหน้า การฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมือนการเป่าลมเข้าลูกโป่ง ที่ตรงไหนบุบ ตรงไหนบุ๋ม มีร่องก็ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเดี๋ยวพองเอง แต่คุณหมอใช้ฟิลเลอร์ฉีดเข้าไปเพื่อทดแทนไขมันที่ฝ่อตัวลงและมวลกระดูกที่กร่อน บางลงไปตามอายุ เมื่อฉีดแล้วนอกจากจะช่วยเติมเต็ม ยังทำให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้น เปรียบเสมือนการเสริมโครงสร้างปักเสาเข็มให้ใบหน้า
จะฉีดฟิลเลอร์ชนิดไหนดี
ฟิลเลอร์ แบ่งหลัก ๆ ออกเป็น 3 ประเภท ตามระยะการคงตัว คือ สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler), สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) และสารเติมเต็มแบบถาวร (Permanent Filler)
- ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler) เช่น สารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) และสารคอลลาเจน (Collagen) แต่การฉีดคอลลาเจนไม่เป็นที่นิยม เพราะจากการรวบรวมรายงานผู้ที่เคยฉีด ฟิลเลอร์ ด้วยสารคอลลาเจน พบว่ามีร้อยละ 3 เลยทีเดียว ที่ฉีดสารนี้เข้าไปแล้วจะเกิดอาการแพ้
และสำหรับสารไฮย่าถือเป็นสารที่นิยมใช้ทั่วโลก อยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน จัดว่ามีความปลอดภัยสูงและสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
- ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler) เช่น สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate) และสารโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyakylimide) จะมีอายุยาวกว่าการใช้ ฟิลเลอร์ แบบชั่วคราว อยู่ได้นาน 2-5 ปี ปลอดภัยในระดับปานกลาง และสารที่ให้ผลยาวนานกว่า และไม่สลาย 100% มีแนวโน้มจะเกิดผลข้างเคียงมากกว่า เพราะร่างการถือว่าฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรนี้เป็นสารแปลกปลอม อาจเกิดอาการแพ้ขึ้นมาวันใดวันหนึ่ง
- ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler) เช่น ซิลิโคนเหลว และน้ำมันพาราฟิน ให้ผลลัพธ์แบบถาวร ไม่สามารถสลายได้เอง ทำให้ระบุผลข้างเคียงในระยะยาวไม่ได้ หากอยู่ในร่างกายนานเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง ซึ่งข่าวที่เราได้ยินกันว่าฟิลเลอร์ไหล หรือฉีด ฟิลเลอร์ ไปแล้วผิดรูปหน้าเบี้ยว เป็นก้อน ส่วนมากจะเกิดจากฟิลเลอร์ชนิดถาวรที่กล่าวถึง
สารเติมเต็มแบบชั่วคราว ที่เป็นสารไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ได้รับความนิยมสูงสุดในการนำมาฉีดเติมเต็ม เพราะปลอดภัยสูง มีความใกล้เคียงกับสารในร่างกายมนุษย์ สลายได้เองตามธรรมชาติ ได้รับการรับรองจาก อย. ทั้งในไทยและต่างประเทศ และยังแบ่ง ฟิลเลอร์ ออกได้อีก 2 แบบ ตามลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์ด้วยนะคะ ดังนี้
- HA Filler เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีลักษณะคงตัว สำหรับฉีดปรับโครงสร้างใบหน้า และเติมเต็มในส่วนที่ขยับเขยื้อนบ่อย ๆ จนเป็นร่องรอยลึก เช่น ร่องแก้ม เป็นต้น
- HA Skin Booster เป็นฟิลเลอร์เนื้อบางเบากว่าแบบแรก มีลักษณะเป็นเจลนิ่ม ๆ ใช้ฉีดในบริเวณชั้นผิวที่ตื้นกว่า HA Filler เพื่อช่วยเกลี่ยให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ ฉ่ำน้ำ ดูสุขภาพดี กระจ่างใสขึ้นจนดูอ่อนกว่าวัย
ทำไมฟิลเลอร์ที่ผลิดจาก Hyaluronic Acid จึงได้รับความนิยมสูดที่สุด
ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ถูกเรียกในหลายชื่อค่ะ ทั้งเอชเอ, ไฮยาลูรอน หรือไฮย่า เป็นกรดที่ร่างกายสร้างขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำไขข้อ ที่ช่วยหล่อลื่นบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงช่วยลดการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่นของอวัยวะกับเซลล์อีกด้วย กรดไฮยาลูโรนิคถูกสร้างขึ้นระหว่างบริเวณผิวชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ (Dermis) และผิวชั้นบนหรือชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ที่เชื่อมต่อกัน โดยจะกระจายตัวอยู่ทั่ว เป็นตัวช่วยที่ทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลถึงความสดใสเปล่งปลั่งของผิว ซึ่งคุณสมบัติสำคัญของไฮยาลูโรนิค แอซิด ใน ฟิลเลอร์ ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นแก่ผิว
คนในช่วงอายุก่อน 30 ปี จะยังไม่ให้ความสำคัญกับกรดไฮยาลูโรนิคนัก แต่พออายุเริ่มขยับผ่านเลข 30 ขึ้นไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกแล้วว่าร่างกายผลิตไฮยาลูโรนิค คอลลาเจน และอิลาสตินได้น้อยลง สังเกตเห็นชัดที่สุดคงเป็นริ้วรอย ร่องลึก ความหย่อนคล้อยบนใบหน้า เพราะใต้ผิวเริ่มสูญเสียความชุ่มชื้นไป แห้งเหี่ยว ขาดความยืดหยุ่น ด้วยเหตุนี้ ‘กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์’ จึงถูกคิดค้นขึ้น จนกลายมาเป็น ฟิลเลอร์ ในที่สุด โดยมีสภาพใกล้เคียงในร่างกายคนเรามากที่สุด เพื่อทดแทนส่วนที่ผลิตได้น้อยลง และคงคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีไว้ และยังมีความสามารถละลายน้ำได้ดีอีกด้วย จึงสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
ด้วยการคงคุณสมบัติสำคัญ อย่างการกักเก็บความชุ่มชื้นในกรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์ จึงเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าสารนี้สามารถช่วยเรื่องริ้วรอย และเติมปริมาตรใต้ผิวได้จริงอย่างเห็นผล จัดอยู่ในประเภทของสารที่มีความปลอดภัยสูงมาก วงการเสริมความงามเลยนิยมนำไฮยาลูโรนิก แอซิด มาใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภท หลัก ๆ ที่สามารถพบบ่อยในชีวิตประจำวัน
1) การนำมาผสมในครีมบำรุง/เซรั่มต่าง ๆ
2) การฉีดสู่ใต้ผิวโดยตรง ด้วยฟิลเลอร์
เปรียบเทียบฟิลเลอร์ยี่ห้อฮิตในเมืองไทย
Juvederm – ฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอมเริกา จากบริษัท Allergan ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ (Botox) มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) ในเนื้อผลิตภัณฑ์ ทำให้รู้สึกสบายในระหว่างที่ฉีด ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2 แบบ คือ
- Hylacross ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้มาก ฉีดแล้วฟูอิ่ม เนื้อเจลมีความเนียนละเอียด ทนต่อการขยับ เหมาะกับการฉีดเพื่อเติมเนื้อในบริเวณที่ผิวมีการขยับบ่อย ๆ
- VYCROSS เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อทำให้สารเติมเต็มสามารถยกกระชับได้ดี มีโมเลกุลยึดเกาะที่เหนียวแน่นขึ้น อัตราการบวมน้ำน้อยมากเมื่อเทียบกับ HA ตัวอื่น ๆ
ซึ่ง Juvederm ถูกผลิตออกมาให้มีหลายชนิด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต่างกัน เช่น
- Juvederm Ultra แก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึก
- Juvederm Ultra Plus แก้ไขปัญหาร่องแก้ม เติมเต็มใบหน้า และร่องลึกบริเวณขมับ
- Juvederm Voluma แก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยและริ้วรอย
- Juvederm Vobella ใช้เติมเต็มจุดที่บอบบาง
- Juvederm Volift ใช้เติมเต็มขมับและริมฝีปาก
- Juvederm Volite น้องใหม่ของครอบครัว Juvederm เพื่อปรับผิวให้มีคุณภาพดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวฉ่ำน้ำและเบลอรูขุมขน
ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์ยี่ห้อที่มีมานานที่สุดและมีผลการรับรองเรื่องความปลอดภัยเยอะกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นๆ จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
Belotero – ฟิลเลอร์สัญชาติสวิสเซอร์แลน จากบริษัท Merz Aesthetic ถูกเรียกว่าเป็น Colourful Filler เพราะสีสันของกล่องที่มีต่างกันถึง 5 สี (เขียว, เหลือง, ส้ม, ชมพู, ม่วง) แบ่งตามระดับการแก้ปัญหาในแต่ละชั้นผิว เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด ผลิตด้วยเทคโนโลยี Dynamic Cross-Lining Technology ในเนื้อผลิตภัณฑ์ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) จึงทำให้รู้สึกสบายระหว่างที่ฉีดเช่นเดียวกับ Juvederm โดยทั้ง 5 สี มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ดังนี้
- กล่องสีเขียว คือสูตร Hydro ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยจะเน้นบริเวณลำคอ เนินอกและมือ
- กล่องสีเหลือง คือสูตร Soft สำหรับริ้วรอยที่ผิวชั้นนอก เช่น รอยตีนกา ริ้วรอยที่หน้าผากและรอบปาก
- กล่องสีส้ม คือสูตร Balance สำหรับริ้วรอยลึกระดับปานกลาง เช่น ร่องลึกระหว่างคิ้ว ใต้ตา ร่องแก้มหรือรอยเส้นในแนวตั้งจากมุมปากลงมาที่คางด้านนอก สูตรนี้ยังช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นได้ด้วย
- กล่องสีชมพู คือสูตร Intense สำหรับริ้วรอยลึกมากบริเวณร่องแก้ม มุมปาก และเส้นแนวตั้งจากมุมปากลงมายังคาง
- กล่องสีม่วง คือสูตร Volume ช่วยแก้ปัญหาหน้าตอบไร้วอลูมและหย่อนคล้อย เช่น บริเวณโหนกแก้มและคาง
Restylane – ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน จากบริษัท Q-MED AB มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) ในบางรุ่นเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป ผลิตด้วยเทคโนโลยี 2 แบบ คือ
- NASHA (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid Technology) เนื้อเจลมีขนาดอนุภาคเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ไม่เท่ากันใจฟิลเลอร์แต่ละรุ่น เหมาะสำหรับข้อบ่งใช้ที่ไม่เหมือนกัน และแต่ละอนุภาคประสานกันอย่างเป็นธรรมชาติ
- OBT (Optimal Balance Technology) เนื้อเจลมีความคงตัว ยืดหยุ่น สามารถปรับรูปทรงได้หลากหลายเหมาะสำหรับแต่ละจุดประสงค์ของการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ทั้ง 3 ยี่ห้อ 3 สัญชาติที่กล่าวถึงนี้ ล้วนแต่ได้รับการรับรองจาก อย. ของไทยและต่างประเทศแล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ถึงมาตรฐานที่เป็นสากล มีความปลอดภัยสูง และให้ผลลัพธ์ได้ตามที่ต้องการ แต่เรื่องผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับฝีมือของคุณหมอแต่ละคนด้วยค่ะ ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์อย่าลืมหาข้อมูลเยอะ ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจอีกครั้งนะคะ
บริเวณที่นิยมในการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ สามารถฉีดได้แทบทุกส่วนบนร่างกาย ซึ่งตำแหน่งที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นบริเวณทั่วใบหน้าเลยค่ะ ตั้งแต่หน้าผาก ระหว่างคิ้ว หางตา ใต้ตา จมูก ร่องแก้ม ริมฝีปาก คาง รวมถึงการฉีดเพื่อปรับรูปใบหน้าตามต้องการ แต่ถ้าใครคิดจะฉีดฟิลเลอร์จมูก ฟิลเลอร์หน้าผาก หรือรอบดวงตา ต้องคิดหนัก ๆ หน่อยนะคะ และควรเลือกหมอขั้นเทพในการฉีดด้วย เพราะบริเวณเหล่านี้เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเสี่ยง
ที่บอกว่าเสี่ยงเพราะบนใบหน้าคนเรามีแขนงเส้นเลือดแดงจำนวนมากสานกันเป็นร่างแหกระจายอยู่ทั่ว โดยเฉพาะแถวหน้าผากกับจมูก การฉีดฟิลเลอร์เข้าในบริเวณดังกล่าว หากไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและรู้จักโครงสร้างใบหน้าดี ก็ไม่ควรเสี่ยง เพราะหากฉีดแล้วเนื้อผลิตภัณฑ์ ฟิลเลอร์ เข้าไปอุดตันแขนงเส้นเลือดแดงที่ไหลไปหล่อเลี้ยงดวงตา ส่งผลข้างเคียงถึงการมองเห็น ไปจนถึงขั้นตาบอดได้เลยค่ะ
อยากให้คุณลองอ่านบทความเรื่อง การฉีดฟิลเลอร์จมูกแล้วตาบอด ของคุณหมออาร์ม—นายแพทย์ภาวิต หน่อไชย เขียนไว้ดูค่ะ เพื่อจะได้ทราบถึงว่า ทำไมเราถึงต้องฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น รู้เอาไว้ดีกว่าต้องรับความเสี่ยงมหาศาลในภายหลังนะคะ
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์
ก่อนมาเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง ควรงดยา/วิตามิน/อาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี ยาแอสไพริน สารสกัดจากใบแปะก๊วย เป็นต้น รวมถึงพวกอาหารหมักดองด้วยนะคะ เพราะจะไปกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวช้า ในระหว่างฉีดฟิลเลอร์ คนไข้อาจจะเลือดไหลไม่หยุดได้ และเสี่ยงต่ออาการช้ำหลังฉีดอีกด้วยค่ะ
ผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์
การฉีด ฟิลเลอร์ ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและปัญหาของคนไข้แต่ละคนด้วยค่ะ หลังจากฉีดเสร็จแล้วสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น เพื่อให้ฟิลเลอร์เซตตัว ระยะของผลลัพธ์จะอยู่ที่ 6 เดือน – 2 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์ที่ฉีด และใน 2 สัปดาห์แรกหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ควรทำตามคำแนะนำจากคุณหมออย่างเคร่งครัดด้วยนะคะ
ซึ่งก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปจริง ๆ นั้น คนไข้จะต้องเข้ารับปรึกษากับคุณหมอสักรอบก่อนนะคะ เพื่อให้คุณหมอประเมินใบหน้า และพูดคุยถึงผลลัพธ์ที่ต้องการให้ชัดเจน เพราะปัญหาและความต้องการของคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน
คุณหมอนัน一พญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ผู้บุกเบิกการใช้โบท็อกซ์และ ฟิลเลอร์ กลุ่มแรกของประเทศไทยมากกว่า 20 ปี เคยกล่าวถึงเรื่องที่แพทย์และสถานพยาบาลต้องเข้าใจถึง Personalization ไว้ว่า “สิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นแพทย์ หรือสถานพยาบาลก็คือ ความเข้าใจคนไข้แบบเฉพาะบุคคล หรือ Personalization ความงามเป็นเรื่องเฉพาะตัว แพทย์จึงต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่คนไข้ต้องการให้มากที่สุด และทำให้สิ่งที่เขาอยากได้ ออกมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ก็สำคัญ
หลังจากฉีดเสร็จใหม่ ๆ คุณหมอจะให้คำแนะนำว่า ภายใน 2 สัปดาห์คุณควรจะ
- งดนวด ถู สัมผัสใบหน้าแรงๆ
- งดเท้าคางในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์คาง
- หลังฉีดจะรู้สึกว่าฟิลเลอร์เป็นก้อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการฉีด ฟิลเลอร์ ห้ามปั้น นวด คลึงเอง เพราะอาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่คุณหมอวางไว้ไม่เป็นตามที่แพลนไว้
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยกกระชับที่ฉีดเข้าไปได้มีเวลาเซตตัวเสียก่อน แต่หลังจากนั้นคุณก็ควรดูแลตัวเองในทุก ๆ วัน เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ตามระยะเวลา และการดูแลตัวเองไม่ได้ส่งผลดีแค่ตรงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปนะคะ แต่จะส่งผลดีถึงสุขภาพโดยรวมของคุณด้วย
มีเคล็ดลับการดูแลตัวเองแบบง่าย ๆ อยู่ 7 ข้อที่เราเคยแนะนำไว้ ลองตามไปอ่านกันได้นะคะ : การดูแลตัวเองหลังฉีด โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นอันตราย มีสาเหตุหลักอยู่ 2 ข้อ
- การใช้ผลิตภัณฑ์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน
ทุกวันนี้ความนิยมในการฉีดหน้ามีเพิ่มมากขึ้น ในท้องตลาดจึงมีผลิตภัณฑ์ ฟิลเลอร์ ออกมาหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวังให้มากที่สุดเลย คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งคุณหมอนันได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “โบท็อกซ์และฟิลเลอร์แต่ละตัวมีข้อบ่งชี้ในการใช้ที่แตกต่างกันไป ทั้งจำนวนปริมาณที่ต้องใช้ และระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์ โดยส่วนตัว หมอจะเลือกจากคุณภาพที่ดี มีมาตรฐานในการผลิตสูง มีการศึกษาวิจัยมายาวนานจนเป็นมาตรฐาน”
ซึ่งมีข้อสังเกตฟิลเลอร์ของแท้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
- บนกล่องต้องมีฉลากชื่อผู้นำเข้าถูกต้องเป็นภาษาไทย อย่างเช่น แบรนด์จูวีเดิม (Juvéderm) จะพิมมากับกล่องเลย
- หากเจอฟิลเลอร์ราคา 3-6 พัน ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม เพราะราคาทุนยังแพงกว่านี้เลยค่ะ
- ผลิตภัณฑ์จะมีล็อตนัมเบอร์ สามารถเช็คกับบริษัท Allergan ได้โดยตรง หรือสอบถามบริษัทเลยว่าคลินิคนั้น ๆ ใช้ของจริงรึเปล่า
- ชื่อเสียงของคลินิค และชื่อเสียงของแพทย์ 2 สิ่งนี้กว่าจะสร้างมาได้ไม่ใช่เวลาน้อย ๆ สถานที่ที่มีชื่อเสียงมักไม่เสี่ยงใช้ของปลอม
- แพทย์ขาดความเชี่ยวชาญ
ความเชื่อการฉีดฟิลเลอร์ที่ว่าแพทย์ทุกคนสามารถฉีด ฟิลเลอร์ ได้นั้น เป็นความเชื่อที่อันตรายมากนะคะ ถึงแม้แพทย์ทุกคนจะฉีดยาได้ก็จริง แต่การฉีดฟิลเลอร์ หรือทำหัตถการใดใดบนใบหน้า ล้วนต้องอาศัยความชำนาญและเชี่ยวชาญของแพทย์เป็นสำคัญ ซึ่งแพทย์จะต้องรู้จักชั้นผิวแต่ละชั้นผิวที่ต้องฉีดเพื่อแก้ปัญหาแต่ละปัญหา รวมถึงบริเวณที่ “ห้าม” ฉีด ซึ่งบริเวณที่ห้ามฉีดเหล่านี้แหละค่ะ ที่จะทำให้เกิดปัญหาอย่างการตาบอด หรือเสียชีวิตได้เลย